หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโต สายตาดุดันของนางทำให้เด็กหนุ่มกลัวจนต้องถดถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดลงทันที ริมฝีปากขยับเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ เปิดปากพูดว่า “ข้า ข้า อีก อีกไม่นานเขาก็จะเข้ามาแล้ว…”
คำต่อไปไม่ได้พูดออกมา หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจ ชายฉกรรจ์ที่คอยดูแลพวกเขาได้ยินว่าเสียงน้ำหยุดไปแล้ว ไม่นานก็จะเข้ามา เด็กหนุ่มกำลังเตือนนางด้วยความหวังดี แววตาดุร้ายจึงได้หายไป ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ลงจากเตียง หยิบเสื้อผ้าชุดสุดท้ายจากบนเก้าอี้ เทียบกับร่างของตนเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าลมเย็นยามค่ำคืน “หันหลังกลับไปให้หมด หากใครแอบดูข้าอาบน้ำ ข้าจะจกตาผู้นั้นออกมา”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด ไม่รู้ว่าเข้มแข็งกว่าพวกเขากี่เท่า ในใจของเด็กหนุ่มเหล่านั้นเดาได้ว่าสถานะของ ‘เขา’ ไม่เหมือนกับพวกตน รวมกับสายตาน่ากลัวนั้นทำให้พวกเขากลัวเป็นอย่างมาก ขณะนั้นเด็กหนุ่มไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงได้หันกลับไปอย่างว่าง่าย
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังให้พวกเขา เอาเสื้อผ้าที่ถูกส่งมาพากไว้บนไหล่ของตน ค่อยปลดกระดุมเสื้อ ถอดออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำเสื้อผ้าด้านนอกสวมทับไป ท่าทางคล่องแคล่ว แทบจะไม่ได้เผยผิวกายอ่อนนุ่มขาวใสของนางออกมา
เมื่อใส่เสื้อผ้า ติดกระดุมเสร็จแล้ว ก็นำสิ่งของติดตัวที่คนในโรงแรมไม่ได้ค้นเจอออกมา ใส่ไว้ในอก
หันหลัง ยังไม่ทันพูดอะไรชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามา กวาดตามองคนในห้องด้วยสายตาดุร้าย เมื่อเห็นว่าพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครขัดคำสั่ง ความดุร้ายในสายตาจึงได้หายไป โบกมือ ด้านนอกประตูมีคนเข้ามา นำเสื้อผ้าที่พวกเขาเปลี่ยนตอนอาบน้ำออกไป จากนั้น มีคนนำสำรับอาหารมาให้
อาหารมีควันร้อนพุ่งออกมา แถมยังมีกลิ่นหอมยั่วยวนมากอีกด้วย เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าอดข้าวมากี่มื้อแล้ว ลืมว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ต่างกลืนน้ำลายลงอย่างลืมตัว จับจ้องไปยังอาหารอย่างไม่ละสายตา
มีเพียงหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ไม่เป็นเช่นนั้น ทำราวกับว่าไม่ได้กลิ่นหอม นางก้มหน้า จัดแจงเสื้อผ้าที่ดูจะใหญ่ไปสักเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์สังเกตท่าทางของเด็กหนุ่มทุกคน ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นท่าทางของหวงฝู่เย่าเย่ว์คิ้วก็ได้ผ่อนคลายลง แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินออกไป
เมื่อเห็นร่างพวกเขาลับตาไปจากประตูแล้ว เด็กหนุ่มผู้หิวโหยทั้งหลายเดินไปข้างโต๊ะ ไม่ทันนั่งลงก็เริ่มหยิบอาหารเข้าปากแล้ว
เสียงกินอย่างมูมมามทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้วลง ลืมความคิดที่อยากจะกินข้าวไป จึงได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง จากนั้นเอื้อมมือไปคว้าผ้าห่มมาคลุมตัว เพื่อไม่ให้มีอะไรโผล่ออกมา
“พวกเจ้ากินกันเถิด เมื่อคืนข้ากินไปเยอะ ยังไม่หิว” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดพร้อมปิดตา
เด็กหนุ่มมองหน้ากัน มองดูเศษอาหารบนโต๊ะ ก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดหวงฝู่เย่าเย่ว์จึงไม่อยากกิน
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้หาที่นั่งกัน ลูบคลำท้องที่กินจนอิ่ม และฉุกคิดได้ว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จากนั้นก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียง แต่ในใจกลับคิดอย่างรวดเร็วว่าชายฉกรรจ์หน้าประตู และควาสามารถการต่อสู้ของตนนั้นไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย หากอยากจะหนีไปคงไม่สามารถทำได้ในเร็ววันนี้ ตนจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งของพวกเขาไปก่อน ทำตัวเชื่อฟังเสียหน่อย อาศัยช่วงที่พวกมันไม่ได้ระวังหลบหนีไป
ทั้งหมดนี้ต่างเป็นเรื่องรอง แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่เข้าใจคือเหตุใดชิงเฟิงโหลวจึงต้องจับตัวเด็กหนุ่มมาด้วย คิดถึงตรงนี้ ก็เบิกตาโพลง ถามเด็กหนุ่มที่พูดกับตนเมื่อกลางวันว่า “เจ้า มานี่! ”
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้น เกร็งตัวขึ้น มอง ‘เขา’ อย่างเกรงกลัว ไม่ขยับ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้ว ค่อยๆ นั่งลง
เด็กหนุ่มกลัวจนต้องถดร่างไปด้านหลัง ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลออย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มคนอื่นก็เบิกตาโตมองมาทางนางเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่อยากถามอะไรบางอย่าง” หวงฝู่เย่าเย่ว์ผ่อนคลายเสียง พูดช้าๆ
สีหน้าหวาดกลัวของเด็กหนุ่มหายไปเล็กน้อย เดินเข้าไปหาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ถามอย่างติดขัดว่า “เรื่อง เรื่องอะไรหรือ”
“ความหมายของเจ้า ชิงเฟิงโหลวก็คือหอโคมเขียว อย่างนั้นจะจับพวกเรามาด้วยเหตุใดกัน” หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามด้วยความไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันที กลืนน้ำลายเล็กน้อย ก้มหน้าลง ถามเสียงเบาว่า “ไม่ ไม่ ใช่หอโคมเขียว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ถามต่อว่า “ไม่ใช่หอโคมเขียวแล้วคืออะไรกัน”
ราวกับเดาได้แล้วว่าชะตาชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นเทาขึ้นมายิ่งนัก น้ำเสียงมีความหวาดกลัวอยู่มาก “เป็น หอนางโลมของชาย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์โตมาในจวนอ๋อง ไม่รู้จักของพวกนี้จริงๆ ขนาดเรื่องในหอนางโลมยังได้ยินคนพูดถึงบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนหอนางโลมชายนั้นนางไม่รู้จริงๆ ว่าคืออะไร เมื่อได้ยินดังนั้น จึงขมวดคิ้ว เสียงดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “พูดให้กระจ่างกว่านี้ที อะไรคือหอนางโลมชาย และเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เด็กหนุ่มลืมความหวาดกลัวไป เงยหน้ามองนางด้วยความประหลาดใจ ในใจสงสัยว่า ทำไมนางจึงไม่รู้จักหอนางโลมชาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกดวงตาสวยมองเขา แม้ว่าจะเป็น ‘ผู้ชาย’ เช่นเดียวกัน แต่เขาถูกหวงฝู่เย่าเย่ว์จ้องเช่นนี้ หน้าของเด็กหนุ่มก็แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง ตอบกลับด้วยเสียงเล็กเหมือนเสียงยุง “ก็คือ ก็คือพวกเราเป็นของเล่นของพวกผู้ชายที่มีความชอบแปลกๆ อย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เข้าใจอะไรได้บางอย่าง เบิกตาโพลง ชี้มาที่ตนเองพร้อมถามว่า “เจ้าหมายความว่าพวกเรา…”
เด็กหนุ่มพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกว่าในหัวของตนมีอะไรระเบิดออกมา ดังก้องอยู่ในหัว ปากหุบลงและเปิดขึ้นอยู่หลายครั้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มเห็นว่าสีหน้าของนางผิดปกติไป จึงได้โบกมือไปมาตรงหน้านาง ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติกลับมา รีบลุกลงจากเตียง
เด็กหนุ่มตกใจรีบถอยหลังไปหลายก้าว
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงรับเรื่องนี้ไม่ได้ จ้องเขาตาโต ถามว่า “โลกนี้มีเรื่องเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มอ้าปากเล้กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร
การมีอยู่ของที่เช่นนี้ไม่ใช่ความลับอะไร สิ่งที่เขาสงสัยคือเหตุใดหวงฝู่เย่าเย่ว์จึงไม่รู้
ไม่รอให้เด็กชายตอบ หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็ไม่ถามต่อ เดินไปมาในห้องด้วยสายตาจริงจัง ในหัวคิดไม่หยุด
นึกถึงท่าทางที่แม่เล้าทำกับพวกเขา คงจะให้พวกเขาเริ่มการทำงานในไม่ช้านี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเด็กหนุ่มเหล่านั้น แต่ตนเป็นหญิงปลอมตัวมา หากถึงตอนนั้นถูกจับได้เข้า จุดจบจะต้องน่ากลัวเป็นแน่ อย่างนั้นตนจะต้องหนีออกจากที่นี่ก่อนถึงตอนนั้น แต่ว่า…
คิดถึงตรงนี้ มองไปทางบรรยากาศแปลกตารอบด้าน และชายฉกรรจ์น่ากลัว ในใจเกิดกลัวขึ้นมา นางถูกโปะยาสลบส่งเข้ามา แม้ว่าเมื่อครู่ออกมาจากห้องนั้น ก็ได้สังเกตรอบๆ ไปบ้างแล้ว แต่ภายนอกนั้นเป็นอย่างไรเล่า หากว่าหนีออกไปได้แล้ว นางควรจะไปที่ใด แม่เล้าพูดไว้แล้ว ว่าหมู่บ้านนี้เป็นถิ่นของนาง หมายความว่า โอกาสที่นางจะขอร้องให้คนมาช่วยนั้นน้อยเหลือเกิน แม้เป็นคนที่มีปัญญาน้อยนิดก็ไม่มีทางช่วยเด็กหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง แล้วต้องมีปัญหากับคนที่มีอิทธิพลสูงสุดในหมู่บ้านนี้ดอก
นางปิดตาลงเล็กน้อย บังคับให้ตนสงบลง เตือนตนเองเสมอว่า จะต้องมีทางออกเป็นแน่ จะต้องมีทางออก
ณ ค่ายทหาร
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านอนอย่างไม่สบายใจ ไม่นานก็ตื่นขึ้น แต่งตัวเรียบร้อย ให้สาวใช้พาทั้งสองไปหาหลินจ้ง
หลินจ้งนั่งอยู่ที่โถงด้านหน้า รอข่าวจากลูกน้อง เมื่อเห็นทั้งสองมาหา จึงได้ลุกขึ้นทำความเคารพ
หวงฝู่สือเมิ่งโบกมือ “ผู้บัญชาการหลิน ตอนที่ข้าออกมา ท่านพ่อและท่านแม่ข้าได้สั่งไว้ว่า เมื่อพวกเราพบท่านแล้ว พวกเราเป็นเด็ก ดังนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องทำความเคารพพวกเราหรอก”
หลินจ้งยังคงยื่นมือคำนับทั้งสอง พูดว่า “หลินจ้งขอขอบพระคุณซื่อจื่อ และซื่อจื่อเฟย แต่นี่เป็นธรรมเนียมจะละเลยไม่ได้”
หวงฝู่สือเมิ่งไม่พูดพล่าม รีบถามว่า “มีข่าวคราวของน้องข้ามาบ้างหรือไม่”
หลินจ้งส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
เงยหน้ามองสีท้องฟ้าเล็กน้อย น้ำเสียงหวงฝู่สือเมิ่งร้อนรน “ฟ้ายังไม่มืด ข้าและเฮ่าเอ๋อร์ออกไปตามหาอีกรอบดีกว่า”
หลินจ้งห้ามเอาไว้ “ท่านหญิงน้อยและคุณชายเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นชินกับชายแดนฝั่งนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพบซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยได้อย่างไร ท่านทั้งสองวางใจเถิด ลูกน้องของข้าจะออกตามหาท่านหญิงอย่างสุดความสามารถ ขอท่านทั้งสองอย่าร้อนใจไปเลยขอรับ”
ทั้งสองร้อนใจมาก นั่งไปเป็นสุข ยืนยันจะออกตามหาอย่างเดียว หลินจ้งห้ามไม่อยู่ จนปัญญา กำลังจะสั่งคนให้พาพวกเขากลับไป หลินหันเยียนก็ยกชายกระโปรงเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ
เมื่อเห็นหน้าของหวงฝู่เฮ่าชัดแล้วนั้น ฝีเท้าของนางก็ชะงักลง หยุดหายใจ เดินเข้าไปหาหวงฝู่เฮ่าช้าๆ จ้องมองหน้าเขา
หวงฝู่เฮ่าขมวดคิ้ว แต่ก็ยังถามด้วยความมีมารยาทว่า “ท่านนี้คือ”
ดวงตาของหลินหันเยียนมีน้ำตารื้นขึ้นมา ปากขยับ พูดอะไรไม่ออก
หลินจ้งรีบแนะนำ “นี่เป็นน้องสาวของข้าเอง มาที่ชายแดนได้สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยเห็นผู้ที่มาจากเมืองหลวง บัดนี้เห็นท่านทั้งสอง จึงได้ตกใจไม่น้อย ขอท่านหญิงและคุณชายอย่าได้ถือสาเลย”
“ท่านก็คือแม่นางหลินนั่นเอง” หวงฝู่เฮ่ากล่าว
หลินหันเยียนพยักหน้า
หวงฝู่เฮ่าโน้มตัวทำความเคารพ “เมื่อตอนข้ามา ท่านพ่อบอกว่าหากพบท่านให้ฝากทักทายท่านด้วย”
สีหน้าของหลินหันเยียนตระหนกกว่าเดิม น้ำเสียงตะกุกตะกัก “พี่อวี้เขา…ยังจำข้าได้หรือ…”
หวงฝู่เฮ่าพยักหน้า “ท่านพ่อกล่าวว่า โชคดีที่ตอนนั้นมีท่านแนะนำ ท่านพ่อและท่านแม่จึงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเช่นทุกวันนี้”
ฟังจบ รอยยิ้มของหลินหันเยียนก็หายไป ทั้งโกรธและเสียใจ เจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก
หลินจ้งเห็นทั้งหมด จึงได้ถอนใจเบาๆ ส่งเสียงตัดบทพวกเขา “เยียนเอ๋อร์ คุณชายและท่านหญิงมีเรื่องต้องทำ มีเรื่องอะไรจะถามก็รอให้หาท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ให้พบเสียก่อนเถิด”
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า” หลินหันเยียนพูด น้ำเสียงมีความร้อนรน
หลินจ้งไม่ได้กล่าวอะไร หวงฝู่เฮ่าปฏิเสธแบบอ้อมๆ “ขอบคุณแม่นางหลิน แต่มีเพียงข้าและพี่เมิ่งเอ๋อร์ก็เพียงพอแล้ว หากท่านพ่อรู้ว่าข้าทำให้ท่านลำบาก จะทำโทษข้าได้”
หลินหันเยียนกำลังจะพูดต่อ แต่หวงฝู่เฮ่าหันหลังกลับไป พูดกับหลินจ้งว่า “ผู้บัญชาการหลิน รบกวนท่านด้วย”
คำที่หลินหันเยียนจะพูดก็ถูกกลืนเข้าไป
หลินจ้งพยักหน้า เรียกคนมาทันที สั่งให้ไปดูแลทั้งสองคน
คนทั้งหมดออกมา
หลินหันเยียนมองร่างของหวงฝู่เฮ่าอย่างล่องลอย เดินตามไปหลายก้าว
“เยียนเอ๋อร์” หลินจ้งเรียกนาง
หลินหันเยียนหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับ ดวงตาแดงก่ำ “ที่ใหญ่”
หลินจ้งถอนหายใจ เดินไปหานาง “เยียนเอ๋อร์ เรื่องที่ควรลืมก็ลืมไปเถิด”
“พี่ใหญ่ถ้าหาก ถ้าหากตอนนั้นข้าเองมีลูก ก็คงจะโตขนาดนี้แล้วหนา” น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ไหลรินลงมา
แววตาของหลินจ้งจริงจังขึ้นมา น้ำเสียงก็จริงจังขึ้น “เยียนเอ๋อร์ ไม่มีถ้าหาก อดีตก็คืออดีต เจ้าอย่ามีความคิดมากไปกว่านี้
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว” หลินหันเยียนตอบรับ แต่ก็ยังสะกดเสียงสะอื้นไม่ได้ “ข้าเพียงแต่คิดก็เท่านั้น ท่านพี่อย่างกังวลไปเลย”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าพาเหล่าทหารออกตามหาจนฟ้ามืด ก็ไม่มีข่าวคราวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงได้ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม จึงได้ส่งองครักษ์นายหนึ่งไปหาฉู่เหวินเจี๋ย ถามว่าทางนั้นได้ข่าวอะไรหรือไม่
ในขณะที่ทุกคนกำลังร้อนใจนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็ร้อนใจเช่นกัน เดินวนไปมาในห้องอยู่นาน ก็ยังคิดหาทางออกไม่ได้เสียที
เด็กหนุ่มคนอื่นเห็นเขาเดินไปเดินมา จึงได้มอง ‘เขา’ อย่างสงสัย
ในที่สุด ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจ เงยหน้าขึ้น ถามเด็กหนุ่มในห้องว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าในเมืองนี้มีร้านขายบะหมี่มันฝรั่งหรือไม่”
เด็กหนุ่มมองหน้ากัน ส่ายหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์สลดใจ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกัดปาก พูดอย่างระวังว่า “หมู่บ้านนี้ไม่มี แต่เดินตรงผ่านไปห้าสิบลี้ จะเป็นเมืองหยางเฉิง ในเมืองนั้นมีร้านบะหมี่มันฝรั่งอยู่