ตงหลิงหวงเดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพระยะใกล้คือภายในจวนแห่งหนึ่ง ภาพระยะไกลคือมุมของกำแพง และไกลออกไปอีกเป็นภูเขาเตี้ยๆ ซึ่งบนภูเขาเต็มไปด้วยต้นอ้อ
ไม่น่าแปลกใจที่สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าหุบเขาหลูเหว่ย
ตงหลิงหวงรับรู้ได้ว่าคุณชายฉู่เดินตามมาด้านหลัง นางจึงหันกลับไปถามแผ่วเบาว่า “ที่นี่มีต้นอ้อมากมาย เป็นเพราะคนที่นี่ชอบมันมากหรือ? ”
คุณชายฉู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “บรรพบุรุษของข้าชื่นชอบต้นอ้ออย่างมาก ก่อนปลีกตัวจากโลกภายนอก พวกเขาได้พบสถานที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยต้นอ้อ ต่อมา พวกเขาปลูกต้นอ้อเพิ่มขึ้น จนเมื่อเวลาผ่านไป ที่นี่จึงมีต้นอ้อจำนวนมาก”
ตงหลิงหวงพยักหน้า พลางกวาดสายตามองการตกแต่งและเครื่องใช้
นางต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม
คุณชายฉู่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของตงหลิงหวง
“หากฮูหยินมีข้อสงสัยอันใด สามารถเอ่ยออกมาได้ทันที ผู้แซ่ฉู่หาได้เป็นคนที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดอันใด”
แม้ตงหลิงหวงจะรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง ทว่านางยังคงเอ่ยปากถาม “ข้าเห็นข้าวของเครื่องใช้และของตกแต่งที่นี่มีลักษณะเดียวกับเครื่องใช้ของเชื้อพระวงศ์ บรรพบุรุษของท่านมีความเกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์หรือ? ”
คุณชายฉู่ไม่ได้บ่ายเบี่ยง ทว่าเขาไม่ได้ตอบอันใดมากเกินควร “บรรพบุรุษของข้ามีความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์โจว”
ราชวงศ์โจว… นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นด้านหลังพวกเขา
มู่หรงฉีฟื้นแล้ว
ตงหลิงหวงดีใจและรีบเดินไปหามู่หรงฉี
ทว่าหลังจากเดินไปได้สองก้าว นางก็เดินช้าลงและกำจัดท่าทางมีความสุขออกไป เมื่อเดินไปถึงข้างเตียงของมู่หรงฉี ใบหน้าของนางก็ไม่หลงเหลือความยินดีใดๆ ให้เห็นอีก
นางเอ่ยด้วยท่าทางและน้ำเสียงเย็นชา “ฟื้นแล้วหรือ? ”
แม้มู่หรงฉีเพิ่งจะฟื้น ทำให้สติการรับรู้ยังไม่ชัดเจนนัก ทว่าทันทีที่เห็นตงหลิงหวง แววตาของเขาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของนาง
“มีหวงเอ๋อร์อยู่เคียงข้าง ข้าจะให้หวงเอ๋อร์รอนานได้อย่างไร? ”
ใบหน้าของตงหลิงหวงยังคงเย็นชา จากนั้นจึงคว้าแขนของมู่หรงฉีมาตรวจชีพจร และพูดว่า “หยุดพูดจาไร้สาระ”
มู่หรงฉีไม่ได้พูดอันใดอีก ทำเพียงยกยิ้มมุมปากมากขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นตงหลิงหวงกำลังตรวจชีพจร คุณชายฉู่จึงเดินไปหาทั้งสองคน และพูดกับนางด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ฮูหยินรู้วิชาแพทย์หรือ? ”
ตงหลิงหวงสนใจเพียงสภาพร่างกายของมู่หรงฉี จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องอื่นมากนัก
“เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อย”
“ไม่ทราบว่าฮูหยินเรียนวิชาแพทย์มาจากที่ใด และมีทักษะการแพทย์อยู่ในระดับใด”
ตงหลิงหวงยังไม่ทันตอบคำถาม คุณชายฉู่ก็พูดเสริมขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าเห็นท่านทำแผลบนร่างสามีของท่าน รวมถึงวิธีการใช้ยาของท่าน ล้วนแต่เป็นทักษะการแพทย์ที่ดีและชาญฉลาดอย่างมาก ทั้งหมดเป็นฝีมือของฮูหยินใช่หรือไม่? ”
รู้สึกว่าคุณชายฉู่จะสนใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก ตงหลิงหวงยืนขึ้นและตอบอย่างตั้งใจ
“เป็นฝีมือของข้าจริงๆ ทว่าทักษะการแพทย์ของข้าไม่ได้ดีมากนัก เพียงก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้จากสำนักแพทย์เทียนอีมาบ้าง”
“วิชาแพทย์ของฮูหยินร่ำเรียนมาจากสำนักแพทย์เทียนอีหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ดีมาก… ”
คุณชายฉู่ยากจะปกปิดความรู้สึกดีใจไว้ได้
ตงหลิงหวงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณชายฉู่มีเรื่องอันใดหรือ? ”
คุณชายฉู่พูดอย่างไม่เกรงใจ “เรื่องเป็นเช่นนี้ ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ คนในหุบเขาหลูเหว่ยป่วยด้วยโรคประหลาด หุบเขาของข้าไม่มีหมอรักษาโรค มีแต่หมอโอสถ ทว่าหมอโอสถรักษาอยู่นาน ทำอย่างไรก็ไม่อาจรักษาให้หายได้
ดังนั้น บิดาของข้าจึงออกจากหุบเขาไปตามหาหมอด้วยตนเอง
ฮูหยินรู้สภาพของหุบเขาดี ผู้คนในหุบเขาได้ตัดขาดจากโลกภายนอกมาเนิ่นนาน ปกติจะไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามา ดังนั้นท่านพ่อจึงไม่กล้าเชิญผู้ใดเข้ามาตามอำเภอใจ จุดประสงค์ของการออกไปในครั้งนี้ คือ ต้องการเชิญหมอจากสำนักแพทย์เทียนอี ทว่าการตามหาหมอจากสำนักแพทย์เทียนอีนั้นยากยิ่งนัก หลังจากตามหาเป็นเวลานานก็หาไม่พบสักคน
ในเมื่อฮูหยินเป็นคนของสำนักแพทย์เทียนอี ผู้แซ่ฉู่จึงอยากขอความเมตตาให้ฮูหยินช่วยรักษาชาวบ้านในหุบเขาหลูเหว่ยได้หรือไม่? ”
เป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะเชิญหมอจากสำนักแพทย์เทียนอี
ยิ่งไปกว่านั้น การค้นหาหุบเขาเทียนอียังเป็นเรื่องยาก ด้านนอกหุบเขาวางค่ายกลเอาไว้มากมาย ทางเข้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากบุคคลภายนอกต้องการไปเยือนสำนักแพทย์เทียนอีจึงเป็นเรื่องยาก
ตงหลิงหวงเป็นชนชั้นปกครองที่ห่วงใยประชาชน นางเข้าใจความรู้สึกของคุณชายฉู่ดี จึงตอบตกลงทันที
“ตกลง อีกสักครู่ข้าจะไปกับดูอาการพร้อมกับคุณชายฉู่”
“ในเมื่อฮูหยินตอบตกลง นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก เรื่องนี้ไม่รีบร้อน อย่างไรเสีย ชาวบ้านในหุบเขาก็ป่วยมาเป็นเวลานาน ใช่ว่าจะรักษาได้ภายในหนึ่งหรือสองชั่วยาม ฮูหยินและสามีพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปเตรียมการ และจะมารับฮูหยินไปตรวจในช่วงบ่าย”
“ตกลงตามนั้น! ” ตงหลิงหวงพยักหน้า
หลังจากคุณชายฉู่จากไป ตงหลิงหวงยังตรวจดูบาดแผลของมู่หรงฉีต่อ ไข้ของเขาลดลงแล้ว บาดแผลได้รับการทำความสะอาดและพันผ้าพันแผลเรียบร้อย คงไม่มีปัญหาอันใด
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น ตงหลิงหวงก็รู้สึกว่ามู่หรงฉีมองตนเองด้วยสายตาที่ผิดปกติเล็กน้อย
ตงหลิงหวงรีบลุกขึ้นด้วยใบหน้าขุ่นเคือง และก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว
“มู่หรงฉี เจ้ามองข้าเช่นนี้ คิดจะทำอันใด? ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี เจ้าควรทำตัวให้ดี”
มู่หรงฉีเผยรอยยิ้มลึกซึ้งที่มุมปาก “ฮูหยินลำบากเช่นนี้ ข้าในฐานะสามีจะกล้าทำตัวไม่ดีได้อย่างไร? สามีอย่างข้าจะทำอันใดได้ ข้าฟังฮูหยินทุกอย่าง”
สามีอันใด ฮูหยินอันใด???
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น นางกระแทกหมัดลงบนบาดแผลบริเวณหน้าอกของมู่หรงฉีอย่างแรง
“พูดจาไร้สาระอันใด! ยังไม่ทำตัวให้ดีอีก! ”
มู่หรงฉีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่ากลับเผยรอยยิ้มชั่วร้าย เขาฉวยโอกาสนี้คว้ากำปั้นของตงหลิงหวง และใช้กำลังดึงอย่างแรง ตงหลิงหวงจึงล้มลงในอ้อมแขนของเขา
“เมื่อครู่คุณชายฉู่เรียกหวงเอ๋อร์ว่าฮูหยิน และเรียกข้าว่าเป็นสามีของเจ้า ทั้งหวงเอ๋อร์ยังยอมรับ หากสามีอย่างข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้น ข้าก็ทำผิดต่อฮูหยินมิใช่หรือ? ”
ตงหลิงหวงหวนนึกถึงบทสนทนาของคุณชายฉู่เมื่อครู่ตอนที่เพิ่งเดินเข้าประตูมา เขาเรียกนางกับมู่หรงฉีว่า ฮูหยินและสามีตลอดเวลา
ตอนนั้น นางกังวลว่าจะมีปัญหาจึงไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ของนางกับมู่หรงฉี ทว่านางไม่คิดว่ามู่หรงฉีจะใส่ใจเรื่องเหล่านี้
หัวใจของตงหลิงหวงเต้นแรง แก้มร้อนผ่าวเล็กน้อย นางพยายามลุกขึ้น “ข้าเพียงไม่อยากยุ่งยาก จึงไม่ได้อธิบายให้ผู้อื่นฟังก็เท่านั้น มู่หรงฉี เจ้าไม่ต้องสนใจ และไม่ต้องใส่ใจเกินไป”
อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่ามู่หรงฉีจะเอื้อมมือมาโอบเอวของตงหลิงหวงแน่น ลมหายใจลึกซึ้งรินรดข้างใบหูของตงหลิงหวง
“ข้าใส่ใจ ใส่ใจอย่างมาก! ทั้งยังจำขึ้นใจอีกด้วย! ”
ลมหายใจนั้นกระทบใบหูของตงหลิงหวง ทำให้หัวใจของนางเร่าร้อน
ตงหลิงหวงใช้แขนกระแทกไปที่ข้างหลังของมู่หรงฉีอย่างแรง “มู่หรงฉี คนพาล! ไร้ยางอาย หน้าไม่อาย! ”
มู่หรงฉีรีบปล่อยตัวตงหลิงหวงและกลับมาขดตัวแน่นอยู่บนเตียง เขากอดหน้าอกและส่งเสียงร้อง “โอ๊ย! ”
ตงหลิงหวงรีบกระโดดหลบไปด้านข้างด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เดิมทีนางคิดจะต่อว่ามู่หรงฉีอีกครั้ง ทว่าท่าทางของมู่หรงฉีราวกับเจ็บปวดจริงๆ ใบหน้าของเขาซีดเหลืองเล็กน้อย และจุดที่เขาจับยังเป็นบริเวณที่เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ
นางคิดว่าเมื่อครู่ตนคงลงมือหนักเกินไปหน่อย จึงรีบไปยืนข้างเตียงเพื่อตรวจดูอาการของมู่หรงฉี
“มู่หรงฉี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? บาดแผลฉีกขาดหรือไม่? เจ็บมากหรือไม่? ไม่สบายที่ใด? ”
ทันทีที่พูดจบ นางก็ร้องอุทานออกมา “อ้าก… ” ภาพเบื้องหน้าพลิกกลับ และนางก็ล้มตัวลงบนเตียง
ตงหลิงหวงตั้งสติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจ้องเขม็งไปยังคนที่กำลังยิ้มเยาะและกดทับนาง
“มู่หรงฉี เจ้าไม่เพียงลามกและไร้ยางอาย ทว่าเจ้า… ยังป่าเถื่อนอีกด้วย”
มู่หรงฉีเหยียดนิ้วออกมาเชยคางตงหลิงหวงอย่างเชื่องช้า “อืม ข้าน่ารังเกียจ ข้าไร้ยางอาย และข้ายังป่าเถื่อน ทว่า… ข้ากระทำตัวไร้ยางอายกับเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น และป่าเถื่อนกับเจ้าเพียงผู้เดียว”
ตงหลิงหวงกัดริมฝีปาก แก้มแดงก่ำ นางพยายามผลักมู่หรงฉีออกไป ทว่าไม่กล้าออกแรงมากเกินไป
“มู่หรงฉี ความยับยั้งชั่งใจของเจ้าอยู่ที่ใด? เจ้า… เจ้าหมดหนทางเยียวยาแล้ว! ”
“อืม ข้าไม่มีความยับยั้งชั่งใจ หวงเอ๋อร์ เพื่อเจ้าแล้ว… ข้ายอมหมดหนทางเยียวยา… ” เขาพูดพลางบรรจงประทับริมฝีปากตนเองลงบนริมฝีปากสีแดงดั่งกลีบกุหลาบของตงหลิงหวงด้วยความอ่อนโยน
เมื่อริมฝีปากของมู่หรงฉีแนบชิดริมฝีปากของตงหลิงหวง ตงหลิงหวงก็เบือนหน้าหนีทันที
นางยกยิ้มเย็นชา “มู่หรงฉี คำพูดเช่นนี้ เจ้าพูดกับใครหลายคนแล้วใช่หรือไม่? ทว่า… มันไม่มีประโยชน์อันใดกับข้า เจ้าเก็บลูกไม้ของเจ้าไปเถิด! ข้าไม่ชอบสิ่งเหล่านี้”
มู่หรงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความสุข เขาเป่าลมหายใจร้อนผ่าวไปที่ข้างใบหูของตงหลิงหวง “ข้าพูดกับเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น และชีวิตที่เหลือของข้าจะอยู่กับเจ้า! ”
“ฮ่า… ” ตงหลิงหวงหัวเราะเยาะในลำคอ “คำพูดเช่นนี้ ฉีอ๋องคงใช้เย้าหยอกสตรีในแคว้นของท่านกระมัง ใช้กับแม่นางที่อ่อนต่อโลกก็พอได้ แต่อย่ามาใช้กับข้า”
“หวงเอ๋อร์ไม่เชื่อหรือ? ”
“จงจื่อเยี่ยนเล่า? ฉีอ๋องกล้าพูดหรือไม่ว่าไม่เคยพูดคำเหล่านี้กับจงจื่อเยี่ยน? ”
แม้นางจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้แคว้นหนานหลี ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า จงกุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์กับฉีอ๋องก่อนเข้าวังหลวง
ผู้ที่ทราบเรื่องนี้ต่างคิดว่า สาเหตุที่ฉีอ๋องครองตัวเป็นโสดจนอายุปูนนี้ และยังไม่มีสตรีนางใดอยู่ข้างกาย เป็นเพราะจงจื่อเยียน