ตอนที่ 1358 หลักฐานของผู้สร้าง

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1358 หลักฐานของผู้สร้าง โดย Ink Stone_Fantasy

เธอฝันอยู่เป็นเวลานาน

ในฝันมีคนที่สวมเสื้อคลุมสีขาวและหน้ากากคลุมหน้ายืนล้อมเธอ ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรซักอย่าง

เมื่อดูจากสีหน้าที่ตกตะลึงและเคร่งครียดของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพวกเขากำลังจัดการกับเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากอยู่

ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหนัก แล้วก็ใกล้ตาย นี่น่าจะเป็นการปลอบใจของสมองล่ะมั้ง?

เธอรู้อาการของตัวเองดีว่ามันย่ำแย่ขนาดไหน ในเวลาปกติขอเพียงหมอได้มาเห็นสภาพของเธอ พวกเขามีแต่จะหันไปบอกให้ญาติกล่าวคำสั่งเสียโดยไม่คิดที่จะเสียเวลารักษาเลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้เธอจะเชื่อว่าโรแลนด์เป็นผู้สร้างโลก แต่เธอก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางปล่อยให้เทวทูตได้มีโอกาสบุกโจมตีแน่

ซึ่งการที่เธอรับปากเขาว่าจะอดทนจนถึงที่สุดก็ถือว่าเธอได้ทำเต็มที่แล้ว

การที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่นั้นเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาด ทั่วทั้งร่างเหมือนกับแช่อยู่ในลำแสงที่อ่อนโยนและอบอุ่น อาการเจ็บปวดสลายหายไปจนหมด เสียงพูดคุยของผู้คนเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกอยากจะหลับ

จากนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้ากับภาพต่างๆ ในความทรงจำก็ค่อยๆ หลอมรวมกัน

ท้องฟ้าสีเทาที่อยู่บนหัวกลายเป็นดวงไฟที่ขาวที่สว่างเจิดจ้า

หลังหมอทำอะไรเสร็จเรียบร้อยและทยอยเดินออกไปทีละๆ คน เธอก็ ‘มองเห็น’ ตัวเองถูกพยาบาลอุ้มขึ้นมา ก่อนจะเอาไปยื่นให้ชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งสองคนจูบเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ

จากนั้นเธอก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ และค่อยๆ เติบโตทีละน้อย

ภายความทรงจำทยอยปรากฏขึ้นมา….เธอคิดว่านี่บางทีอาจจะเป็นการย้อนรำลึกครั้งสุดท้ายของสมอง แต่ที่น่าแปลกก็คือภาพเหตุการณ์ที่เมื่อก่อนนี้จะคิดยังไงก็คิดไม่ออก ตอนนี้มันกลับปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน

เธอมองเห็นที่อยู่อาศัยของตัวเองในวัยเด็ก สวนหลังบ้านมีผ้าปูเตียงแขวนตากเอาไว้เต็มไปหมดกับ…ครอบครัวของเธอ

ที่แท้บ้านของเธอในตอนนั้นเป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย

เธอนอนอยู่ในอ้อมกอดของแม่เธอ พร้อมกับหลับตาลงอย่างพึงพอใจ

ในตอนที่ความง่วงเข้าปกคลุมเธออย่างเต็มที่ บนหัวเธอพลันมีเสียงพึมพำที่ฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นมา

‘คุณว่า…ลูกของเราชื่ออะไรดีคะ?’

‘ชื่อ…เฟยอวี่หานแล้วกัน’

…..

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เฟยอวี่หานค่อยๆ ลืมตาขึ้น

สายตาเธอมองเห็นภาพเพดานห้องพักผู้ป่วยที่คุ้นเคย ในหัวเธอรู้สึกว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา

เดี๋ยวๆ ตัวเอง…ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?

เธอพยายามรับรู้ความรู้สึกทั่วทั้งร่างกาย ก่อนจะพบว่าแขนขาทั้งหมดล้วนแต่ตอบรับความของเธอ ไม่ใช่เท่านี้ แต่ทั้งการรับรู้และการเคลื่อนไหวก็ล้วนแต่ไม่มีการติดขัดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกมันไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน

เฟยอวี่หานยกมือขวาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ถึงแม้แขนทั้งข้างจะถูกผ้าพันแขนพันเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่เมื่อดูจากเค้าโครงภายนอกแล้ว แขนทั้งข้างเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพเหมือนเดิมทุกอย่าง ซึ่งก่อนหน้านี้แขนข้างนี้นั้นถูกกระแทกจนหักเป็นท่อนๆ แม้แต่กระดูกเองก็แตกเป็นชิ้นๆ จนแทงเข้าไปในเนื้อ ถ้าใช้วิธีการรักษาตามปกตินั้นไม่มีทางที่จะฟื้นกลับเป็นเหมือนเดิมได้แน่

เธอหลุดขำออกมาเล็กน้อย

เขา…ทำได้จริงๆ ด้วย

ตอนนั้นเขาพูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า ‘เพราะฉัน…คือพระเจ้า’ หรือเขาไม่รู้เหรอว่าอายุของเขามันไม่เหมาะกับคำพูดแบบนี้?

“อื้อ…อาจารย์….” ข้างหูของเธอมีเสียงละเมอเบาๆ ดังขึ้นมา

เฟยอวี่หานหันหน้าไป ก่อนจะเห็นสาวน้อยผมสีขาวคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ข้างเตียง เธอไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นซีโร่ ‘ผู้สร้างโลก’ อีกคนหนึ่งที่เทวทูตพูดถึง เธอใช้มือทั้งสองข้างรองหัวของตัวเองเอาไว้คล้ายว่ากำลังหลับฝัน แต่จากหางคิ้วที่ดูหม่นหมองของอีกฝ่ายจะเห็นได้ว่าเธอคงจะนอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงเธอมาโดยตลอดนับตั้งแต่ที่เธอเข้ามาพักอยู่ที่นี่

เฟยอวี่หานยิ้มขึ้นมา เธอพลิกตัวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอาผ้าห่มห่มให้ซีโร่ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องอย่างไร้ซุ่มเสียง

ตอนที่เดินออกมาถึงระเบียงทางเดินที่เป็นพื้นที่พักผ่อน เธอมองเห็นโรแลนด์ วัลคีรีย์และเพื่อนผู้ฝึกยุทธ์อีกจำนวนมาก

เมื่อเห็นเธอปรากฏตัว เหล่านักฝึกยุทธ์พากันแตกตื่นขึ้นมา หลายๆ คนพากันเดินเข้ามาสอบถามอาการของเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจพวกเขาแล้วเดินตรงเข้าไปหาโรแลนด์ จากนั้นจึงจับมือของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ถึงเวลาต้องทำเรื่องสำคัญแล้ว”

โรแลนด์สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตนับสิบคู่ที่ต้องมาที่ตน “เอ่อ…เรื่องสำคัญ?”

“แค่คนๆ เดียวไปเที่ยวประกาศว่าเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกอะไรนั้นมันยังไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ แต่ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะอีกคนล่ะก็ ผลที่ออกมามันจะต้องแตกต่างกันอย่างแน่นอน นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอ?” เธอเลิกคิ้วพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “นายทำคำสัญญาของนายให้กลายเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ถึงตาฉันบ้างล่ะ”

“เธอจะไปทั้งสภาพแบบนี้เลยเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างแปลกใจ

ในเวลานี้เฟยอวี่หานสวมชุดผู้ป่วย ทั้งตัวตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงลำคอมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ มีแต่ส่วนหัวเท่านั้นที่โผล่ออกมา ดูแล้วเหมือนกับขนมบ๊ะจ่างอย่างไรอย่างนั้น

เธอพาโรแลนด์เดินไปที่บันได “ก็ต้องไปในสภาพนี้ มันถึงจะมีความน่าเชื่อถือไม่ใช่เหรอ?”

…..

ในห้องประชุมของศูนย์พักฟื้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองปริซึมนั่งล้อมเป็นวง พร้อมกับฟังรายงานของเฟยอวี่หานด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน

“ศัตรูในตอนนั้นแตกต่างจากฟอลเลนอีวิลอย่างชัดเจน มันไม่เพียงแต่จะมีพลังที่น่าเหลือเชื่อ หากแต่ยังยากที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย ขนาดฉันใช้พลังแห่งธรรมชาติในระดับสูงสุดแล้วก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ จากที่มันบอกมา มีเพียงผู้สร้างโลกนี้กับเทวทูตเท่านั้นถึงจะสามารถทำลายแกนพลังของพวกมันได้”

“ซึ่งความจริงมันก็ได้พิสูจน์ในเรื่องนี้แล้ว ฉันได้พยายามโจมตีวงแหวนดวงดาวที่ส่วนหัวของมันหลายครั้ง แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่เป็นเพราะโรแลนด์มาถึงที่นั่นทันเวลา เกรงว่าเรื่องราวมันคงจะร้ายแรงจนแก้ไขอะไรไม่ได้แน่ ศัตรูเรียกตัวเองว่าเดลตา มาจากการกัดกิน แล้วก็เป็นเทวทูตของพระเจ้า ถ้ามันเป็นหนึ่งในคนร้ายที่ทำลายเมืองปริซึมจริงๆ อย่างนั้นเราก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าเพื่อนของมันก็มีความสามารถพิเศษแบบเดียวกับมัน และโลกของเราในตอนนี้ก็อยู่ในวิกฤติอันตรายที่ร้ายแรงที่สุด”

คำพูดนี้ทำเอาห้องประชุมมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา

ฟอลเลนอีวิลไม่เกรงกลัวอาวุธ มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้นถึงจะฆ่ามันได้ แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับมีเทวทูตปรากฏตัวขึ้นมา แม้แต่พลังธรรมชาติเองก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ อย่างนี้ก็เท่ากับว่ามันไม่มีศัตรูที่จะต่อกรมันได้เลยน่ะสิ?

ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ พูดแบบนี้ ทุกคนคงจะรู้สึกสงสัยว่าเป็นปัญหาในเรื่องของความสามารถที่ไม่แข็งแกร่งพอ แต่ถ้าคนที่พูดเป็นเฟยอวี่หาน คนอื่นๆ ไม่มีทางที่จะสงสัยในเรื่องนี้แน่

ศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ เพียงแค่คิดก็ทำให้ขนลุกแล้ว

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ‘เทวทูต’ ยังมีอยู่อีกหลายตัวเลย

“ฉันดีใจมากนะที่สุดท้ายแล้วเธอไม่เป็นไร แล้วก็รู้สึกโชคดีด้วยที่คุณโรแลนด์ยืนอยู่ฝั่งสมาคม” ผู้คุมร็อคเอ่ยปากพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ถูกต้อง เมื่อดูจากรายงานที่ได้มาจากจุดเกิดเหตุแล้ว ศัตรูนั้นมีพลังที่พวกเราไม่อาจเข้าใจได้อยู่จริงๆ และคนที่กำจัดมันได้ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ตรงนั้น เมื่อฟังจากคำอธิบายหลายๆ ด้านแล้ว พวกเรามีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่า คนที่กำจัด ‘ศัตรูที่มาจากการกัดกิน’ ก็คือโรแลนด์ที่เป็นนักไล่ล่า นอกจากนี้เขายังสามารถช่วยเธอให้ฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เช่นนั้นเขาจะต้องมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาแน่ แต่ว่า…อาศัยเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของศัตรูแล้วจะให้ยอมรับว่าเขาเป็นผู้สร้างโลก มันจะไม่…ง่ายไปหน่อยเหรอ?”

“ฉันเห็นด้วย เพราะแนวคิดนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ถ้าโลกนี้เป็นโลกที่ใครบางกลุ่มสร้างขึ้นมา อย่างนั้นก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นมา คนเหล่านี้อยู่ที่ไหน?”

“เหลวไหลสิ้นดี โลกของพวกเรามันควรจะเกิดขึ้นมาจากการระเบิดของจักรวาลสิ!”

“ถ้านี่เป็นการวิเคราะห์ของคุณเฟยอวี่หาน ผมก็ยินดีที่จะเชื่อ เพราะทุกคนก็ได้เห็นอาการบาดเจ็บของเธอของเธอแล้ว จะบอกว่าฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ยังได้ เพียงแค่คืนเดียวก็ฟื้นตัวขึ้นมา นอกจากพระเจ้าแล้วยังมีใครที่ทำแบบนี้ได้อีก?”

“อย่าลืมสิว่าศัตรูจากการกัดกินเรียกตัวเองว่าเทวทูต! ถ้าทั้งสองคนต่างก็ถือว่าเป็นพระเจ้า อย่างนั้นใครกันแน่ที่ถือเป็นพระเจ้าตัวจริง?”

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมต่างถกเถียงกัน ถึงแม้พวกเขาจะพยายามกดเสียงให้เบาลงแล้ว แต่คนที่อยู่ภายในห้องนี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา พวกเขายังคงได้ยินเสียงพูดคุยของกันและกัน หลายๆ คนภายในห้องนี้ยังคงแสดงความเคลือบแคลงสงสัยอยู่

“อันดับแรกคือทุกท่านคิดผิดไปเรื่องหนึ่ง” เฟยอวี่หานพูดแทรกทุกคนขึ้นมา “ฉันไม่ได้คิดว่าโรแลนด์เป็นผู้สร้างโลกจากต่อสู้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว หากแต่ฉันสงสัยในเรื่องนี้มานานแล้ว จากนั้นพอได้สู้กับเทวทูต ฉันถึงได้รับการยืนยันในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้นค่อนข้างซับซ้อน จึงไม่ค่อยสะดวกที่จะอธิบายที่นี่เท่าไร ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่ทุกคนเหมือนจะมองข้ามอะไรไปอย่าง ตอนนี้ผู้สร้างอยู่ข้างฉันแล้ว ถ้าเขาสามารถเอาหลักฐานออกมายืนยันได้ เรื่องนี้ก็จะได้ข้อสรุปใช่ไหมล่ะคะ?”

โรแลนด์ถึงกับกุมขมับ เรารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเชื่อได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้คิดที่จะบอกทางสมาคมตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ได้แต่ต้องพยายามช่วยเฟยอวี่หานที่พยายามช่วยเปิดเผยสถานะของตัวเขาอย่างเต็มที่

“ไม่ทราบว่าทางสมาคมยังมีแกนพลังแห่งธรรมชาติเก็บเอาไว้หรือเปล่าครับ?” โรแลนด์มองไปทางผู้คุมร็อค

“แกนพลังส่วนใหญ่ถูกศัตรูขโมยไปตอนที่เมืองปริซึมถูกโจมตี แกนพลังที่เหลืออยู่ก็มีแต่แกนพลังที่ผู้ไล่ล่าได้มาในช่วงนี้” ร็อคพยักหน้า “ตอนนี้พวกมันอยู่ในการดูแลของฉัน”

“อย่างนั้นเอาแกนพลังทั้งหมดมาหน่อยครับ” เขาค่อยๆ พูด “ตอนนี้ได้เวลาปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ที่ถูกกักขังกลับคืนสู่โลกนี้แล้ว”

…………………………………………………………