เล่มที่ 26 เล่มที่ 26 ตอนที่ 768 หุบเขาหลูเหว่ย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ตงหลิงหวงร้องเรียกหลายครั้ง ทว่ามู่หรงฉีไม่ตอบสนอง ทั้งการรับรู้ของเขาก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุด เขาก็ไม่รับรู้สิ่งใด

ตงหลิงหวงสัมผัสร่างกายที่ร้อนระอุของมู่หรงฉี ภายในใจยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

หากเป็นเช่นนี้ มู่หรงฉีต้องตายอย่างแน่นอน

แววตากังวลของตงหลิงหวงเริ่มแดงระเรื่อเล็กน้อย

“มู่หรงฉี ข้าขอบอกเจ้า เจ้ายังตายไม่ได้ เจ้าได้ยินหรือไม่? ”

“หากเจ้ากล้าตายก็ลองดู รัชทายาทอย่างข้าจะใช้เลือดชำระล้างแคว้นหนานหลีแน่นอน สังหารทุกคนในแคว้นหนานหลีของเจ้า ไม่ละเว้นแม้แต่ผู้เดียว”

“มู่หรงฉี เจ้าตายไม่ได้ อย่าหลับ เจ้าลืมตามองข้า ลืมตาขึ้นมา มู่หรงฉี”

ในที่สุด น้ำตาก็ไหลลงมาจากหางตาของตงหลิงหวง

ตงหลิงหวงทิ้งไม้กระดาน ก่อนจะแบกมู่หรงฉีไว้บนหลังอย่างยากลำบาก และเดินไปข้างหน้าทีละก้าว

ลมแรงและหิมะถาโถมเข้าใส่ร่างของคนทั้งสอง ทุกครั้งที่ตงหลิงหวงก้าวเท้า เท้าของนางจะจมลึกลงไปในหิมะ เมื่อต้องการก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว จึงเป็นเรื่องยากอย่างมาก

ทว่านางยังคงก้าวไปข้างหน้าด้วยความพยายาม

ในที่สุด ท้องฟ้าก็มืดลงจนมองไม่เห็นสิ่งใด มีเพียงเสียงลมพัดดังอื้ออึง

ขณะที่ตงหลิงหวงกำลังหมดหวัง ทั้งสองก็พบอุโมงค์ในต้นไม้ขนาดใหญ่

ตงหลิงหวงแทบร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ นางแบกมู่หรงฉีเข้าไปในโพรงต้นไม้

แม้โพรงต้นไม้จะบังลมได้ไม่ดีเท่าถ้ำ ทว่าในสถานการณ์ที่ยากลำบากบนทุ่งหิมะที่ไร้จุดสิ้นสุดนี้ การได้พบสถานที่เช่นนี้นับว่าโชคดีมากแล้ว

เมื่อเข้าไปในโพรงต้นไม้ ตงหลิงหวงก็ตรวจดูร่างกายของมู่หรงฉี

จากการตรวจสอบ หัวใจของตงหลิงหวงแทบตกตะลึง

ก่อนหน้านี้มู่หรงฉียังมีไข้ ทว่าตอนนี้ ร่างกายของเขาเริ่มเย็นลงทีละน้อย

ตงหลิงหวงตบหน้ามู่หรงฉีอย่างแรง

“มู่หรงฉี เจ้าฟื้นได้แล้ว มู่หรงฉี เจ้าตื่นขึ้นมา ได้ยินหรือไม่? เจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่? มู่หรงฉี? ”

ทว่ามู่หรงฉีกลับกัดริมฝีปากอย่างแรง และไม่ตอบโต้ตงหลิงหวงแม้แต่คำเดียว

ตงหลิงหวงตื่นตระหนกจนนิ้วมือสั่นเทา

นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วและรีบถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจะนำไปแขวนไว้ที่ปากโพรงต้นไม้

ประการแรก เพื่อใช้บังลมหนาวที่พัดเข้ามาจากทางเข้า ประการที่สอง เพื่อบดบังทัศนียภาพจากภายนอก

จากนั้น นางจึงปลดเสื้อผ้าของมู่หรงฉี และกอดเขาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง

ตงหลิงหวงตื่นตระหนกจนเสียงสั่นเทาเล็กน้อย

“มู่หรงฉี ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเป็นอันใดไป เจ้าได้ยินหรือไม่? ”

“มู่หรงฉี เจ้าบอกว่าเจ้าจะรับผิดชอบข้า! ”

“มู่หรงฉี เจ้าคนโกหก คนโกหก คนโกหก เจ้าอย่าทิ้งข้าไป! ”

“มู่หรงฉี! หากเจ้ากล้าเป็นอันใดไป ข้าไม่เพียงจะฆ่าคนในแคว้นหนานหลีของเจ้าทั้งหมด ทว่าข้าจะฆ่าน้องสาวของเจ้า เสด็จพ่อของเจ้า และฆ่าคนที่เจ้าห่วงใยมากที่สุด”

“มู่หรงฉี เจ้าตอบข้า! ช่วยตอบข้าสักคำได้หรือไม่? ”

ตงหลิงหวงใช้มือทุบร่างของมู่หรงฉีและร้องเรียก ทว่าเวลาผ่านไป มู่หรงฉีก็ยังไม่ตอบสนอง

สุดท้าย กระทั่งนางเองยังหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากแห้งแตกและซีดขาว นางมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าโพรงต้นไม้ ซึ่งปลิวไสวไปตามสายลมอย่างต่อเนื่อง

เสียงลมหายใจยังคงดื้อรั้น “มู่หรงฉี ในเมื่อเจ้าต้องตาย เหตุใดจึงให้ข้าพบกับเจ้า… เหตุใดจึงให้ข้าพบเจ้า เหตุใด… ”

สุดท้าย ตงหลิงหวงก็ไม่อาจพูดอันใดได้อีก และหมดสติไปอีกคน

คราวนี้ทั้งสองหลับไปทั้งคืน ทว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้น

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ไม่รู้ว่าพายุหิมะหยุดไปตั้งแต่เมื่อใด แสงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงประกายบนทุ่งหิมะ

ตงหลิงหวงที่นอนหลับลึกขยับนิ้วเล็กน้อย ดวงตาของนางหนักอึ้งดั่งพันชั่ง และไม่สามารถลืมตาขึ้นได้

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหู

“อาจารย์ ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ในโพรงต้นไม้นี้”

“รีบเข้าไปดูกันเถิด”

“เดี๋ยวก่อน นี่มันชุดสตรี ผู้ที่อยู่ข้างในคงเป็นสตรี ให้ลวี่เอ้อเข้าไปดู”

“เจ้าค่ะ! ”

ครู่หนึ่งก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้น

“อาจารย์ ในอุโมงค์ต้นไม้มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ”

จากนั้น เสียงหนักแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารีบสวมเสื้อผ้าให้ฮูหยินท่านนั้นก่อน”

“เจ้าค่ะ! ”

แม้ตงหลิงหวงไม่ได้ลืมตา ทว่านางยังมีสติสัมปชัญญะ

นางรู้สึกว่ามีคนสวมเสื้อผ้าให้ตนเองอย่างระมัดระวัง ทั้งยังมีคนมาสวมเสื้อผ้าให้มู่หรงฉี

จากนั้นก็มีคนแยกนางออกจากมู่หรงฉี นางจึงกอดมู่หรงฉีแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“อาจารย์ พวกเขากอดกันแน่นจนแยกไม่ออก! ”

“ถอยไป ให้ข้าลองดู”

มีคนใช้กำลังภายในเพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน ทว่าตงหลิงหวงกลับใช้พลังแทบทั้งหมดของนางเพื่อกอดมู่หรงฉีไว้

ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงดังขึ้นข้างใบหู

“ถามว่าในโลกมนุษย์นั้น ความรักคืออันใด สัมพันธ์กับความเป็นความตายอย่างไร?

พึ่งพาอาศัยกันตลอดชีวิตและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ดั่งห่านป่าที่ร่วมเดินทางเหนือจรดใต้

มีความสุขและปีติยินดีร่วมกัน การจากลาช่างเจ็บปวด ทว่ายังมีผู้ที่โง่เขลาอีกมากมาย

วิญญูชนกล่าวว่า เมฆาบนนภา ขุนเขาเรียงราย หิมะขาวโพลน จะพบเห็นผู้ใดเล่า?

ช่างเถิด นำตัวพวกเขาไปขึ้นรถม้า”

“ขอรับ! ”

จากนั้น ตงหลิงหวงก็รู้สึกว่านางกำลังถูกพาไปที่รถม้าพร้อมกับมู่หรงฉี

รถม้าออกเดินทาง

อุณหภูมิร่างกายของนางค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด และนางรู้สึกเหมือนมีคนกำลังพันผ้าพันแผลให้ตนและมู่หรงฉี

ตงหลิงหวงรู้สึกว่าร่างกายของนางผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย นางแน่ใจว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อตนเองและมู่หรงฉี ดังนั้นจึงผ่อนคลายการเฝ้าระวังโดยไม่รู้ตัว และค่อยๆ ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางคือม่านถักด้ายสีทองที่อยู่เหนือศีรษะ นางหันศีรษะเล็กน้อย และเห็นมู่หรงฉีนอนอยู่ด้านข้างตนเอง

ทันทีที่ตงหลิงฮวงรู้สึกตัว นางรีบลุกขึ้นตรวจดูร่างกายของมู่หรงฉีทันที

หลังจากพบว่าอุณหภูมิร่างกายของมู่หรงฉีเป็นปกติและพ้นขีดอันตรายแล้ว ตงหลิงหวงจึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

ทันใดนั้น เสียงสดใสกังวานก็ดังขึ้นที่ข้างหู

“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือ? ”

ตงหลิงหวงหันกลับมาเห็นหญิงงามในชุดสีเหลืองอ่อน นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เจ้าคือ… ”

ก่อนที่ตงหลิงหวงจะพูดจบ เสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ก็ดังขึ้น ประตูที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาวพลันเปิดออก

แสงสว่างด้านนอกประตูเสียดแทงดวงตาของตงหลิงหวงจนแทบลืมตาไม่ได้ นางยกมือบังแสงไว้ จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา

บุรุษผู้นั้นสูงพอสมควร เขาสวมชุดสีขาวนวลจันทร์ที่มีลวดลายใบไผ่สีเขียววิจิตรงดงาม ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน คิ้วโก่งดั่งคันศร ดวงตาลึกซึ้งราวกับดวงดาวท่ามกลางทะเล ในมือถือพัด ‘เหมยท้าเหมันต์’

บุรุษผู้นี้หล่อเหลางดงามยิ่งนัก

บุรุษโดยทั่วไปมักหล่อเหลา น้อยคนที่จะมีความ ‘งดงาม’ ในคนคนเดียว

ช่างเป็นความงดงามที่ยากเกินอธิบาย

เขาสุภาพอ่อนโยนราวกับหยก ทว่าแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งเล็กน้อย

เสื้อผ้าการแต่งกายทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเขาปลีกตัวจากโลกภายนอก ไม่ปนเปื้อนด้วยกิเลสทางโลก ทว่าด้วยความหรูหราโดยกำเนิดที่ผู้คนไม่สามารถละเลยได้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น

ในฐานะที่เป็นรัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉิน ตงหลิงหวงเติบโตในชนชั้นสูงตั้งแต่เด็ก ทว่านางไม่เคยเห็นบุรุษที่สง่างาม และมีบุคลิกสูงส่งเช่นนี้มาก่อน

นางมองด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย

บุรุษผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้เตียงของตงหลิงหวงและทักทายนางอย่างสุภาพ

“ฮูหยินฟื้นแล้วหรือ? ”

ตงหลิงหวงกลับมาได้สติอีกครั้ง

“คุณชายช่วยชีวิตพวกเราใช่หรือไม่? ”

บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“ท่านพ่อของข้าช่วยท่านทั้งสองคนไว้ ระหว่างทาง ท่านพ่อได้พบฮูหยินและสามีของท่านที่บาดเจ็บเจียนตายอยู่ในโพรงต้นไม้ จึงช่วยทั้งสองคนกลับมาที่นี่”

ตงหลิงหวงพยักหน้า พลางมองไปรอบห้อง

นางพบว่าของตกแต่งภายในห้องค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง

เป็นแบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย ทว่านางมองออกว่าสิ่งของทุกอย่างถูกจัดวางอย่างพิถีพิถัน ทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง

ของบางอย่างมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ และของบางอย่างมีใช้เฉพาะในเชื้อพระวงศ์เท่านั้น

อีกทั้งสิ่งของบางอย่าง แม้จะเป็นเครื่องตกแต่งที่เรียบง่ายอย่างมาก แต่กลับเป็นสิ่งของที่ใช้เฉพาะในเชื้อพระวงศ์

ตงหลิงหวงมองพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่นี่คือที่ใด? ”

บุรุษผู้นั้นกล่าวขอโทษ “ต้องขออภัยที่ลืมแนะนำตัวกับแม่นาง ที่นี่คือหุบเขาหลูเหว่ย [1] ข้าแซ่ฉู่

หุบเขาหลูเหว่ย เป็นชื่อธรรมดาอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม นางเห็นแผนที่แคว้นทั้งหกมาตั้งแต่เด็ก ทว่าไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้ในดินแดนของแคว้นใดเลย

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ธรรมดาเช่นนี้ นางที่เดินทางไปเกือบทุกแคว้นกลับไม่เคยได้ยิน เหตุใดผู้ที่มีบุคลิกแปลกประหลาดเช่นนี้จึงมาอยู่อาศัยที่นี่ได้?

หุบเขาหลูเหว่ย คนแซ่ฉู่ เครื่องประดับ และข้าวของเครื่องใช้ที่มีแต่ชนชั้นขุนนางและเชื้อพระราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ทั้งยังมีบุรุษที่แลดูเรียบง่าย ทว่าแฝงไปด้วยท่าทางสูงศักดิ์

สิ่งเหล่านี้สามารถอธิบายอันใด

เหมือนมีเสียงลมพัดอยู่ด้านนอกหน้าต่าง แววตาของตงหลิงหวงทอประกายเล็กน้อยพลางหลับตาลง เสียงต้นอ้อที่พลิ้วไหวดังเข้ามาในหูของนาง

……

เชิงอรรถ

[1] หลูเหว่ย แปลว่า ต้นอ้อ