GGS:บทที่ 990 ขยะสู่อนาคต

หลังจากข่าวผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศปล่อยออกไป ในตอนนี้ที่โลกภายนอกนั้น เรื่องนี้ได้กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เขายังมีกิจวัตรประจำที่ยังต้องจัดการ กับเรื่องของมดปลวกนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
ที่บ้านของเขา ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้ใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นจึงได้ทำการบ่มเพาะต้นไม้ต่างๆที่เขาปลูกโดยการใช้กะโหลกเร่งเวลาและดินจอมเขมือบ อย่างเช่น
ไม้หัวที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯอสูรกายกระหายเลือด(เขตแดนนองเลือด)
ต้นหลิวที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียน
ต้นท้อเขียวที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน
ต้นทองแดงประกายเพลิงที่ได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้า
เอาจริงเขายังมีต้นไม้ที่มีสรรพคุณสุดแสนจะลึกล้ำอยู่มากมาย แต่พวกมันนั้นจะเป็นต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะตัวเองมากมายหลายร้อยปีถึงจะแสดงความวิเศษของพวกมันออกมา

หลังจากเสร็จเรื่องต้นไม้แล้ว ซูจิ้งใช้เวลาในการศึกษาตำราและสมบัติต่างๆอย่างผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำ ตำราทางพุทธ แผ่นหนังต่างๆ กระจกส่องเวลา พระธาตุ พิษต่างๆ แมลงต่างๆ และสมบัติชิ้นอื่นๆ จนในตอนนี้เขานั้นได้เข้าใจการทำงานของสมบัติต่างๆอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
โดยเฉพาะการใช้งานต้นทองแดงประกายเพลิงที่ตอนนี้ต่อให้เขานั้นยังไม่ได้เริ่มใช้มันแต่ก็เข้าใจวิธีการใช้ต้นไม้นี้ได้อย่างดี

แต่สมบัติที่ยังทำให้เขานั้นยังต้องปวดหัวอยู่ก็ยังมี อย่างเช่นผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำผืนนั้น ไม่ว่าซูจิ้งใจส่งพลังงานชนิดไหนเข้าไป ผ้าผืนนี้ก็ไม่ตอบสนองเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อดูจากพลังงานที่มันปล่อยออกมาแล้วเขาก็รู้ดีว่ามันต้องไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าธรรมดาอย่างแน่นอน
“ปล่อยพลังใส่ไปทั้งพลังภายใน ทั้งพลังวิญญาณ นี่แกยังต้องใช้วิธีการอะไรอีกเนี่ยถึงจะใช้งานแกได้….หรือว่าต้องใช้พลังเวทย์?”
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งก็ได้โบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไปมาก่อนที่จะนึกถึงอักษรจากตำราเวทย์มนต์ที่เขาได้จากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าไว้ในใจในทันที
จิตใจของเขาได้พลุ่งพล่านและวาดภาพตัวอักษรต่างขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว พวกมันถูกเรียบเรียงอย่างสวยงามราวกับว่าเป็นโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลยก็ว่าได้
ในตอนนี้เองที่ดวงตาของซูจิ้งเป็นประกายขึ้นมาในทันที ก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองยังผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำแบบตาไม่กระพริบ ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาเบาๆว่า
“ไม่ใช่ว่านี่คือเวทย์มนต์ปลุกทหารลับของสำนักเต๋าหรอกเหรอ”

ในห้วงเวลาสุสานไร้ค่านั้น สำนักเต๋ามีเวทมนต์เรียกทหารอยู่สามประเภทประกอบด้วยทหารจู่โจม(ซุ่มโจมตี) ทหารป้องกัน(แนวหน้า) และทหารลับ(ลอบสังหาร)
ในทหารทั้งสามประเภท ทหารหน่วยจู่โจมนี้ถือได้ว่าทรงพลังที่สุด พวกมันสามารถล่าล้างสัตว์ประหลาดได้อย่างไม่ยากเย็น แม้แต่ขุนพลในกองกำลังต่างๆก็ตกตายโดยพวกมันได้หากประมาท
มีเพียงผู้บ่มเพาะระดับจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถควบคุมและต่อกรพวกมันได้ วิธีการใช้เวทย์มนต์นี้ก็คล้ายกับการเสกถั่วให้เป็นทหาร หรือหงอคงที่เป่าขนกลายเป็นตัวเอง
สำหรับกองกำลังหน่วยลับนี้ถือได้ว่าเป็นไพ่ลับชิ้นหนึ่งของจักรพรรดิ์ฉิงที่เป็นขั้วอำนาจแห่งฝั่งตะวันออก และมีเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้เวทย์มนต์นี้ได้อย่างชำนาญ นั่นก็คือ จักรพรรดิ์ลู่หยวน
และด้วยการผู้ที่ฝึกวิชานี้จะทำให้ผู้ฝึกสามารถบ่มเพาะได้ทั้งห้าธาตุ จึงมักจะมีคนฝึกฝนวิชานี้กันอย่างแพร่หลาย
“อืมมมม ผู้เชี่ยวชาญอย่างจักรพรรดิ์ลู่หยวนนั้น ถึงแม้เขาจะมีการบ่มเพาะเพียงสี่ธาตุแต่นั่นก็ไม่สมควรที่จะทำให้ผ้าผืนนี้ได้รับความเสียหายในการฝึกขนาดนั้น
กับจักรพรรดิ์ฉิงยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่เพราะเขานั้นมีการบ่มเพาะทั้งห้าธาตุ ไม่มีทางพลาดอย่างแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นที่เป็นไปได้ก็คงจะมีใครสักคนอย่างลูกศิษย์ คนงาน ไม่ก็สาวใช้ ที่แอบเอาออกมาฝึกโดยไม่รู้เรื่องอะไรแต่ไม่สำเร็จแล้วพลาดจนเสียหายเลยโยนทิ้งออกมาเพื่อทำลายหลักฐาน…..
….. ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็เป็นไปได้ว่านี่สมควรจะเป็นผ้าผืนนี้จะเป็นของจักรพรรดิ์ลู่หยวนสินะ ถ้าอย่างนั้นวิธีการใช้ผ้าผืนนี้ก็ควรจะเป็นของจักรพรรดิ์ลู่หยวน ถ้าเป็นอย่างนั้นวิธีการใช้งานก็ควรจะเป็น…”

คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งได้วิ่งออกจากพื้นที่เก็บของที่เขาเก็บแยกสมบัติจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเอาไว้
ด้วยการที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ยังไม่ยอมรับเขาเป็นเจ้าของ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะไม่ยอมให้เขาได้ใช้งานของมัน แต่ตราบใดก็ตามที่คนที่ครอบครองผ้าผืนนี้เอาไว้หากรู้ว่าทริคบางอย่างล่ะก็ ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานมันได้อย่างง่ายดาย
เมื่อถึงพื้นที่หนึ่ง ซูจิ้งได้โยนผ้าไหมทองคำนี้ขึ้นไปบนอากาศ หลังจากนั้นเขาได้พูดอะไรบางอย่างออกมา
ตอนนั้นเอง ผ้าไหมทองคำได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นทหารร่างยักษ์ที่มีปากกว้างปรากฎร่างอยู่ลางๆในอากาศ ทหารร่างยักษ์นี้ก็คือยักษ์ ความสูงของมันอยู่ที่ประมาณสี่ไม่ก็ห้าเมตรเห็นจะได้ กลิ่นอายของมันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อันตรายและสุขุม
หากเหล่าผู้บ่มเพาะร่างกายที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯได้เจอกับทหารตนนี้ พวกเขาก็เปรียบได้ไม่ต่างจากไก่ตัวน้อยๆเลยทีเดียว

“ไอ้ฉิบ….” ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะเตรียมใจไว้บ้างแต่เขาก็ยังตกใจเมื่อได้เห็นทหารร่างยักษ์ประดุจดั่งภูเขาลูกย่อมๆตนนี้จนเผลอสะดุ้งเฮือกไปเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็สงบใจลงได้ก่อนจะพูดออกมาว่า “ขอดูความแข็งแกร่งของแกหน่อยสิ”
ทหารร่างยักษ์ที่เพิ่งจะถูกปล่อยออกมาจากผ้าไหมทองคำนั้นยินยอมรับฟังคำขอของซูจิ้งแต่โดยดีโดยไม่แข็งขืนแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นมันได้เดินไปที่ลานจอดรถบรรทุกที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาได้ทำการจับคานพ่วงให้โค้งงอได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ได้ใช้มือข้างหนึ่งยกกระบะพ่วงขึ้นได้ด้วยมือเพียงมือเดียวอย่างง่ายดาย
หากมีใครมาเห็นทหารตนนี้ในตอนนี้ล่ะก็แน่นอนว่าต้องตกใจจนเป็นลมล้มพับไป นี่ทหารตนนี้มีความแข็งแกร่งอยู่เท่าไหร่กันเนี่ยแค่มือเดียวก็ยกกระบะพ่วงคันยักษ์ได้ขนาดนี้ สัตว์ประหลาดนี่ยังไงก็ยังเป็นสัตว์ประหลาดอยู่วันยังค่ำแหะ

“จิ้ จิ้ ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะยังไม่ใช่ทหารที่แข็งแรงที่สุดสินะ แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้เท่านี้ก็ดีแล้ว” ซูจิ้งเดาะลิ้นก่อนที่จะพูดให้กำลังใจตัวเองออกมากลายๆ
เขารู้ดีว่าเจ้าผ้าแบบนี้มีชนิดที่คุณภาพดีกว่านี้อย่างแน่นอน เขายังได้ทดสอบความสามารถของทหารยักษษ์ตนนี้ต่อไป และในที่สุดแล้วเขาจึงได้ลองเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของเขากับทหารตนนี้ดู
หลังจากที่เขาได้ลองเปรียบเทียบดูแล้วก็พบว่าทหารตนนี้ถึงแม้จะแข็งแรงก็จริง แต่มันก็ยังไม่ทรงพลังเท่าเขา แถมตัวมันนั้นยังเชื่องช้า และทุกการก้าวเดินยังก่อให้เกิดเสียงอันดังก้อง หากไม่นับเรื่องแข็งแกร่งแล้ว ทหารตนนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าผ้าผืนนี้สมควรจะเป็นผ้ายันต์อัญเชิญ และน่าจะเป็นระดับต่ำสุดในผ้ายันต์ทั้งหมด” ซูจิ้งได้ตัดสินคุณลักษณะของผ้ายันต์ผืนนี้ในทันที
ผ้ายันต์ผืนนี้สมควรที่จะใช้ในการอัญเชิญทหารระดับต่ำเพื่อใช้ในงานที่ต้องใช้แรงงานเท่านั้น ไม่ใช่ทหารที่เอาไว้ใช้ในการต่อสู้แต่อย่างใด เอาจริงๆระดับของมันนี่ไม่น่าจะถึงทหารระดับต่ำสุดด้วยซ้ำ
ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่านั้นทหารตนนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลยสักนิด แต่กลับโลกใบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ ด้วยความแข็งแรงขนาดนี้ไม่มีทางเลยที่มันจะอ่อนแอในการสู้รบ
ดีไม่ดีในโลกนี้น่าจะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะกำราบมันได้ ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลยหากเจอล่ะก็หากไม่กลายเป็นเนื้อบดก็คงจะเละเทะด้วยการบีบเพียงครั้งเดียว
แน่นอนว่าซูจิ้งจะไม่ยอมให้ทหารตนนี้ไปทำอันตรายใครนอกเสียจากว่าเขานั้นจะอนุญาต เอาจริงๆแค่เจ้านี่ออกมาก็สมควรที่จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไรแม้แต่น้อยแล้ว
“นึกๆไปแล้วผ้ายันต์นี่ก็ไม่เลวแหะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสมากขึ้น เพียงแค่หนึ่งความคิด ทหารยักษ์ก็ได้กลับกลายเป็นผ้ายันต์แล้วลอยกลับมาอยู่ในมือซูจิ้ง จากนั้นเขาก็เก็บมันเอาไว้ในกระเป๋ามิติของเขา

หลังจากที่ซูจิ้งจัดการสมบัติทั้งหมดจนเสร็จแล้ว เขาก็ได้รีบเข้านอนแต่หัวค่ำและตั้งใจว่าจะขอพักเต็มที่สักสองสามวัน แต่ในช่วงตีสามถึงตีสี่ของวันถัดมา เขาก็ต้องตื่นขึ้นด้วยเสียงของฉิงหยุนที่บอกออกมาว่
“ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วค่ะ”
ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นได้ลุกพรวดขึ้นมาในทันที ตัวเขาไม่ได้มีท่าทางงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นแต่อย่างใด กลับกัน ดวงตาของเขานั้นเปล่งประกายและแสดงท่าทีตื่นเต้นขั้นสุดออกมา
พลางนึกในใจว่าในที่สุดขยะฯชุดใหม่ก็มาเสียที ก่อนที่เขาจะวิ่งลงไปยังชั้นหนึ่งและตรงเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาในทันที
เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ได้เห็นวังวนมิติหมุนวนอยู่กลางอากาศ หลังจากนั้นก็ได้มีขยะห้วงเวลาฯไหลลงมาจำนวนมาก จากที่เขาสังเกตในตอนนี้ส่วนใหญ่แล้วขยะที่ไหลเข้ามาจะเป็นก๊าซของเสีย เหล็กขึ้นสนิม ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ และของอื่นๆที่บ่งบอกว่าขยะกองนี้น่าจะมาจากห้วงเวลาฯที่ล้ำยุคเป็นแน่
หลังจากที่มองอยู่นิ่งๆอยู่อย่างนั้นแต่สมองของเขากลับกำลังคิดประเมินอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขานั้นบอกไว้ฝังใจว่ายิ่งห้วงเวลาฯที่ขยะฯพวกนี้จากมาเข้าใกล้ยุคเดียวกับโลกนี้มากเท่าไหร่
ขยะฯพวกนั้นก็แทบจะไม่มีสมบัติเลยแม้แต่น้อยนี่จึงเป็นเหตุให้เขาทำเพียงยืนนิ่งจนไม่อยากจะทำอะไรในตอนนี้

หากว่าขยะเหล่านี้มาจากห้วงเวลาฯที่มีบรรยากาศโบราณกาลอย่างห้วงเวลาฯจูเซียน ห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ ขยะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่มีค่าพอจะเป็นสมบัติได้อยู่มากมาย ในทำนองเดียวกัน หากขยะจากโลกใบนี้หลุดเข้าไปอยู่ในห้วงเวลาฯอื่น แน่นอนว่าพวกมันเองก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติแสนล้ำค่าได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการหลอมเหล็ก หรือแม้แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หากได้ไปเพียงหนึ่งก็เพียงพอต่อการเปลี่ยนห้วงเวลาฯของพวกเขาได้เช่นเดียวกัน เพรายังไงซะห้วงเวลาฯเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วยังเป็นคนธรรมดาที่เป็นประชากรขั้นพื้นฐานของห้วงเวลาฯเหล่านั้น
แต่ถ้าห้วงเวลาฯที่ขยะฯเหล่านี้จากมา มีบรรยากาศของยุคสมัยไม่ห่างจากโลกใบนี้ล่ะก็ คงเป็นการยากที่จะหาสิ่งที่แตกต่างกันได้มากนัก
นอกเสียจากว่าขยะฯเหล่านี้มาจากห้วงเวลาที่ล้ำน่ากว่าปัจจุบันล่ะก็ นี่จะแตกต่างจากสิ่งที่ซูจิ้งคิดอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม ความเซ็งเป็ดของซูจิ้งก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าเขานั้นได้เห็นบางสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีสภาพเป็นโลหะ รวมถึงชิ้นส่วนที่มีรูปร่างแปลกตา นี่ช่วยให้ซูจิ้งนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าขยะห้วงเวลาฯคราวนี้มาจากห้วงเวลาฯที่ยุคสมัยแตกต่างและล้ำหน้ากว่าบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน