เล่มที่ 26 เล่มที่ 26 ตอนที่ 767 สิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หัวข้อนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับหัวข้อก่อนหน้า ทว่าในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

แม้เยี่ยโยวเหยาจะรู้ว่าวิญญาณทั้งสามของนางไม่สมบูรณ์ ทว่าเขาไม่ควรรู้ว่า หากนางไม่รวบรวมวิญญาณทั้งสามของนางก่อนต้นฤดูหนาว ดวงวิญญาณของนางจะสูญสลายอีกครั้ง!

เยี่ยโยวเหยากังวลและหวาดกลัว แล้วเหตุใดนางจะไม่กังวลเล่า?

แม้นางจะอาศัยอยู่ในโลกอนาคตมากว่ายี่สิบปี ทว่ายังมีหลายคนที่นางเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ในอดีตชาติและชีวิตปัจจุบันของนาง เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้เดียวที่ทำให้นางห่วงหาอาวรณ์

หากไม่มีเยี่ยโยวเหยา เช่นนั้นจะมีความหมายอันใดอีก?

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จิตใจของซูจิ่นซีก็มุ่งมั่นที่จะค้นหาอมฤตทั้งห้าให้เร็วที่สุด และรีบไปที่หุบเขาเทียนอีโดยเร็ว

ซูจิ่นซียื่นแขนออกไปกอดเยี่ยโยวเหยาแน่น

“ท่านอ๋องโปรดวางใจ นอกจากความตาย พวกเราจะไม่มีวันแยกจากกัน ในชีวิตนี้ จิ่นซีไม่มีวันไปจากท่าน”

เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีแน่นขึ้น ลมหายใจหนักแน่นของเขาดังอยู่ข้างใบหูของซูจิ่นซี

“สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เพียงชาตินี้ แต่ยังรวมถึงชาติหน้า ชาติหน้าต่อไปอีกแปดชาติ ทุกชาติภพ”

เยี่ยโยวเหยาเน้นย้ำคำพูดนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่ซูจิ่นซีได้ยิน จิตใจของนางพลันหวั่นไหว

“ตกลง! ”

ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีเดินออกไปตามเส้นทางเดิน ไม่ช้าก็เห็นแสงสว่าง

ข้างหน้าเป็นทุ่งหิมะสีขาวโพลนอันกว้างใหญ่ไพศาล ไกลออกไปมีป่าไม้และภูเขา

เส้นทางเดินด้านในค่อนข้างแย่ ตงหลิงหวงลากมู่หรงฉีด้วยไม้กระดานอย่างยากลำบาก

มีพื้นที่บางส่วนที่แคบจนแผ่นไม้ผ่านไม่ได้ ตงหลิงหวงจึงยกแผ่นหลังของมู่หรงฉีข้ามทางแคบ และวางมู่หรงฉีลงบนไม้กระดานอีกครั้ง

เมื่อมองความขาวโพลนที่อยู่เบื้องหน้า แววตาของตงหลิงหวงพลันเกิดความสับสน เดิมทีนางคิดว่า หลังออกจากถ้ำแล้วจะพบหนทางรอดชีวิต ไม่คิดว่ามันเป็นเพียงการออกจากเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เพื่อไปสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยอีกเส้นทางหนึ่งเท่านั้น

ด้วยสภาพแวดล้อมที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะหาทางออกไปได้ หรือหาผู้อื่นพบ

หากไม่พบผู้ใด พวกเขาคงไม่ได้ตายในถ้ำก่อนหน้านี้ ทว่าคงตายบนทุ่งหญ้าขาวโพลนที่ราวกับหยดน้ำในมหาสมุทร

ตงหลิงหวงลากมู่หรงฉีออกมาจากถ้ำอย่างยากลำบาก แม้อากาศจะหนาวเย็นและมีหิมะตก ทว่าร่างของนางกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

อีกทั้งฝ่ามือและหัวไหล่ยังถูกเชือกรัดจนมีเลือดไหลซึมออกมา

มู่หรงฉีมองเลือดบนฝ่ามือของตงหลิงหวงที่มีเสื้อคลุมไว้ครึ่งหนึ่ง ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงเอื้อมมือไปแตะที่แผ่นหลังของตงหลิงหวง “หวงเอ๋อร์”

ตงหลิงหวงชะงัก จากนั้นจึงหันมามองมือของมู่หรงฉีด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“มานี่! ” มู่หรงฉีพูดด้วยความเจ็บปวดและอ่อนโยน

ตงหลิงหวงไม่มีการเคลื่อนไหว

มู่หรงฉีเน้นย้ำอีกครั้ง “มานี่! ”

จากนั้น ตงหลิงหวงจึงขยับร่างกายเล็กน้อย และเดินไปหามู่หรงฉีอย่างไม่รู้สึกตัว

ทันทีที่มือของมู่หรงฉีสัมผัสมือของตงหลิงหวง ร่างกายของตงหลิงหวงพลันสั่นไหวเล็กน้อย นางรีบดึงมือกลับ ทว่ามู่หรงฉีคว้าไว้อย่างรวดเร็วและแบมือของนางออก

บาดแผลบนฝ่ามือมีเลือดไหลออกมา ช่างน่าตกตะลึง ทันใดนั้น ดวงตาของมู่หรงฉีก็ร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวดใจ

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่หัวไหล่ของตงหลิงหวง

แม้นางจะสวมชุดเกราะ ทำให้มองไม่เห็นสิ่งใด ทว่ามู่หรงฉีเป็นทหารเช่นกัน เขารู้ดีว่าบาดแผลบนไหล่นั้นสาหัสไม่น้อยไปกว่าแผลบนฝ่ามือแน่นอน

เขากำลังจะโน้มตัวลงไปสัมผัสเกราะบนหัวไหล่ของตงหลิงหวง ทว่าตงหลิงหวงกลับดึงมือของเขาออก

นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินไป ฉีอ๋องโปรดระมัดระวังและเคารพตนเองด้วย”

จากนั้น นางก็หันกลับไปมองทุ่งหิมะขาวโพลน “ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะออกไปจากที่นี่ได้ พวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด หากอากาศหนาวกว่านี้ คงเดินลำบาก”

มู่หรงฉีเปิดปากราวกับต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าคำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ จึงไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา

ตงหลิงหวงหยิบเชือกขึ้นมาจากพื้นอีกครั้ง นางกำลังจะลากมู่หรงฉีเดินหน้าต่อไป ทว่ามู่หรงฉีกลับคลานลงมาจากไม้กระดาน

“หวงเอ๋อร์ เจ้าจะเหนื่อยมากหากทำเช่นนั้น เจ้าประคองข้าเถิด ข้าเดินได้ ทำเช่นนี้จะผ่อนแรงเจ้าได้มากขึ้น”

เมื่อเห็นความพยายามของมู่หรงฉี ตงหลิงหวงจึงรีบเข้าไปพยุงร่างของเขา

“เจ้ากำลังทำอันใด? อาจทำให้บาดแผลเปิดได้”

“บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่อันตรายถึงชีวิต! ”

“อาจถึงตายได้ ยังเรียกว่าบาดเจ็บเล็กน้อยอีกหรือ? ”

น้ำเสียงของตงหลิงหวงทั้งเย็นชาและจริงจังอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่านางกังวลและเป็นห่วงมู่หรงฉี ทว่ากลับใช้น้ำเสียงเย็นชา

มู่หรงฉียิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากกว่าเดิม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและวางมือลงบนไหล่ของตงหลิงหวงอย่างแผ่วเบา

“หวงเอ๋อร์ ข้าจะยอมให้เจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร? ”

ตงหลิงหวงผลักมือของมู่หรงฉีออก

“มู่หรงฉี เจ้าอย่าพูดจาดูดีหน่อยเลย ข้าช่วยเจ้าเพราะจุดประสงค์บางอย่าง เจ้าคือฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี ตอนนี้อำนาจทั้งหมดของแคว้นหนานหลีอยู่ในมือเจ้า หากรัชทายาทอย่างข้าจับตัวเจ้ากลับไปได้ ย่อมสามารถควบคุมแคว้นหนานหลีได้ทั้งหมด”

มู่หรงฉีรู้ดีที่สุดว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นเพียงลมปาก ทว่าในใจของนางไม่ได้คิดอย่างนั้น

หากต้องการควบคุมแคว้นหนานหลีหรือจัดการแคว้นหนานหลี เพียงปลิดชีวิตของเขาไม่ง่ายกว่าหรือ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตงหลิงหวงที่กำลังตรวจดูบาดแผลของตนอย่างละเอียด สุดท้าย มู่หรงฉีก็ไม่ได้พูดสิ่งใด

หลังจากตงหลิงหวงตรวจดูบาดแผลให้มู่หรงฉีแล้ว นางยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นอนลงไป ฉีอ๋อง หากในใจของเจ้ายังมีแว่นแคว้นของตนอยู่ เจ้าควรภาวนาให้ตนเองหายดี ไม่เช่นนั้น หากเจ้าตาย แผ่นดินของแคว้นหนานหลีจะล่มสลาย ประชาชนในแคว้นหนานหลีจะต้องตกอยู่ในความทุกข์ยาก”

มู่หรงฉีรู้ดีว่านางจริงใจเพียงใด

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และยังพยายามยืนขึ้น

“หวงเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าในใจของเจ้าคิดกับข้าเช่นไร ทว่าข้าเป็นบุรุษ จะยอมให้เจ้าลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าประคองข้าเถิด พวกเราเดินออกจากทุ่งหิมะนี้ด้วยกัน ข้าทำได้”

เมื่อเห็นท่าทางดื้อรั้นของมู่หรงฉี ตงหลิงหวงจึงรีบเคาะบาดแผลของเขาอย่างแรง

“มู่หรงฉี เจ้าจะดื้อรั้นไปถึงไหน เจ้าฟังสิ่งที่ข้าพูดไม่เข้าใจหรือ? ข้าให้เจ้านอนลง เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ”

ตงหลิงหวงมองหาบาดแผลที่ไม่ร้ายแรงนักบนร่างกายของมู่หรงฉี และออกแรงเคาะลงไป

มู่หรงฉีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เขาล้มลงกับพื้นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก

ตงหลิงหวงทำรุนแรงไปหน่อย ทว่านางระวังไม่ทำให้บาดแผลของมู่หรงฉีฉีกขาด จากนั้นจึงลากเขากลับไปที่ไม้กระดาน

นางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นอนนิ่งๆ ก็พอ”

ตงหลิงหวงหยิบเชือกขึ้นมา และลากมู่หรงฉีออกไปสู่ทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่

หลังจากลากเป็นเวลานาน เหงื่อบนร่างของตงหลิงหวงก็ไหลออกมาราวกับสายน้ำ บาดแผลมีเลือดไหลออกมามากกว่าเดิม ไม่รู้ว่ารอยแผลบนไหล่เป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของตงหลิงหวง มองไปที่หยดเหงื่อของนาง และมองไปยังเชือกที่เปื้อนเลือดสีแดงจากฝ่ามือของนาง มู่หรงฉีก็รู้สึกเป็นทุกข์และอดกล่าวโทษตนเองไม่ได้

สุดท้าย เขาก็ไม่ได้พูดสิ่งใดและไม่พยายามลุกขึ้นอีก ทำเพียงนอนเงียบๆ บนกระดานไม้ และลืมตามองท้องฟ้า

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหิมะ เดิมทีพื้นที่กว้างใหญ่ควรทำให้ผู้คนรู้สึกสงบได้บ้าง ทว่ามู่หรงฉีกลับไม่อาจสงบใจลงได้

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้สึกตื่นเต้น ว้าวุ่น ประหม่า และเจ็บปวดใจเล็กน้อย… อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกสับสนอย่างมาก

ตอนนี้ เขามั่นใจได้แล้วว่าตงหลิงหวงมีใจให้เขา ไม่เช่นนั้น ตอนที่เขาตกอยู่ในช่วงเวลาความเป็นความตาย นางคงไม่ยอมทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อเขา

สิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้าในยามที่ลำบาก ข้าจะตอบแทนให้อย่างดี

ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาของมู่หรงฉีก็จับจ้องไปที่แผ่นหลังของตงหลิงหวงอย่างมั่นคงตลอดทาง

ในชีวิตนี้ ในเวลานี้ รูปร่างเพรียวบางทว่าหนักแน่นและดื้อรั้น ได้ตราตรึงเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของมู่หรงฉีตลอดกาล

มู่หรงฉีจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต จะทำให้มันดำรงอยู่นานกว่าชีวิตของเขา

เดิมที ตงหลิงหวงคิดว่าจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและออกจากทุ่งหิมะนี้ก่อนมืด เพื่อตามหาชาวบ้านหรือถนนหลัก

ทว่านางประเมินสถานการณ์ไว้สูงเกินไป

หิมะเริ่มตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางเดินเริ่มลำบากมากขึ้น เมื่อถึงยามเย็น พวกเขายังคงอยู่ในทุ่งหิมะที่มีลมพัดรุนแรง

หิมะตกหนักอย่างมาก จนไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้

ไม้กระดานติดอยู่ในน้ำแข็งและหิมะจนไม่สามารถลากต่อไปได้อีก ทว่านางยังคงลากมันต่อไปด้วยความแข็งแกร่งและความพยายาม

ร่างกายของมู่หรงฉีเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ริมฝีปากแห้งแตก ใบหน้าซีดขาวอย่างน่ากลัว

เมื่อสติของเขาเริ่มเลือนราง ในที่สุด เขาก็ยื่นมือไปทางตงหลิงหวง

“หวงเอ๋อร์… หวงเอ๋อร์… ”

เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติจากข้างหลัง ตงหลิงหวงจึงรีบหันกลับไป ทันทีที่เห็นอาการของมู่หรงฉี นางก็รีบปล่อยเชือกในมือและเข้าไปหามู่หรงฉี

ทันทีที่สัมผัสร่างกายของมู่หรงฉี นางก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผดเผา

มู่หรงฉีไข้ขึ้นสูงอีกครั้ง

การมีไข้ในเวลานี้ ทำให้อาการของมู่หรงฉีแย่ลงไปอีก

ตงหลิงหวงร้อนใจ นางรีบตบหน้าของมู่หรงฉีอย่างต่อเนื่อง

“มู่หรงฉี ตื่น ตื่น อย่าหลับ เจ้าอย่าหลับเด็ดขาด ได้ยินหรือไม่ มู่หรงฉี?”