บทที่ 710 ทำไมเจ้าต้องคาดที่ปิดตาด้วย?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 710 ทำไมเจ้าต้องคาดที่ปิดตาด้วย?

รถม้าที่มีสัญลักษณ์หนูตัวอ้วนอยู่บนห้องโดยสารแล่นฉิวไปบนถนนอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ภายในห้องโดยสาร และกำลังเคาะนิ้วไปบนขอบหน้าต่างเล่นฆ่าเวลา

เขาไม่เคยพบเจอเหลียงหยวนเตามาก่อน จึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนคนนี้จะเป็นบุคคลเช่นใด และนั่นก็ทำให้การวางแผนของเด็กหนุ่มยากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้เลยก็คือ เหลียงหยวนเตายังไม่ได้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนแน่นอน

เต็มที่ก็คงมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

ซึ่งถือว่าเป็นระดับพลังที่หลินเป่ยเฉินยังพอรับมือได้โดยไม่มีปัญหา

ก่อนหน้านี้ เขาส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นามทางแอปวีแชท แต่ก็ไม่ได้รับข้อความตอบกลับมาเลยสักข้อความเดียว

หลินเป่ยเฉินไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางหรือไม่

พอถึงตอนที่ต้องขอความช่วยเหลือ กลับติดต่อกันไม่ได้อีกแล้ว

นี่หมายความว่าหากการพบเจอกับเหลียงหยวนเตาในครั้งนี้เกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นมา หลินเป่ยเฉินก็จะต้องแก้ปัญหาเพียงลำพัง ไม่มีความช่วยเหลือจากดินแดนทวยเทพคอยแบ่งเบาภาระอีกแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินจะไม่ไปตามคำเชิญก็ไม่ได้

เมื่อใช้ความคิดอีกพักใหญ่ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายมุ่งมั่น

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องช่วยไต้จือฉุนกลับมาให้ได้

ไต้จือฉุนเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่ซื่อสัตย์ภักดีกับเขามาตลอด

หลินเป่ยเฉินจะปล่อยให้ไต้จือฉุนทนทุกข์ทรมานไม่ได้เด็ดขาด

“ก็ได้แต่หวังว่าคนแซ่เหลียงผู้นี้คงไม่โหดร้ายเกินไปก็แล้วกัน มิฉะนั้นแล้ว หากสถานศึกษาของเราก่อสร้างเสร็จเมื่อไหร่ หมอนี่แหละที่จะถูกคิดบัญชีเป็นคนแรก”

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยจิตใจอันคับแค้น

ก่อนที่เขาจะหลับตาลงพักผ่อน

ในมือของเด็กหนุ่มถือศิลาบูชา ระหว่างการเดินทาง หลินเป่ยเฉินก็ดูดซับพลังจากพวกมันไปด้วย

สองเค่อต่อมา

รถม้าจอดลงอย่างแช่มช้า

“ถึงแล้วขอรับนายท่าน”

เสียงของกงกงดังขึ้นนอกห้องโดยสาร

หลินเป่ยเฉินเดินลงมาจากรถม้า

เบื้องหน้าเขาเป็นตึกสูงหกชั้น ก่อสร้างอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง พื้นผิวภายนอกแกะสลักเป็นรูปปั้นมังกรกำลังเลื้อยพันขึ้นสู่ท้องฟ้า

วัสดุที่ใช้ก่อสร้างเป็นอิฐแดง ได้รับการตกแต่งทาสีสวยงาม เมื่อประกอบเข้ากับงานแกะสลักอันประณีต จึงสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนได้ทันที

แน่นอนว่าการสร้างตึกที่งดงามเช่นนี้คงต้องใช้เงินไม่ใช่น้อย

หลินเป่ยเฉินสามารถยืนยันได้เลยว่าผู้ที่ออกแบบอาคารเช่นนี้ ถ้าไม่ได้มีสมองโง่เง่ามากเกินไป ก็คงเป็นคนที่ร่ำรวยมากเกินไปจนไม่รู้จะใช้เงินทำอะไรดี

นี่คือตำหนักต้าหลงในตำนาน

สถานที่แห่งความหวาดกลัวของผู้คนทั่วนครเจาฮุย

นี่คือที่ทำงานของท่านผู้ว่าการประจำเมืองเหลียงหยวนเตา

เหลียงหยวนเตามักจัดการเรื่องราวต่างๆ จากภายในตึกหลังนี้

ผู้คนส่วนหนึ่งเดินหายเข้าไปในตำหนักต้าหลงด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว หลังจากนั้น ก็เดินกลับออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข

ขณะที่ผู้คนอีกส่วนหนึ่งเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ตอนที่กลับออกมาก็กลายเป็นซากศพเสียแล้ว หรือบางคนก็หายสาบสูญไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้กลบฝังซากศพด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนผู้นี้ ล้วนไม่มีใครสามารถคาดเดาโชคชะตาของตนเองได้ทั้งสิ้น

ภายในระยะหนึ่งลี้รอบตำหนักต้าหลงปกคลุมด้วยป่าไม้และเนินเขา

หน้าตำหนักในขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่ในชุดเสื้อคลุมสีเทาสิบกว่านายยืนตั้งแถวรอรับการมาถึงของหลินเป่ยเฉิน

ใบหน้าของพวกเขาเย็นชาไม่มีชีวิตชีวา ดวงตาที่ใช้จ้องมองผู้อื่นก็ไม่ต่างจากสายตาที่ใช้มองซากปลาบนเขียงไม้เตรียมชำแหละตัวหนึ่ง

“เชิญ”

ชายฉกรรจ์ชุดเทาที่มีขีดสามขีดปักอยู่บนแขนเสื้อเดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน ก่อนผายมือนำทางไปยังประตูทางเข้าตำหนักต้าหลง

หลินเป่ยเฉินกับกงกงเดินตรงไปยังประตูบานนั้น

“ช้าก่อน”

มือปราบชุดเทาผู้นำทางยกมือขึ้น “หลินเป่ยเฉินสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

กงกงขมวดคิ้ว “ข้าเป็นองครักษ์ประจำตัวคุณชาย หน้าที่ของข้าคือการอยู่ข้างกายท่าน”

ชายฉกรรจ์แขนเสื้อสามขีดหัวเราะในลำคออย่างเหยียดหยาม “เจ้าจะเข้าไปก็ได้ แต่เจ้าต้องตายเมื่อกลับออกมา”

“เจ้า…”

แววตาของกงกงพลันเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินยกมือตบไหล่คนขับรถม้าของตนเอง

“เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอก”

ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มได้แชร์สัญญาณไวไฟให้แก่กงกงเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ได้มอบปืนอินทรีหิมะให้กงกงเอาไว้ใช้งานแล้วเช่นกัน

ปัจจุบัน กงกงมีสถานะเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่หลินเป่ยเฉินเชื่อใจมากที่สุด นอกจากได้รับการปลูกฝังแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ หลินเป่ยเฉินยังฝึกให้เขาใช้งานปืนอินทรีหิมะเป็นครั้งคราวอีกด้วย

หรือต่อให้ไม่มีปืนอินทรีหิมะ ด้วยพลังการต่อสู้ ณ บัดนี้ของกงกง ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารับมือคู่ต่อสู้ระดับปรมาจารย์ตอนปลายได้อย่างไม่มีปัญหา

“ระวังตัวด้วยนะ”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเข้ม “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น สามารถลงมือได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

กงกงก้มหน้ารับคำอย่างเคร่งขรึม “รับทราบขอรับ นายท่าน”

หลังจากนั้น อดีตอันธพาลหนุ่มก็เดินกลับไปยืนประจำการอยู่หน้ารถม้าไม่ต่างจากรูปปั้นหินตัวหนึ่ง

ชายฉกรรจ์เสื้อสามขีดจ้องมองกงกงก่อนแสยะยิ้ม มันคล้ายกับเป็นรอยยิ้มของนกแร้งยามพบเห็นกองเนื้อเน่าและได้กลิ่นคาวเลือดอย่างไรอย่างนั้น

หลินเป่ยเฉินเดินตรงเข้าไปในประตูตำหนักต้าหลง

แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าว หลินเป่ยเฉินก็หยุดชะงักและหันกลับมามองหน้าชายฉกรรจ์เสื้อสามขีด พร้อมกับถามว่า “เมื่อสักครู่เจ้ายิ้มอะไร?”

ชายฉกรรจ์เสื้อสามขีดชะงักเล็กน้อย ก่อนยิ้มมุมปาก “ข้าไม่ได้ยิ้มสักหน่อย เจ้าโง่”

“งั้นหรือ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

เพี๊ยะ!

แล้วเขาก็ยกมือขึ้น ตบออกไปอย่างแรง

ชายฉกรรจ์เสื้อสามขีดไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของเขาหมุน 360 องศาลอยกระเด็นกลับไปกระแทกเข้ากับกำแพงตึก ใบหน้ากว่าครึ่งหนึ่งกลายเป็นรอยมือแดงแจ๋

เห็นดังนั้น เจ้าหน้าที่ชุดเทาคนอื่นๆ ก็กระจายกำลังยืนล้อมกรอบหลินเป่ยเฉิน

“เจ้าทำร้ายข้าด้วยเหตุอันใด?”

ชายฉกรรจ์เสื้อสามขีดแลบลิ้นเลียเลือดที่ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ดวงตาเป็นประกายด้วยความดุร้ายไม่ต่างจากสัตว์ป่ากระหายเลือด

หลินเป่ยเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดมือของตนเอง ตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่ชอบใจสายตาของเจ้า”

ชายฉกรรจ์เสื้อสามขีดหัวเราะในลำคอ “เจ้าคือคนแรกที่กล้ามาก่อเรื่องถึงหน้าตำหนักต้าหลง…”

“อย่างนั้นหรือ? อย่าว่าแต่ตบสั่งสอนเจ้าเลย ต่อให้เป็นประมุขตึกสมองเสื่อมผู้เป็นเจ้านายของพวกเจ้า ข้าก็สามารถตบสั่งสอนได้เช่นกัน พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินกวาดตามองกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย “พวกเจ้าอยากลองดูไหมล่ะ?”

ชายฉกรรจ์เสื้อสามขีดเงียบไปแล้ว

หลังจากนั้นอึดใจหนึ่ง ความโกรธแค้นและขมขื่นบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปไม่เหลือร่องรอย

“เชิญ”

ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นมาผายมือนำทางอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ก่อนจะล้วงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมใส่ พร้อมกับจุดบุหรี่สูบ เสร็จเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปในตำหนักต้าหลง

ภายในตำหนักค่อนข้างมืดมิด ดูเหมือนถ้ำลึกลับมากกว่าจะเป็นอยู่อาศัยของผู้คน

แต่โชคดีที่แว่นกันแดดของเขามีความสามารถช่วยทำให้ผู้สวมใส่มองเห็นในความมืด เด็กหนุ่มจึงมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

เขาพบว่าการตกแต่งภายในตำหนักค่อนข้างแปลกประหลาดพอสมควร

มันมีความคดเคี้ยววกวนยิ่งกว่าเขาวงกต

เพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็เดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด

ภายในห้องไม่มีประตู แสงสว่างส่องลอดออกมาเพียงวอมแวม

เป็นแสงสว่างจากหม้อไฟหม้อหนึ่ง

หม้อไฟตั้งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง

ความร้อนแผ่ออกมาจากหม้อไฟ กลิ่นประหลาดลอยขึ้นมาจากหม้อไฟ

หลังโต๊ะตัวใหญ่ตัวนั้น นั่งไว้ด้วยชายฉกรรจ์ร่างอ้วนท่าทางโรคจิตคนหนึ่ง

เส้นผมสีเกาลัดของเขายาวเหยียดพันกันยุ่งเหยิง ชายอ้วนสวมใส่เพียงชุดนอนหลวมๆ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาหรือจมูกล้วนตกอยู่ภายใต้ชั้นไขมันบนใบหน้า โดยเฉพาะเมื่อมีแสงไฟจากหม้อไฟฟ้าสาดส่องต้องใบหน้า ชายอ้วนก็ไม่ต่างไปจากปีศาจหมูที่กำลังนั่งอยู่ในถ้ำกินคน

นี่คือเหลียงหยวนเตาผู้ว่าการมณฑลเฟิงอวี่

“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว…”

เหลียงหยวนเตาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นในจังหวะที่หลินเป่ยเฉินปรากฏตัว

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในห้องอย่างแช่มช้า

ครืด…!

แล้วประตูหินก็เลื่อนปิดตามหลัง

ภายในห้องมีสภาพเหมือนถ้ำมืดมิดมากกว่าเดิม

“นั่งก่อนสิ”

เหลียงหยวนเตาผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

หลินเป่ยเฉินยื่นมือไปขยับเก้าอี้ออกมาเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงอย่างช้าๆ

เขายังคงสวมใส่แว่นกันแดด

“ทำไมเจ้าต้องคาดที่ปิดตาด้วย?”

เหลียงหยวนเตามองหน้าเด็กหนุ่ม ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่แว่นกันแดด ชั้นไขมันบนใบหน้าสั่นกระเพื่อมเมื่อพูดว่า “ข้าคงไม่เหมือนที่เจ้าจินตนาการไว้เลยล่ะสิ? เคยมีครั้งหนึ่งแม่ทัพหลี่จากกองทัพหลวงเข้าพบข้า แต่เมื่อเขามาถึงตำหนักต้าหลงแห่งนี้ เขากลับมองข้าด้วยสายตาที่ใช้มองหมูตัวหนึ่ง… เหอเหอเหอ หลังจากนั้น ข้าก็เลยสั่งให้คนจับถลกหนังเขาทั้งเป็นและโยนลงใส่หม้อต้มน้ำซุป เนื้อของเขาสามารถรับประทานไปได้หลายมื้อเชียวล่ะ”