ตอนที่ 1347 เสียงร้องที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1347 เสียงร้องที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ โดย Ink Stone_Fantasy

“งั้นเหรอ?” โรแลนด์ดีใจขึ้นมาทันที เมื่อฟังดูจากน้ำเสียงของบารอฟ อีกฝ่ายไม่ได้แค่ตื่นเต้นเพราะมันสร้างเสร็จเรียบร้อยเท่านั้น “เจ้าเองก็ได้ยินเสียงสัญญาณใช่ไหม?”

ไอรอนทาวเวอร์ที่ว่าคือก้าวแรกของแผนการสื่อสารแบบไร้สาย เพื่อที่ทำให้เสาอากาศมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับความต้องการของคลื่นยาว กองโยธาธิการจึงได้สร้างหอรับส่งที่สูงเกือบ 50 เมตรเอาไว้ที่เนินทิศเหนือและเมืองซิลเวอร์ โดยตัวหอเหล็กมากกว่าครึ่งในนี้มีขนาดเล็กประมาณลำตัวคน ด้วยเหตุนี้เมื่อมองจากไกลๆ มันจึงเป็นเหมือนเข็มยาวๆ บวกกับลูกบอลลูนไฮโดรเจนลากสายโลหะแบบพับเก็บได้ ความยาวของเสาอากาศจึงยาวได้มากสุดมากกว่าร้อยเมตร

ถ้าพูดถึงระดับความยากในการสร้างเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้มีอะไรยากมากมายนัก แต่หอสื่อสารนั้นเป็นวิศวกรรมระบบอย่างหนึ่ง อุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่อยู่ด้านล่างหอต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากในระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงจะมีการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาหลายครั้ง แต่โชคดีที่ในโลกที่ไม่มีอะไรมารบกวนนี้ ต่อให้สัญญาณจะยุ่งเหยิงแค่ไหน มันก็ยังถูกจับเอาไว้ได้

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟตอบอย่างตื่นเต้น “ตอนนี้มันมีการตอบสนองแปลกๆ อย่างที่พระองค์ตรัสเอาไว้เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่า…กระหม่อมไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นเพราะเมืองซิลเวอร์หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าคิดว่าอีกไม่นานข้อสงสัยนี้น่าจะได้รับคำตอบแล้ว” โรแลนด์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “แจ้งหัวหน้ากองแต่ละกองในสำนักบริหารให้ไปด้วยกัน พวกเขาน่าจะไม่อยากพลาดวินาทีประวัติศาสตร์นี้”

……

หลังผ่านการบุกเบิกมาเป็นเวลาหลายปี เนินเขาทิศเหนือก็ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่เป็นเขตเมืองที่มีแต่ทางเดินแคบๆ อีกต่อไป ถนนซีเมนต์ที่กว้างขวางกับรางเหล็กถูกปูยาวไปตามเนิน หากนั่งรถไฟขึ้นไปล่ะก็ ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว

ไม่ไกลจากหอเหล็กมีบ้านอิฐแดงแบบเรียบง่ายตั้งเรียงเป็นแถว ตามขอบหลังคาของบ้านเตี้ยๆ เหล่านี้มีแท่งน้ำแข็งห้อยอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนจากโรงงานที่สร้างขึ้นมาใหม่ริมชายฝั่งแม่น้ำแดงเลย ถ้าดูจากภายนอกของมัน ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเชื่อมโยงมันเข้ากับคำว่า ‘ยุคสมัยใหม่’ ได้

เมื่อเดินเข้ามาในห้อง อันนากำลังสั่งการให้อดีตสมาชิกของแปลกเตรียมงานขั้นสุดท้ายอยู่ เมื่อเห็นโรแลนด์เดินเข้ามา เธอก็แอบส่งสัญญาณมือบอกว่า ‘ทุกอย่างเรียบร้อยดี’ ก่อนจะหันกลับไปทำงานด้วยท่าทางจริงจังต่อ

โรแลนด์อดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้

ในตอนที่กำหนดแผนการวิทยุไร้สายขึ้นมาในตอนแรก เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นร้อนแรงที่คนในสำนักบริหารพูดถึงกัน หลายๆ คนต่างรู้ดีว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะสร้างความเปลี่ยนให้กับมนุษย์อย่างไร ถ้าสามารถส่งต่อข่าวสารได้ในทันที มันก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการทำสงครามและการปกครองเมืองเนเวอร์วินเทอร์

การที่มีโทรศัพท์ นกส่งจดหมายและรูนสดับนั้นคือเครื่องพิสูจน์ เมื่อมีทั้งสามอย่างใช้งานร่วมกัน พวกอดีตขุนนางของเกรย์คาสเซิลก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ก่อความวุ่นวายเลย พวกขุนนางหลายๆ คนเคยคิดว่าการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานและต้องทำซ้ำไปซ้ำมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาถูกกองทัพที่หนึ่งขับไล่ออกจากอำนาจจนมาถึงตอนนี้ พวกเขาไม่สามารถก่อความวุ่นวายใดๆ ได้เลย เหตุผลเป็นเพราะเมื่อต้องเจอกับการส่งต่อข่าวสารที่มีประสิทธิภาพสูง เหล่าขุนนางเพียงแค่โผล่หน้าออกมาก็ต้องถูกกองทัพที่สองหรือตำรวจจัดการจนราบคาบแล้ว

แต่โทรศัพท์นั้นยังมีสาย ส่วนนกส่งจดหมายกับรูนสดับนั้นก็มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ ทว่าหอเหล็กนั้นไม่มีการเชื่อมต่อกับสายใดๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพตามทฤษฎีของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ด้วย นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ถึงแม้ในการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีการพูดถึงเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเอาไว้บ้างแล้ว แต่การเรียนรู้กับการเห็นของจริงมันไม่เหมือนกัน หลายๆ คนยังมีความรู้สึกสงสัยต่อสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้นี่อยู่ ในอีกแง่หนึ่งมันยากที่จะจินตนาการได้มากกว่าเครื่องบินเสียอีก

แต่แน่นอน การถกเถียงกันอย่างร้อนแรงนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความคืบหน้าของการก่อสร้าง เพราะในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่อยู่ภายใต้การชี้แนะของโรแลนด์มีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมากมาย ต่อให้จู่ๆ เขาประกาศว่าจะขึ้นไปบนพระจันทร์สีแดง สำนักบริหารก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำตามคำสั่งเขา

เพียงแต่การสื่อสารแบบไร้สายนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด เขาไม่ได้มีความมั่นใจในเรื่องนี้เหมือนกับการประดิษฐ์เครื่องจักร อุปกรณ์รับส่งนี้เขาก็สร้างเลียนแบบขึ้นมาจากเครื่องรับส่งตัวอย่างที่ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลทำออกมา การใช้งานจริงจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เมื่อมีอันนามาช่วย ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายหน้าต่อหัวหน้ากองต่างๆ อีก

“อย่างนั้นก็เริ่มกันเถอะ”

โรแลนด์จับมืออันนาแล้วจูงเธอไปที่หน้าเครื่องโทรเลข

“เอ่อ…โรแลนด์?”

“นี่เป็นผลงานชิ้นเอกของกองวิศวกรรม เจ้าย่อมต้องเป็นคนที่จะทดสอบมันเป็นคนแรก” เขาหันไปพูดพร้อมกะพริบตาให้อีกฝ่าย ถึงแม้ก่อนหน้านี้อีกเธอจะทำการทดสอบมันดูแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง แต่สิ่งที่จะถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์นั้นคือการทดสอบอย่างเป็นทางการหลังจากนี้

“ยังมีตำแหน่งรับสัญญาณว่างอยู่อีกตำแหน่ง พวกเจ้าใครอยากจะมาลองเป็นคนแรก?”

เจ้าหน้าที่ต่างสบตากันพร้อมกับยกมือขึ้นมา “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมลองก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังถกเถียงกันอยู่ครู่ สุดท้ายบารอฟก็อาศัยความอาวุโสของตัวเองเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ทดสอบการสื่อสารโทรเลขทางไกล ‘ครั้งแรก’ ได้สำเร็จ

ตามหลักแล้ว การรับและการส่งโทรเลขสามารถทำด้วยคนๆ เดียวได้ แต่ในเวลาแบบนี้การแบ่งกันทำจะทำให้สะดวกในการตรวจสอบผลการทดสอบมากกว่า สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นวิทยุโทรเลขมาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทำยังไงให้พวกเขาเชื่อว่าอีกด้านหนึ่งที่อยู่ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตรนั้นได้รับข้อความที่ฝั่งนี้ส่งไปจริงๆ? วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือให้คนที่เป็นคนรับข้อความใช้โทรเลขแล้วพูดสิ่งที่มีแต่คนที่ส่งข้อความเท่านั้นถึงจะรู้ได้ออกมา

หลังจากโรแลนด์อธิบายวิธีการทดสอบออกมาคร่าวๆ เขาก็ให้องครักษ์ทำการปิดตาบารอฟ ส่วนอันนาก็ขีดเส้นแนวนอนสามขีดกับจุดสองจุดไปบนกระดานดำ เส้นแนวนอนหมายถึงเสียงยาว ส่วนจุดหมายถึงเสียงสั้น

จนกระทั่งทุกคนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว เธอจึงกดคันเคาะบนเครื่องโทรเลข

‘สามยาวสองสั้น’

พริบตาที่วงจรไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อ ตรงกลางของสปาร์คพลันมีแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมา

เนื่องจากโทรเลขไม่ได้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ให้กำเนิดเสียงเอาไว้ ดังนั้นนอกจากแสงที่แวบออกมาแล้ว ภายในห้องก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นอีก

ทุกคนต่างกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ลำแสงนี้เล็กนิดเดียว ถ้าอยู่นอกห้องเกรงว่าคงยากที่จะมองเห็นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองซิลเวอร์ที่อยู่ห่างออกไปหายร้อยกิโลเมตรเลย

แต่โรแลนด์กลับรู้สึกขนลุกขึ้นมา

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผ่านตัวเขาไป

นั่นคือความรู้สึกที่คิดไปเองอย่างไม่ต้องสงสัย ในสถานการณ์ที่มีพลังงานต่ำ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายมนุษย์ แต่ภายในหัวของเขา ทุกอย่างกลายเป็นภาพที่ชัดเจน แสงไฟดูเหมือนสว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไป แต่กระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมากลับสั่นไปมาระหว่างตัวเหนี่ยวนำกับตัวเก็บประจุไฟฟ้าเป็นหมื่นๆ ครั้งในแต่ละวินาที สนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขยายตัวไปตามสายอากาศและสายดินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระจายตัวไปรอบๆ

ในโลกที่เงียบสงบใบนี้ มันคือเสียงร้องเจื้อยแจ้วที่มนุษย์เปล่งออกมา ไม่มีใครได้ยินเสียงของมัน แต่มันกลับดังกังวาลกว่าเสียงใดๆ ที่ผ่านมา

ถึงแม้จะบินข้ามไปเป็นร้อยกิโลเมตร คลื่นนี้ก็ยังไม่หายไปไหน มันยังคงถูกเสาอากาศของเมืองซิลเวอร์บันทึกเอาไว้

สิ่งที่รับมันเอาไว้คือเครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสองตัว

หลังเครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบผงโลหะที่ดูโบราณเครื่องหนึ่งจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้แล้ว ผงโลหะที่อยู่ในหลอดแก้วจะเกิดการจับตัวกัน นี่ทำให้ความต้านทานในวงจรไฟฟ้าลดลงอย่างกะทันหัน หลอดไฟที่เดิมดับอยู่พลันปล่อยแสงสีเหลืองนวลๆ ออกมา ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมันก็คือบอกให้คนที่เฝ้าดูรู้ว่าเสียงกำลังสะท้อนลงมาจากฟ้าแล้ว

อีกเครื่องหนึ่งคือเครื่องตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบแร่ มันไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าใดๆ หากแต่อยู่ในสถานะรับฟังเพียงอย่างเดียว แร่ตะกั่วก้อนหนึ่งกับสายเหนี่ยวนำที่เสียบเข้าไปกลายเป็นเหมือนวัตถุกึ่งตัวนำตามธรรมชาติ พลังงานที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปล่อยออกมากลายเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ จำเป็นต้องใส่หูฟังถึงจะได้ยินเสียงของมัน

ในสถานการณ์ที่ไม่มีการปรับสัญญาณออด เสียงที่มันส่งออกมาจึงไม่ใช่เสียงติ๊ดที่ฟังดูชัดเจน แต่มันยังคงมีความถี่ในเวลาที่ส่งข้อความปรากฏออกมาอย่างถูกต้อง

ต่อไปก็เป็นการทำกระบวนการนี้ย้อนกลับ

ระยะทางไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แสงมีความเร็วเท่าไร มันก็เร็วเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือตัวมันก็คือแสง

อันนาทวนซ้ำสามครั้งก่อนจะวางคันเคาะลง

ตามที่ได้นัดหมายว่า หากเมืองซิลเวอร์ได้รับข้อความจากทางนี้ ก็ให้ส่งข้อความที่เหมือนกันกลับมา ถ้าเป็นวิธีส่งจดหมายตามปกติ ทั้งสองที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5 – 7 วันกว่าจะส่งจดหมายหากันได้สำเร็จ ถ้าเปลี่ยนเป็นนกส่งจดหมาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวัน

แต่ในตอนที่อันนาวางคันเคาะลง แสงไฟที่เครื่องรับก็สว่างขึ้นมา

มันเกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น!

ในกลุ่มเจ้าหน้าที่มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา

บารอฟที่ถูกปิดตาอยู่ไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาฟังอยู่นาน สุดท้ายก็ค่อยๆ เขียนข้อความที่เขาได้ยินลงไปในกระดาษ

ในตอนที่เขาถอดเอาหูฟังกับผ้าปิดตาออก เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปถามผลการทดสอบแล้ว เมื่อดูจากสายตาตกตะลึงที่ทุกคนแสดงออกมา คำตอบมันได้ออกมาแล้ว

สัญลักษณ์บนกระดาษคือขีดสามขีดกับจุดสองจุด!

……………………………………………………………….