GGS:บทที่ 998 คุ้มค่า!!!

ทันทีฝาครอบได้เปิดออกก็เผยให้เห็นชุดอาหารจานธรรมดาประกอบด้วยปลาเฉาขนาดประมาณสักสองถึงสามชั่งนิ่งทั้งตัวหนึ่งจาก โจ๊กมะละกอหนึ่งชามเล็ก และชาเขียวหนึ่งถ้วย ซึ่งปริมาณโดยรวมแล้วกำลังพอเหมาะกับการกินคนเดียวพอดี
แต่เมื่อนึกถึงว่าอาหารชุดนี้ราคาถึงหนึ่งแสนหยวนแล้วปริมาณที่ได้สมควรจะมากกว่านี้ ทุกคนต่างก็คิดว่านี่แพงไปอยู่ดี

“….นี่คือชุดอาหารธรรมดามีแค่นี้ใช่รึเปล่า” ถังฮ่าวถามออกมา
“ใช่แล้วค่ะ นี่คือทั้งหมดสำหรับชุดอาหารระดับธรรมดา” บริการสาวได้ตามออกมาด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย เธอเองก็ถามซูจิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน เพราะไม่ว่ายังไงการที่อาหารเพียงเท่านี้ราคาหนึ่งแสนหยวน นี่ทำให้ภัตตาคารเปรียบได้ดั่งร้านอาหารที่เอาเปรียบผู้คนตามงานเทศกาลจริงๆ
“จะไปพอได้ยังไงกัน ฉันขอโจ๊กเพิ่มสองชามกับเรื่องดื่มอีกสักสองแก้วได้รึเปล่า” ถังฮ่าวถามออกมา
“ได้ค่ะ โจ๊กชามหนึ่งราคาอยู่ที่สามหมื่นหยวน ส่วนชานี่ราคาอยู่ที่ถ้วยละหนึ่งหยวนค่ะ” บริกรได้พูดออกมา
“ห้ะ” ถังฮ่าวในตอนนี้ได้แค่จ้องมองไปยังบริกรนิ่งๆ หวังจ้าว หวังซูหยา และคนอื่นๆเองที่ได้ยินแม้จะอยู่ห่างออกไปแต่ก็ได้ยินชัดจนต้องมองตาม
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้คิดว่าได้เผลอไผลมาเข้าร้อนอาหารมืด(ร้านที่โก่งราคาเอาเปรียบคนซื้อ)เรียบร้อยแล้ว นี่เขาโก่งราคาเกินไปแล้วจริงๆ

“ก็ดี งั้นฉันไม่สั่งเพิ่ม” ถังฮ่าวรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย เขารู้สึกได้ทันทีว่าพอเป็นเรื่องเงินทองนี่ซูจิ้งไม่เคยคิดจะลดราวาซอกเลยจริงๆ
“นี่ๆกลิ่นนั่นน่ะใช่กลิ่นของโจ๊กชามนั้นรึเปล่า” ถังเสี่ยวหยูในตอนนี้กำลังใช้จมูกดมกลิ่นด้วยหน้าตาใสสื่อพลางหยิบตะเดียบขึ้นมาพร้อมกำลังจะหยิบชุดอาหารของถังฮ่าวไป
“เหอะ แพงขนาดนี้กลิ่นก็สมควรจะ…” ถังยี่เองที่กำลังจะบ่นออกมาก็ได้หยุดปากก่อนที่จะแอบหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมท่าทียื้อแย่ง
ถังฮ่าวที่กำลังขุ่นเคืองเรื่องราคาอยู่นั้นเมื่อได้ยินก็ได้สูดกลิ่นเข้าไปทีหนึ่ง ตอนนี้เขานั้นลืมเรื่องราคาที่ขูดเลือดไปจนหมดสิ้นก่อนที่จะคว้าตะเกียบหยิบชิ้นปลาชิ้นหนึ่งเข้าปากไปเร็วเกินกว่าที่อีกสองสาวผู้ร่วมโต๊ะจะตามได้ทัน

ทันทีที่เนื้อเข้าปาก ดวงตาของเขานั้นเบิกกว้าง เขารู้สึกได้เลยว่าชิ้นเนื้อปลานี้ละมุนมากจนละลายไปกับปากของเขา รสชาติของปลาที่แตกกระจายไปทั่วลิ้น จิตใจของเขานี้กระจ่างใสราวกับไม่เคยมีอะไรขุ่นเคืองมาก่อน
“อร่อยมาก” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาดังจนเกือบได้ยินกันทั้งร้าน
“ตอนที่ฉันเคยมากินปลาฉางที่ร้านนี้ก็ว่าอร่อยแล้วนะ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้จากจานนี้เลย นี่คือเนื้อปลาฉางจริงๆเหรอ” ถังยี่เองก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทีตกใจ
“ฝีมือทำอาหารของซูจิ้งเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ” ถังฮ่าวเองในตอนนี้ก็ได้ตั้งคำถามขึ้นมา
สิ่งที่ทุกคนนั้นไม่รู้ก็คือปลาฉางที่ซูจิ้งใช้นั้นไม่ใช่ปลาฉางฮื้อที่มีอยู่บนโลกนี้ แต่ปลาฉางนี้เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯดินแดนแห่งฟากฟ้า แน่นอนว่าปลาฉางธรรมดาที่อยู่บนโลกอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังนิ่งโดยใช้วิธีนิ่งทั้งเกล็ดด้วยความร้อนสูงจนเกล็ดละลาย ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษเฉพาะเขาเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองของภัตตาการแห่งนี้จะไม่มีไว้ให้บริการ

“โจ๊กมะละกอนี่ก็สุดยอดไม่แพ้กันเลย มันหวานอร่อยละมุนลิ้นดีจริงๆ” ถังเสี่ยวหยูที่กำลังตักโจ๊กเข้าปากก็พูดออกมาอย่างไม่ยั้งมือ
ทั้งๆที่ขนาดของชามนี้เพียงแค่ชามเล็กๆที่แทบจะบอกได้ว่ามันนั้นแค่เอาไว้ใช้แค่ลองชิมเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้
มะละกอนี่แน่นอนว่าไม่ใช่มะละกอทั่วไป แต่นี่คือมะละกอหวานที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯตำนานเทพอสูร ต่อให้เป็นทั่วไปมาทำก็ยังอร่อยได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว นับประสาอะไรเมื่อซูจิ้งเป็นคนลงมือเองย่อมอร่อยกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว

ตระกูลถังยังได้ลิ้มรสชาถ้วยนั้นอย่างละเมียดละไม พวกเขานั้นต่างก็กินชากันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ทันทีที่นำชาสัมผัสไปกับลิ้น รสชาติละกลิ่นของชาก็กระจายไปทั่วปาก
กลิ่นของมันเข้มจ้นแต่ก็พาผ่อนคลายราวกับว่าซูจิ้งได้นำชาทั้งสวนมากลั่นเป็นน้ำชาถ้วยนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้คนที่กินชานี้แล้วจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

ใบชาที่ใช้ทำชาถ้วยนี้ ซูจิ้งพึ่งจะได้มาจากขยะห้วงเวลาฯตำนานยอดทหารกล้าจ้าวนักรบ เขานั้นเมื่อรู้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองล่าสุดนี่มาจากที่ใดก็ได้ทำการตรวจสอบพืชพรรณที่ได้มาก่อนหน้านี้อีกครั้ง จนกระทั่งพบต้นชาหานิ้วจากดาวแฮริสันนี้เข้า
ถึงแม้ว่าที่นั่นจะดื่มกันอยู่ทั่วไป แต่กับโลกใบนี้แล้วมันคือชาพันธุ์สุดแสนจะหายาก เขาเองก็ได้ลองดื่มมันดูแล้วเหมือนกัน ถึงแม้ว่าชานี้จะเทียบไม่ได้กับชาจากห้วงเวลาฯโลกแห่งเซียนก็ตาม แต่รสชาติก็ยังเหนือล้ำกว่าชาบนโลก ที่สำคัญที่สุดคือ เขามีต้นพันธุ์ใบชานี้

ถังฮ่าว ถังยี่ และถังเสี่ยวหยูนั้น หลังจากที่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับอาหารทุกจานไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนในตอนนี้ไม่พูดอะไรอีก
ต่างก็ตั้งอกตั้งใจกินอย่างตระกระตระกรามราวกับไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่เลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ไม่ถึงสามนาที อาหารชุดธรรมดาได้หมดไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากราวกับเสียดายที่หมดไวไปหน่อยไม่ต่างจากคนงานที่อยู่ในสลัมเลยทีเดียว

หวังซือหยา หวังจ้าว ผู้อาวุโสหวู่และคนอื่นๆเองที่เห็นต่างก็จ้องมองอย่างโง่งม เท่าที่เขาได้ฟังดูขนาดถังฮ่าวและคนอื่นๆที่อยู่ร่วมโต๊ะที่เคยกินอาหารฝีมือซูจิ้งมาน่าจะบ่อยครั้งก็ยังอดกินอย่างสงบเสงี่ยมไม่ได้
และพวกเขาเองก็ได้กลิ่นอาหารชุดธรรมดานี้แล้วเหมือนกัน พวกเขาบางคนก็มีโอกาสได้ลิ้มรสฝีมือซูจิ้งมาบ้างแต่ก็ยังรูสึกว่ามันหอมหวลกว่าเดิม
นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้กินมานานแล้วหรือเป็นเพราะว่าฝีมือของซูจิ้งเพิ่มขึ้นอีกแล้วกันแน่

ไม่นาน อาหารชุดจานธรรมดาก็ได้เสริฟให้กับคนที่สั่งจนครบ ทุกคนต่างก็อดใจไม่ไหวและได้ลงมีกินอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป

“พระเจ้า อร่อยยยยยยยยยย” ชายหนุ่มที่สูงขึ้นจากการรับการรักษาของซูจิ้งที่คลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงได้พูดออกมาอย่างไม่เกรงงใจใคร ถึงแม้เขาจะเพิ่งลองกินไปได้เพียงคำเดียวแต่นี่ก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับเด็กน้อยที่ไม่เคยกินของอร่อยมาก่อนเลยในชีวิต

“ทั้งปลาฉางและโจ๊กมะละกอของที่นี่อร่อยที่สุดในโลกเลย ไหนจะเบียร์นี่อีก โลกนี้มีเบียร์เลิศรสแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน” คู่ชายหญิงที่รู้จักกันเพราะอันจิ้ฮัวนั้นต่างก็กินไปด้วยท่าทางมหัศจรรย์พันลึก ทั้งสองต่างก็เลือกเครื่องดื่มเป็นเบียร์มอลต์และต่างก็คิดว่ามันเป็นเพียงทั่วๆไปเท่านั้น พวกเขาไม่คิดว่าแค่เบียร์นี่เพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขาสามารถนั่งดื่มที่นี่ได้ทั้งวันแล้ว

“มันแพงก็จริง แต่มันก็…” เฉียนชูเฟิงได้พูดออกมาในขณะที่เคี้ยวเนื้อปลาอยู่เต็มปากราวกับจะบ่นอะไรสักอย่างแต่เขาก็หมดอารมณ์ที่จะพูดไปแล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก

“อาหารแบบนี้มีอยู่บนโลก…ได้..ยังไงกัน” จ้าวจือนั้นไม่เคยเชื่อว่าซูจิ้งจะมีฝีมือในการทำอาหารเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขานั้นทำได้เพียงตกใจจริงๆ
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งได้พัฒนาฝีมือการทำอาหารของเขาได้เทพเสียยิ่งกว่าเดิม แม้แต่เขาเองก็ยังอดดื่มด่ำไปกับการกินไม่ได้แล้ว เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าบนโลกนี้จะมีรสชาติแบบนี้อยู่จริง

“ช่างคุ้มค่ายิ่งแล้ว” ผู้อาวุโสจิ้งได้พูดพลางแสดงท่าทีปลื้มปลิ่ม เขานั้นเคยมีโอกาสได้กินอาหารของซูจิ้งมาแล้วในตอนที่อาจารย์สมัยมหาวิทยาลัยของซูจิ้งได้แต่งงานที่โรงแรมของเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจไวน์จิ้งจอกแดงร่วมกัน
ในครั้งนั้นเขายังไม่เคยลืมเลือนรสชาติของซูจิ้งเลยสักนิด ที่มาในครั้งนี้เขาเองก็แค่อยากจะเติมเต็มความรู้สึกนั้นอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้ฝีมือของซูจิ้งจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัวไปแล้ว

โจวเทียนรุยไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ค่อยๆกินเข้าไปด้วยท่าทีสงบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ไม่เวอร์กันเกินไปรึไงเนี่ย” ชายหนุ่มเจาะหูได้พูดออกมา
“ไม่รู้สินะ แต่กลิ่นมันก็หอมจริง” ชายหนุ่มอีกคนได้พูดออกมา
“ถึงตาพวกเราแล้ว แค่ลองกินดูเดี๋ยวก็รู้” ชายหนุ่มท่าทางหล่อเหลาพูดออกมา
หลังจากจากชุดอาหารธรรมดาได้มาเสริฟยังโต๊ะของพวกเขา เพียงได้กลิ่นเพียงเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่คีบกันไปคนละชิ้น หลังจากนั้นไม่มีใครพูดอะไรอีก ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่ในใจใคร
ถึงแม้พวกเขานั้นจะแต่งตัวดูดีแต่ก็มีบางคนทีจับจานขึ้นมาเลียสองถึงสามครั้งเลยทีเดียว พวกเขานั้นคือพี่น้องนอกเลือด(ลูกน้อง)ของฮัวหยุนชู
ที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้เพียงเพราะต้องการมาดูสถานการณ์ของซูจิ้ง หรือจะให้ดีก็หาโอกาสก่อกวนซูจิ้งในทันทีหากพวกเขามีโอกาส
แต่เพียงได้กินอาหารของซูจิ้งไปแล้วพวกเขาต่างก็พูดอะไรกันไม่ออก พวกเขาต่างก็รู้เหมือนๆกันว่าพวกเขานั้นฝืนใจกันไม่ออกจริงๆที่จะบอกออกมาว่าชุดอาหารชุดนี้ไม่อร่อย

เพียงแค่อาหารได้เสริฟบนโต๊ะต่อหน้าทุกคน เพียงไม่กี่อึดใจก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทุกคนนั้นต่างก็อดใจไม่ไหวที่จะสั่งต่ออีกต่อไป
ใช่มันแพง แต่มันนั้นคุ้มค่า ต่อให้พวกเขานั้นไม่อยากแต่พยาธิในท้องพวกเขานั้นจะไม่ทนอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าการที่ซูจิ้งตั้งราคาไว้ขนาดนี้จะสมเหตุสมผลแล้วสินะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะฝีมือเขาเพิ่มด้วยแหล่ะ เอาล่ะตอนนี้คงถึงตาพวกเราแล้ว” หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

ในตอนนี้ อาหารชุดกลางและอาหารชุดยอดได้ถูกนำมาเสริฟให้กับคนที่สั่งเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าผู้อาวุโสหวู่เองก็ได้แล้วเช่นเดียวกัน
ทันที่ที่ถาดอาหารของผู้อาวุโสหวู่ได้ถูกเปิดออก กลิ่นอันหอมหวลอย่างที่สุดก็ได้ฟุ้งกระจายไปจนทั่วอากาศภายในห้อง