GGS:บทที่ 999 ความอร่อยสุดแสนจะลึกล้ำ
อาหารของหวังจ้าวและหวังซือหยาที่ได้สั่งชุดอาหารจานกลางและจานสุดยอดไปนั้นได้มาเสริฟต่อหน้าทั้งสองแล้ว
เมื่อถาดอาหารได้เปิดออกก็ปรากฎเนื้อหนูนากระทะร้อนและเนื้อซาลามันเดอร์แดงนึ่งอย่างละหนึ่งจาน
อาหารจานหลักก็เป็นข้าวสีน้ำเงินระดับทั่วไปและระดับสุดยอดโดยจานหนึ่งเป็นการหุงธรรมดาอีกจานหนึ่งทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ส่วนเครื่องดื่มนั้นทั้งสองเลือกสั่งเป็นน้ำหญ้าหวานและชาโสมอย่างละแก้ว
นอกจากนั้นยังมีชาน้ำผึ้งและไวน์จิ้งจอกแดงอย่างละแก้วด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าด้วยการที่ทั้งสองนั้นสนิทสนมกับซูจิ้ง เขาจึงแถมให้เป็นพิเศษ
“หอมโคตรรรรร” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเปี่ยมสุข
“เอาจริงๆนะ ถ้าเป็นตอนปกตินี่ไม่มีทางเลยที่ฉันจะกล้ากินเนื้อหนูนาและซาลามันเดอร์แดงแบบนี้ แค่คิดสภาพก่อนที่จะมาเป็นอาหารก็กินไม่ลงแล้ว ไม่นึกเลยว่ากลิ่นมันจะดีขนาดนี้” หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างในขณะที่พยายามดื่มด่ำกับกลิ่นอันหอมหวลของทั้งสองจาน
และในทันทีที่หวังซือหยาและหวังจ้าวได้คีบเนื้อที่ตัวเองสั่ง เพียงแค่เข้าปากไปแล้ว ทั้งสองสะดุ้งเฮื้อก คิ้วของทั้งสองยกสูงขึ้นพร้อมด้วงตาที่เบิกกว้าง
ดวงตาของทั้งสองแสดงท่าทางสับสน นั่นก็เพราะว่าความอร่อยทีกระจายออกไปในทันทีทั่วไปปลายลิ้นที่สัมผัสนี้พวกเขาไม่เคยได้กินมาก่อน
นี่จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งสองจะไม่สนใจจะรักษามารยาทอะไรแม้แต่น้อยและตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป
หวังซือหยาได้ลองคีบเนื้อซาลามันเดอร์แดงดู ส่วนหวังจ้าวได้ลองกินเนื้อของหนูนาดู ทั้งคู่เองต่างก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีสับสนเช่นเดิมออกมา แต่ตอนนี้ทั้งสองรู้แล้วว่าเนื้อของซาลามันเดอร์แดงนั้นอร่อยล้ำกว่า
หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ลองกินข้าวสีน้ำเงินระดับธรรมดาและระดับชั้นยอดดู ทั้งสองต่างก็ตกใจอีกครั้ง เพียงแค่ระดับธรรมดาก็เพียงพอจะทำให้ทั้งสองตกใจในความอร่อยแล้ว
แต่เมื่อทั้งสองได้กินข้าวสีน้ำเงินระดับสุดยอด พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนในร่างในทันที ความต่างกันของพวกมันเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นเรื่องของสารอาหาร
แต่หากพูดถึงความอร่อยแล้ว เหนือล้ำกว่าข้าวทั่วไปทั้งสองอย่าง ต่อให้ไม่มีกับข้าวก็สามารถกินได้อย่างสบายๆ
เช่นเดียวกัน หลังจากที่ทั้งสองได้ดื่มน้ำหญ้าหวานและชาโสมก็ต้องสะดุ้งเฮือกในความอร่อย หญ้าหวานนั้นเพียงแค่สัมผัสปลายลิ้นเพียงจิบเดียว ความอร่อยก็กระจายทั่วปากในทันที
สำหรับชาโสมนั้นเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย นั่นก็เพราะเมื่อดื่มแล้วถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชาอุ่นๆ แต่กลับส่งผลให้ร่างกายนั้นเลือดไหลเวียนสูบฉีดจนร้อนได้ทั่วทั้งร่าง
“เลิศล้ำในใต้หล้า” อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสหวู่ที่ในตอนนี้พยายามสงบสติยับยั้งชั่งใจตัวเองอยู่อย่างสุดกำลังในขณะที่พยายามเคี้ยวลิ้มรสเนื้อซาลามันเดอร์แดงอย่างช้าๆที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพียงแต่ได้ลิ้มรสชาตินี้เพียงคำเดียวนั้นเข้าไปทำให้เขานั้นอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน
เขานั้นเลือกเครื่องดิ่มเป็นไวน์จิ้งจอกแดงแทนที่จะเป็นชาโสม เหตุผลก็เพราะว่าไวน์ขวดนี้ไม่ใช่ไวน์จิ้งจอกแดงที่มีขายตามท้องตลาด แต่เป็นไวน์จิ้งจอกแดงระดับสุดยอดที่ซูจิ้งไม่วางขาย
ในตอนนี้คนอื่นๆที่กินอาหารชุดธรรมดาจนเกือบหมดแล้ว ทันทีที่ได้รับรู้กลิ่นอันหอมหวลชวนยั่วน้ำลายของอาหารจานกลางและอาหารจานสุดยอดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายขึ้นมา
“…ชุดอาหารจานกลางและจานสุดยอดนี่ดูน่ากินดีเนาะ”
“เห็นด้วย น้ำลายไหลแล้ว”
“หรือว่าเราจะสั่งสักจาน”
“แต่มันแพงนะ”
“คุณลุงขา เราจะไม่สั่งชุดอาหารจานสุดยอดสักหน่อยเหรอคะ…..” ถังเสี่ยวหยูในตอนนี้กอดแขนออดอ้อนถังฮ่าวอย่างสุดกำลัง
“คุณลุงขา……ถ้าจานสุดยอดแพงไปล่ะก็ ทำไมเราไม่ลองจานกลางสักหน่อยล่ะคะ….. หากว่าคุณลุงสนใจล่ะก็หนูยอมที่จะหารเลยเอ้า” ถังยี่เองก็อดไม่ได้ที่จะออดอ้อนเช่นเดียวกัน
เธอนั้นถึงแม้จะมีความอดกลั้นมากกว่าถังเสี่ยวหยู่ก็จริง ต่างก็ยังไม่แกร่งพอที่จะละความอยากกินอีกสักจาน เธอนั้นยินดีที่จะกรีดเลือดของตัวเองเพื่อการนี้เลยจริงๆ
“ลุงตั้งใจจะพามาเลี้ยงเองนี่นาจะให้หลานออกได้ยังไง แต่ได้อีกแค่ชุดกลางคนละชุดนะ หากมากกว่านี้ลุงกินไม่ไหวแล้ว” ถังฮ่าวเองก็ได้ยอมแพ้และได้พูดออกมาอย่างจนใจ
คนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนรวยอย่างน้อยๆก็อยู่ในระดับสูงของเมืองนี้ ด้วยเงินครึ่งล้านแบบนี้ไม่ได้มากมายอะไรกับพวกเขาเลย พวกเขาจึงได้ตัดสินใจสั่งอีกคนละชุดบ้างก็สั่งชุดกลาง บ้างสั่งชุดสุดยอด
“พระเจ้า นี่เนื้อหนูนาจริงๆเหรอ ทำไมมันอร่อยขนาดนี้ได้”
“เนื้อซาลามันเดอร์แดงนี่สุดยอดไปเลย ฉันไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”
“นี่คือน้ำที่ทำจากหญ้าหวานจริงๆเหรอ มันอร่อยกว่าที่ฉันเคยกินมากเลยนะ”
“ชาน้ำผึ้งนี่หวานซาบซ่านไปถึงกระดูกเลย”
“ไวน์จิ้งจอกแดงนี่สุดยอดมาก ฉันยอมตายเพื่อมันได้เลย”
“ชาโสมนี้รสชาติสุดลึกล้ำจริงๆ เพียงแค่จิบก็รู้สึกสดชื่นเลยทีเดียว”
ในเหล่าผู้คนเหล่านี้นั้นมีเพียงเฉียนชูเฟิงและจ้าวจือเท่านั้นที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสั่งในตอนแรก แต่เพียงแค่หวังจ้าวและหวังซือหยาได้คีบเนื้อทั้งสองอย่างนี้ให้ทั้งสองได้ลิ้มรสคนละชิ้นเล็กๆเท่านั้น
แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว แค่ทั้งสองได้ลิ้มรสก็รีบสั่งชุดจานกลางในทันที สำหรับโต๊ะของเหล่าชายหนุ่มนั้น พวกเขาไม่เพียงแค่สั่งชุดกลางมาเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาได้สั่งชุดสุดยอดมาเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังสาราญอยู่กับความอร่อยของอาหารซูจิ้งนั้น ในตอนนี้แขกพิเศษเองก็ได้ทยอยเข้าพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง
พวกเขานั้นคือคนรวยที่ต่างก็อยากลองกินอาหารฝีมือซูจิ้งดูสักครั้ง บางคนเองที่มานี่ก็เพียงเพราะมาในนามบริษัทคู่ค้าของกลุ่มทุนห้วงเวลา
เหล่าคนที่มาทีหลังนี้แรกเห็นนั้นพวกเขาต่างก็มึนงงกับท่าทางอันบ้าคลั่งของคนที่อยู่มาก่อนหน้าพวกเขาจนนิ่งอึ้งไป แต่ทันทีที่พวกเขาได้ลองกินชุดอาหารธรรมดาไปแล้วก็บ้าคลั่งไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขานั้นได้กินจนอิ่มหนำและเรียกให้บริกรมาเพื่อจ่ายเงินเท่านั้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะปวดใจจริงๆ และนี่ทำให้พวกเขาต่างก็ล้มเลิกความคิดที่ว่าจะซื้อกลับไปฝากในทันที
“คุณลุงขา…หนูยังไม่อิ่มเลยอ่า….” ถังเสี่ยวหยูในตอนนี้เม้มปากเลียในขณะที่กินชุดอาหารจานกลางเรียบร้อยไปแล้ว
“มันแพงเกินที่เราจะจ่ายแล้วนะ” ถังยี่พูดออกมาด้วยท่าทีที่ยังไม่พอแต่ก็ต้องตัดใจ
“เสี่ยวหยู วันนี้ลุงเตรียมเงินมาไม่พอแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าลุงไม่อยากนะแต่กลัวว่าจะไม่พอจ่าย คราวหน้าถ้าซูหยาที่เป็นสุดยอดเพื่อนรักของหนูกลับบ้านล่ะก็
ลุงอนุญาตให้หลานไปเที่ยวบ้านของเพื่อนหลานแล้วไปแอบจกข้าวกลับมาด้วยนะ หากหลานทำได้ล่ะก็ลุงจะให้รางวัล” ถังฮ่าวได้กระซิบข้างหูหลานสาวของเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้ค่ะ” ถังเสี่ยวหยูที่ได้ยินคำว่ารางวัล เธอก็ได้รีบตอบรับในทันที แต่พอตั้งสติได้เธอก็ได้มองหน้าถังฮ่าวด้วยท่าทางแปลกๆก่อนจะพูดออกมาว่า “เดี๋ยวนะคะ นี่คุณลุงจะบอกว่า ลุงยอมให้หนูไปค้างบ้านเพื่อนรักเพียงเพื่อที่จะให้หนูไปฉกข้าวจากบ้านของเธอเนี่ยนะ”
“แค้กๆ หลานรัก หลานพูดดังไปแล้วนา…” ถังฮ่าวอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนออกมา
หลังจากถังฮ่าวได้จ่ายเงินแล้ว เขาก็ได้พาถังเสี่ยวหยูและถังยี่เดินลงบันไดไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เตรียมตัวจะจากไปหลังจากที่พึ่งจะกินเสร็จเพียงไม่นาน
ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่อยากจะดื่มด่ำบรรยากาศให้คุ้มค่าเงินที่เสีย แต่เป็นเพราะพวกเขาจะอดใจไม่ไหวจนต้องสั่งจานอื่นมากินต่อ
แน่นอนว่าความคิดนี้เกิดขึ้นกับทุกคนที่ได้กิน ต่อให้ทุกคนอยากจะกินต่อขนาดไหนแต่ก็ไม่สามารถที่จะรับราคานี่ไหวได้อยู่ดี
“ดูสิ พวกเขาลงมาแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นจะกินเร็วกันไปหน่อยเหรอ”
“ฮ่าฮ่า ฉันว่าฉันรู้ว่าพวกเขานั้นคิดอะไรนะ พวกเขาต้องคิดว่าไม่คุ้มค่าเงินแน่ๆ”
“ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าพวกเขาจะมีท่าทางแบบนั้นกันเลยล่ะ จะเป็นตามที่นายบอกจริงๆเหรอ” ลูกค้าทั่วไปที่อยู่ชั้นหนึ่งและชั้นสองอดไม่ได้ที่จะคุยกันเมื่อได้เห็นจ้าวจือ เฉียนชูเฟิง จ้าวเทียนรุย และผู้อาวุโสจี้ที่เดินลงมา
ตอนแรกพวกเขาก็นึกว่าทั้งหมดนั้นล้วนแล้วต่างก็รู้สึกผิดหวังที่มาลองกิน แต่พอมองดูไปแล้วก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
เมื่อเห็นดังนั้นก็มีบางคนอดไม่ได้ที่จะไปแอบฟังทั้งสามคุยกัน
“มันอร่อยจริงๆนะ ฉันยังกินไม่พอใจเลย อยากกินมากกว่านี้อีกจริงๆ”
“ไม่ใช่ว่ฉันจะไม่อยากนะ แต่มันแพงมากจริงๆ”
“นั่นสิ โคตรแพงเลย ชุดจานธรรมดาหนึ่งแสน ชุดจานกลางห้าแสน ชุดสุดยอดหนึ่งล้าน หากอยู่ต่อจนเผลอสั่งนี่เงินเก็บฉันหมดแน่ๆ”
“ก็คงจะได้แต่บอกว่ามากินบ่อยๆไม่ได้ล่ะนะ แต่นานๆหนก็ยังพอจะไหวอยู่”
“ฉันจะหาเงินมาให้เยอะๆเลยจะได้กินได้ทุกวัน”
เพียงแค่ลูกค้าได้ยินคำพูดของเหล่าคนรวยเหล่านี้ก็ได้แต่มองกันด้วยท่าทีโง่งม พวกเขานั้นต่างก็พอจะรู้มาบ้างว่าราคาเริ่มต้นนั้นอยู่ที่หนึ่งแสนหยวน แต่เขาไม่คิดว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปถึงห้าแสนและหนึ่งล้านหยวน เพียงแค่ได้ยินไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่ามมันแพงเสียยิ่งกว่าแพง และแพงมากเพียงเท่านั้น
แต่ประเด็นคือต่อให้ทุกคนรู้ว่ามันแพงแต่พวกเขานั้นต่างก็มีเพียงท่าทีที่ว่าจะพยายามขวนขวายหาวิธีให้ได้กินบ่อยครั้งเท่าที่จะเป็นไปได้ บางคนถึงกับกลายเป็นแรงบันดาลใจในการหาเงินเพื่อที่จะกินได้ทุกวันด้วยซ้ำ
“…ห้าแสน…หนึ่งล้าน…อาหารเทพรึไงฟะนั่น”
“ประเด็นคือพวกนี้บอกว่าต้องขวนขวายกลับมากินนี่แหล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาแกล้งทำเหรอ”
“ดูไม่เหมือนนะ ถ้าพวกเขาแสดงกันจริงๆล่ะก็ฉันว่านักแสดงตกงานกันหมดแน่”
“………..ถ้างั้น…มันก็อร่อยจริงๆน่ะสิ”
“เราลูกค้าทั่วไปนั้นต่างก็สับสนเมื่อได้ยิน แต่กับนักข่าวที่ซ่อนตัวอยู่นี้ทำได้เพียงแสดงสายตาที่โง่งมออกมา พวกเขานั้นไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นที่พื้นที่พิเศษกันแน่
ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะเป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้ก็จริง แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันสุดขั้วยังไงก็พวกเขาก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”