รอยยิ้มทั้งหมดบนใบหน้าของมู่หรงฉีค่อยๆ จางหายไป เขาถอยออกจากตงหลิงหวง ก่อนจะนอนลงข้างนางและจับมือของนางอย่างแผ่วเบา
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองพลันเย็นเยือก ตงหลิงหวงรู้สึกว่าคำพูดของนางทำร้ายจิตใจของเขามากเกินไป
นางคิดจะลุกขึ้น ทว่าหัวใจของนางกลับต่อต้าน สุดท้าย นางก็ไม่ได้ลุกขึ้น และไม่ได้ดึงมือออกจากมือของมู่หรงฉี
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฉีจึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หวงเอ๋อร์ ข้ากับจงจื่อเยียนมีช่วงเวลาหนึ่งร่วมกัน ทว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่จงจื่อเยียนเป็นพระสนมของเสด็จพ่อ ข้าก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับนางอย่างชัดเจน
ข้ารู้ดีว่าเจ้าคิดเช่นไร ไม่มีสตรีใดไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ทว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง ชีวิตที่เหลือของข้า ข้าจะรักเจ้าเพียงผู้เดียว”
แม้คำเหล่านี้จะฟังดูจริงจังอย่างมาก ทว่าข่าวลือเหล่านั้นก็เป็นความจริง ตงหลิงหวงจะเชื่อได้อย่างไร?
เดิมที ในใจของนางไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับอดถามคำถามเหล่านี้ไม่ได้
“มู่หรงฉี เจ้ายังมีหัวใจหรือไม่? ฮ่องเต้แคว้นหนานหลีหายตัวไปแปดปี จงจื่อเยียนต้องเผชิญกับความอยุติธรรมและตั้งครรภ์บุตรของเจ้า นางต้องทนทุกข์เพื่อเจ้าเพียงใด? ตอนนี้คนได้จากไปแล้ว มิอาจหวนคืน เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
มู่หรงฉีหันมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม และจ้องไปที่ดวงตาของตงหลิงหวง
“ตงหลิงหวง หากข้าบอกว่าเด็กในครรภ์ไม่ใช่บุตรของข้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงจ้องใบหน้าของมู่หรงฉีเป็นเวลานาน ทันใดนั้น นางก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก “มู่หรงฉี เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่? ”
มู่หรงฉีขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าไร้รอยยิ้ม “ตงหลิงหวง ข้าเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ เจ้าได้พิสูจน์แล้วมิใช่หรือ? ”
จู่ๆ ภาพเหตุการณ์พัวพันนัวเนียในห้องลับวันนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของตงหลิงหวง แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นจึงผลักมู่หรงฉีอย่างแรง
“มู่หรงฉี ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ได้จริงจัง เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
มู่หรงฉีฉวยโอกาสจับมือของตงหลิงหวงด้วยท่าทางจริงจัง
“หวงเอ๋อร์ ข้าสาบานว่าสิ่งที่ข้ากล่าวในวันนี้ ข้าไม่ได้โกหกเจ้า”
“เรื่องทารกในครรภ์ของจงกุ้ยเฟยเป็นอย่างไรกันแน่? เสด็จพ่อของเจ้าไม่ได้อยู่ในวังแปดปี หรือว่านางตั้งครรภ์กับผู้อื่นแล้วสร้างเรื่องใส่ร้ายเจ้า?
เจ้าและข้าต่างเติบโตในวัง ฉีอ๋อง เจ้าคงรู้ดีกว่าข้า ความบริสุทธิ์นั้นสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะความบริสุทธิ์ของสตรีในวัง! ”
มู่หรงฉีขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ในเวลานั้น หมอทั้งหลายต่างวินิจฉัยว่าเด็กในครรภ์ของจงกุ้ยเฟยมีอายุเพียงสองเดือน ทว่าต่อมา จิ่นซีได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องที่ทารกในครรภ์มีอายุสองเดือนนั้นเป็นเรื่องบิดเบือน แท้จริงแล้ว ทารกในครรภ์มีอายุห้าเดือนเต็ม
เมื่อห้าเดือนก่อน ตอนนั้นข้าอยู่กับอู๋จุนที่หุบเขาเทพโอสถแคว้นจงหนิง ทารกในครรภ์จะเป็นบุตรของข้าได้อย่างไร?
หวงเอ๋อร์ หากเจ้าไม่ไว้ใจผู้อื่น เช่นนั้น เจ้าก็ไม่เชื่อแม้แต่วิชาแพทย์ของจิ่นซีหรือ? ”
วิชาแพทย์ของซูจิ่นซี ตงหลิงหวงเชื่อมั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งนางยังเชื่อมั่นในอุปนิสัยของซูจิ่นซีอย่างมาก สำหรับเรื่องนี้ แม้มู่หรงฉีจะเป็นพี่ชายของนาง ทว่านางไม่มีทางช่วยมู่หรงฉีปกปิดเรื่องนี้แน่นอน
ตงหลิงหวงกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก มู่หรงฉีลูบไล้มือของตงหลิงหวง ดวงตาดำขลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง
“หวงเอ๋อร์ เจ้ากำลังกังวล! ทว่า ข้าชอบความกังวลเช่นนี้ของเจ้า! ”
เมื่อถูกมู่หรงฉีพูดเตือนสติเช่นนี้ ตงหลิงหวงจึงเพิ่งรู้ตัวว่านางกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจน
หัวใจของนางเต้นแรง จากนั้นจึงรีบดึงมือของตนออกจากมือของมู่หรงฉี
ครั้งนี้ มู่หรงฉีไม่ได้รั้งเอาไว้อีกต่อไป เขายกยิ้มมุมปาก และพลิกตัวนอนลงข้างกายตงหลิงหวง
บรรยากาศระหว่างทั้งสองเงียบลงชั่วขณะ ไม่มีผู้ใดพูดอันใด
คราแรก ตงหลิงหวงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หัวใจของนางเต้นแรงด้วยความรู้สึกประหม่า ทว่าลมหายใจของทั้งสองค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ และมู่หรงฉีก็ผล็อยหลับไป
ตงหลิงหวงอดมองข้างกายไม่ได้ นางมองใบหน้าของมู่หรงฉีตอนที่กำลังหลับใหล
ในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง นางรู้ดีกว่าผู้ใด ด้วยสถานะของมู่หรงฉี ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ย่อมไม่เคยนอนหลับได้อย่างสบายใจเพราะต้องตื่นตัวอยู่เสมอ
ทว่าตอนนี้ มู่หรงฉีกำลังนอนหลับอย่างผ่อนคลาย ไร้ความกังวล และไม่มีความหวาดระแวง
เป็นท่าทางที่เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ที่วางใจอยู่ข้างกาย
นาง… เป็นคนที่มู่หรงฉีไว้วางใจหรือ?
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ตงหลิงหวงจึงเลิกคิ้วอันงดงามขึ้นเล็กน้อย
หลังเที่ยง คุณชายฉู่นำคนมารับตงหลิงหวงเพื่อไปตรวจดูอาการผู้ป่วยด้วยตนเอง
มู่หรงฉีต้องการตามไปด้วยเช่นกัน ทว่าตงหลิงหวงกลับแสดงท่าทางเย็นชา และไม่ต้องการให้มู่หรงฉีตามไป อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าคุณชายฉู่ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่ามู่หรงฉีจะตามไปด้วย เขาจึงเตรียมรถเข็นเอาไว้
บิดาของคุณชายฉู่คือเจ้าหุบเขาหลูเหว่ย ตงหลิงหวงกับมู่หรงฉีอาศัยอยู่ในจวนของเจ้าหุบเขา
หลังออกมาจากเรือนของเจ้าหุบเขาแล้ว เส้นทางหุบเขาหลูเหว่ยคล้ายกับเส้นทางด้านนอกหุบเขา มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ที่นี่มีบรรยากาศราวกับสรวงสวรรค์ และบ้านเรือนต่างๆ สร้างตามสมัยราชวงศ์ต้าโจว
พวกเขานั่งบนรถม้า ผ่านไปไม่นานก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
คุณชายฉู่เอ่ยเตือน “โรคนี้เป็นโรคติดต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนในหุบเขาติดโรคนี้ พวกเราได้แยกผู้ป่วยทั้งหมดไว้ที่หมู่บ้านแห่งนี้”
ตงหลิงหวงพยักหน้า แม้ไม่ได้พูดอันใด ทว่านางแอบชื่นชมความสามารถในการจัดการของเจ้าหุบเขาหลูเหว่ย
การจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบเช่นนี้ หากเจอในโลกภายนอก เจ้าหน้าที่บางคนอาจคิดไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้จะคิดได้ ทว่าในทางปฏิบัติ พวกเขาอาจไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน
ระหว่างการสนทนา ผู้ดูแลหลายคนได้นำเสื้อผ้าและหน้ากากป้องกันการติดเชื้อมาให้ ตงหลิงหวงและคนอื่นๆ จึงสวมชุดดังกล่าว
ในยุคปัจจุบัน ก่อนเข้าสู่พื้นที่แพร่ระบาดก็จำเป็นต้องกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นการป้องกัน
ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในหมู่บ้าน ทันใดนั้น สายตาของคุณชายฉู่ก็มองไปทางใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าหมู่บ้าน
ใต้ต้นไม้มีหญิงชราผมสีขาวโพลนยืนอยู่ หญิงชรากำลังอุ้มเด็กชายอายุราวห้าหกขวบ และมองมาทางพวกเขาอย่างคาดหวัง
คุณชายฉู่พูดกับตงหลิงหวงและมู่หรงฉีด้วยท่าทีนอบน้อม “พวกท่านทั้งสองรอสักครู่ ประเดี๋ยวข้ากลับมา”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เดินไปหาหญิงชราและเด็กน้อย
ระยะห่างของพวกเขาไม่ไกลนัก ตงหลิงหวงจึงสามารถได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน
“ท่านยายและหลานชายมาที่นี่อีกแล้วหรือ? ”
“คุณชายฉู่ เมื่อใดอาการป่วยของอาอิงและหลานชายคนโตของข้าจะดีขึ้น? ข้าเกรงว่าจะเหลือเวลาให้มองเห็นพวกเขาอีกไม่มาก
พ่อของเด็กคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว หากแม่และพี่ชายของพวกเขามีอันเป็นไปอีก เด็กคนนี้จะอยู่ในโลกตามลำพังได้อย่างไร? ”
“ท่านยายอย่าได้กังวล พวกเขาจะหายจากอาการเจ็บป่วย! ”
ท่านยายพูดพลางปาดน้ำตา
“ยายเชื่อคำพูดของคุณชายฉู่แน่นอน คุณชายฉู่ต้องช่วยพวกเขาให้ได้! ”
หลังจากท่านยายพูดจบ เด็กชายอายุราวห้าหกขวบที่อยู่ข้างกายของนางก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน “พี่ฉู่ ข้าต้องการท่านแม่และท่านพี่ของข้า ข้าต้องการท่านแม่และท่านพี่ของข้า! ”
คุณชายฉู่ลูบศีรษะเด็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง เสี่ยวเปา เห็นพี่ชายและพี่สาวตรงนั้นหรือไม่? ” คุณชายฉู่พูดพลางชี้ไปทางตงหลิงหวงและมู่หรงฉี “พวกเขาเป็นท่านหมอเทวดา คนที่ท่านปู่ฉู่เชิญมาที่หุบเขาของพวกเราเพื่อรักษาแม่และพี่ชายของเจ้าโดยเฉพาะ ดังนั้น แม่และพี่ชายของเจ้าจะต้องไม่เป็นอันใด”
“พี่ฉู่ ท่านพูดจริงหรือ? ”
“เป็นความจริงอย่างแน่นอน พี่ฉู่โกหกเจ้าเมื่อไร! ”
ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีต่างได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ทันทีที่คุณชายฉู่พูดจบ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งมาทางตงหลิงหวงและมู่หรงฉีราวกับเม็ดถั่ว และเกาะท่อนขาของตงหลิงหวงเอาไว้
“พี่สาวคนสวย คุณชายฉู่บอกว่าท่านสามารถรักษาท่านแม่และพี่ชายของข้าได้ เป็นความจริงใช่หรือไม่? ”
แม้เจ้าตัวเล็กจะสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ทว่ากลับสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าเล็กนั้นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
แม้ตงหลิงหวงจะเป็นสตรี ทว่านางไม่เคยใกล้ชิดกับเด็กมาก่อน จึงตกตะลึงไปชั่วครู่
“พี่สาวคนสวย เป็นความจริงใช่หรือไม่? ”
เด็กน้อยไม่อาจรอคำตอบจากตงหลิงหวงได้ ดังนั้นจึงเร่งถามอีกครั้ง
ตงหลิงหวงเห็นดวงตาที่เปล่งประกายของเด็กน้อย หัวใจของนางพลันอ่อนยวบ
ทว่านางไม่อาจโกหกเด็กน้อยได้! หากไม่มีสิ่งใดรับประกัน และไม่อาจให้สัญญากับเด็กน้อยได้โดยง่าย
“พี่สาวจะทำให้ดีที่สุด”
ดวงตาของเด็กน้อยปรากฏความผิดหวัง ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เม้มริมฝีปากและกวักมือมาทางตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงโน้มตัวลงไปด้วยความสงสัย
ทันใดนั้น เด็กน้อยก็หอมแก้มตงหลิงหวงและพูดแผ่วเบาด้วยความอ่อนโยนและหนักแน่น “พี่สาวคนสวย เสี่ยวเปาไม่มีท่านพ่อแล้ว จึงไม่อาจเสียท่านแม่และพี่ชายได้อีก เห็นแก่เสี่ยวเปาที่เป็นเด็กดีเชื่อฟัง พี่สาวต้องช่วยพวกเขาให้ได้ ตกลงหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงยังคงตกตะลึงและไม่ตอบสนอง
ตั้งแต่เด็ก นางไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับเด็กมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการใกล้ชิดกับเด็กเช่นนี้ จะไม่ให้นางตกใจหรือแปลกใจได้อย่างไร?
มู่หรงฉีเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของตงหลิงหวง ใบหน้าของเขาเผยความหมายลึกซึ้ง