บทที่ 474 แย่งผู้หญิงคนเดียวกัน

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 474 แย่งผู้หญิงคนเดียวกัน

การส่งสินค้าจะต้องใช้เวลานาน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสั่งซื้อล่วงหน้า

เธอวางแผนไว้ว่าฤดูร้อนปีหน้าจะไปดูว่าในต้าเหลียน(1)มีสินค้าจำพวกนี้ขายอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้าที่นั่นมีขายก็นับว่าอยู่ใกล้กับที่นี่มากกว่า และช่องทางในการจัดหาสินค้าก็จะได้มีมากกว่าหนึ่งช่องทางด้วย

แต่นั่นเป็นเรื่องของปีหน้า ตอนนี้พวกเขาต้องสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานผลิตอาหารทะเลใหญ่ที่อยู่ทางตอนใต้ไปก่อนเป็นการชั่วคราว

ยอดการสั่งซื้อครั้งนี้เท่ากับในครั้งก่อน เถ้าแก่ถึงกับเอ่ยปากชื่นชมทางโทรศัพท์ว่าเศรษฐกิจที่นี่ดีมาก สินค้าจึงถูกขายออกไปได้อย่างรวดเร็ว

หลินชิงเหอหัวเราะ “ฉันตั้งราคาต่ำด้วยแหละค่ะ เอากำไรไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ฉะนั้นเถ้าแก่จะต้องลดราคาลงมาให้ฉันอีกนะคะ ลูกค้าแบบฉันไม่ได้เป็นลูกค้าแบบธรรมดา ๆ ทั่วไปนะคะ”

“เรื่องนั่นไม่ต้องบอกเลยครับ ราคาที่ให้คุณไปเป็นราคาที่ต่ำที่สุดแล้ว ผมจะขึ้นราคาขายกับคนอื่น แต่สำหรับคุณยังให้ราคาเท่าเดิม แล้วผมก็หาคนไปส่งของให้คุณถึงที่ด้วย นี่เป็นสิทธิประโยชน์ทั้งหมดเลยนะครับ” เถ้าแก่โรงงานอาหารทะเลไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยได้ง่าย ๆ และได้ตอบกลับมาเช่นนี้

หลินชิงเหอยิ้มยิงฟัน เธอเองก็ไม่ได้คาดว่าอีกฝ่ายจะยอมลดราคาลงมาให้อยู่แล้ว แค่การคุยไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น

เมื่อตกลงเวลาในการส่งสินค้าได้แล้ว พวกเขาจึงวางสายลง

หลังจากสอนหนังสือเสร็จ หลินชิงเหอก็กลับบ้าน เธอได้เจอกับโจวซานนีที่ร้าน

พอเห็นหลินชิงเหอกลับมา โจวซานนีก็เรียกอย่างดีใจ “อาสะใภ้สี่”

“หนูไม่ค่อยจะได้มาที่นี่เลย อยู่กินกลางวันที่นี่ด้วยไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ช่วงเวลานี้ค่อนข้างว่าง หนูก็เลยมาขอยืมหนังสือพี่เอ้อร์นีไป 2 เล่มน่ะค่ะ ตอนอยู่ที่ร้านหนูจะให้อ้ายกั๋วช่วยสอนหนังสือให้ค่ะ” โจวซานนีบอกเขิน ๆ

หลานสาวของครอบครัวตระกูลโจวต่างก็ได้เรียนหนังสือ เช่น โจวต้านี โจวเอ้อร์นีและโจวอู่นี แต่หลานสาวเหล่านี้เป็นลูกสาวของบ้านสายหลักและบ้านสายสาม ส่วนบ้านสายรองไม่ได้เรียนหนังสือกันมากนัก

ไม่เพียงแต่ลูกสาวที่ไม่ได้เรียนมากนัก แม้กระทั่งโจวเซี่ยที่เป็นลูกชายก็ไม่ได้รับการศึกษาในระดับที่สูงเช่นกัน

เมื่อเทียบกับอีก 2 บ้านแล้ว เห็นได้ชัดว่าบ้านสายรองไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเลย

แต่กระนั้น โจวซานนีก็พอจะรู้หนังสือบ้างบางตัว

เรื่องนี้หล่อนได้เรียนรู้มาจากโจวต้านีและโจวเอ้อร์นีในตอนที่ยังเป็นเด็ก ในเวลานั้น พวกเขาได้ไปโรงเรียนกัน โจวซานนีก็อยากจะไปโรงเรียนด้วย แต่แม่ของหล่อนจะเห็นด้วยได้อย่างไร?

หล่อนสนิทกับต้านีและเอ้อร์นี พวกหล่อนจึงสอนหนังสือให้หล่อนหลังจากที่กลับมาจากโรงเรียนกันแล้ว ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงพอจะรู้ตัวหนังสือเป็นบางตัว แต่ก็ไม่มากนัก

หลังจากมาอยู่ที่นี่แล้ว โจวซานนีรู้สึกได้ว่าความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าหล่อนจะไม่สามารถขอไปโรงเรียนภาคค่ำหรืออะไรก็ตามเหมือนเช่นเอ้อร์นีและคนอื่น ๆ ได้ แต่หล่อนก็ยังอยากจะจดจำตัวหนังสือให้ได้มากขึ้น

หลี่อ้ายกั๋วได้เรียนหนังสือมาบ้าง 2-3 ปี และรู้ตัวอักษรมากกว่าหล่อน ดังนั้นเขาจึงสามารถสอนหล่อนให้รู้ตัวหนังสือมากขึ้นได้

หลินชิงเหอรู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด จึงกล่าวว่า “ถ้าหนูอยากจะเรียน รอจนกระทั่งหนูเรียนรู้ตัวหนังสือได้มากขึ้นและเรียนเลขให้มากกว่านี้ได้แล้ว พอถึงตอนนั้นหนูก็ไปเรียนโรงเรียนภาคค่ำพร้อมกับซื่อนีได้เลยจ้ะ”

“โรงเรียนภาคค่ำหรือคะ?” โจวซานนีรู้สึกประหลาดใจแล้วก็รีบสั่นหน้าทันที “ไม่ค่ะ หนูแค่ต้องการจะเรียนรู้ตัวหนังสือเท่านั้นล่ะค่ะ ไปโรงเรียนภาคค่ำจะต้องใช้เงินเยอะเลย”

“ที่อาสะใภ้สี่ให้ครอบครัวตระกูลโจวของเรามาที่นี่ก็เพื่อจะได้มาทำงานและมีโอกาสได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนภาคค่ำ อาจะเป็นคนจ่ายค่าเรียนให้เอง แต่แน่นอนว่าถ้าหนูไม่อยากจะไปเรียน อาก็จะไม่บังคับหรอกนะจ๊ะ ในระหว่างนี้ซื่อนีเองก็ท่องจำตัวหนังสือพร้อมทั้งเรียนรู้เลขไปด้วย เมื่อเรียนรู้ไปถึงในระดับหนึ่งแล้ว อาจะส่งหล่อนไปเรียนที่นั่น ถ้าหนูต้องการจะเรียน หนูก็เข้าไปเรียนพร้อมกันได้เลย ไม่ว่าจะมีหนูร่วมอยู่ด้วยหรือไม่มี ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนักหรอกจ้ะ” หลินชิงเหอกล่าว

หากโจวซานนีเต็มใจที่จะไปเรียนภาคค่ำ หล่อนจะไม่คัดค้านอะไร

แต่สำหรับหลี่อ้ายกั๋ว เขาจะต้องคอยอยู่เฝ้าที่ร้าน ปีนี้จะเกิดเหตุการณ์การปราบปรามอย่างรุนแรงขึ้น แม้ว่าในตอนนี้การบังคับใช้กฎหมายจะไม่แย่นัก แต่ก็ไม่ได้ดีมากเช่นกัน ร้านค้าไม่ได้มูลค่าถูก ๆ ฉะนั้นจะต้องมีคนคอยเฝ้าระวังเอาไว้

โจวซานนีสังเกตเห็นว่าคุณอาสะใภ้สี่กล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งทำให้หล่อนรู้สึกดีใจมาก โรงเรียนภาคค่ำอยู่ไม่ไกลจากที่พักของหล่อนมากนัก ใช้เวลาเดินไปเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น!

โจวซานนีได้อยู่กินอาหารกลางวันด้วยและกลับไปหลังจากที่กินเสร็จ

โจวเอ้อร์นีเอ่ยขึ้นว่า “อาสะใภ้สี่คะ ครั้งก่อนที่หนูไปเยี่ยมคุณย่า คุณย่าถามว่าทำไมซานนีถึงยังไม่ท้องสักที?”

หลินชิงเหอเอ่ยกลับไปว่า “ครั้งหน้าถ้าคุณย่าถามขึ้นมาอีก หนูก็ตอบคุณย่าไปว่าพวกเขาทั้ง 2 คนยังไม่อยากจะมีลูกเร็วกันเกินไป พวกเขายังอายุน้อยอยู่ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลไป”

ผู้อาวุโสชอบจับคนหนุ่มสาวมาคุยในเรื่องพวกนี้กันไม่รู้จักจบสิ้น ดูเหมือนว่าถ้าใครยังไม่ตั้งครรภ์ภายในครึ่งปี ผู้คนจะมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถ้าเป็นปีแล้วก็ยังไม่ตั้งครรภ์สักที พวกเขาก็จะถือว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติและจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล

ซานนีกำลังกินยาเพื่อปรับสภาพร่างกายอยู่ ดังนั้นอย่าไปสร้างความกดดันให้หล่อนเลย หมอบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผู้หญิงที่ยังอายุน้อยอยู่ แค่พักผ่อนให้เพียงพอและไม่ทำให้ตนเองต้องเหนื่อยล้าเกินไปเท่านั้น จากนั้นร่างกายก็จะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติเอง

หู่จือหัดขับรถอยู่ครึ่งเดือน ในตอนที่กลับมา น้ำหนักของเขาได้ลดลงไป อย่างไรก็ตาม เขาดูเป็นคนที่มีความมั่นใจขึ้น

ต้องรู้ว่าในยุคนี้ การขับรถได้ถือว่าเป็นทักษะเฉพาะทางอย่างหนึ่ง

กังจือรู้สึกอิจฉามาก “น้าสะใภ้สี่ครับ เมื่อไหร่ผมจะได้ไปเรียนบ้าง?”

“เอาการบ้านวิชาที่เรียนของเธอมาให้น้าดูหน่อย” หลินชิงเหอพูด

กังจือทำหน้าราวกินยาขม สิ่งที่เขาหวั่นเกรงมากที่สุดก็คือการที่คุณน้าสะใภ้สี่ตรวจการบ้านของตน ซึ่งแต่ละครั้งหูของเขาก็แทบชา

เรื่องที่เขากลัวมากสุดคือการเรียน เขาตั้งใจเรียนอย่างหนัก แต่มาตรฐานของคุณน้าสะใภ้สี่นั้นค่อนข้างสูงไปสักหน่อย

“พี่ชายของเธอยังทำตามข้อกำหนดของน้าได้เลย ดังนั้นไม่ต้องมาแก้ตัว ตั้งใจเรียนให้มาก ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่สามารถเรียบจบได้เร็วและยังต้องเรียนรู้อีก” หลินชิงเหอพูด

โจวเอ้อร์นีและหู่จือต่างก็เรียนหนักและสามารถเข้าใจการเรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเรียนจบได้ก่อนกำหนด มิเช่นนั้น พวกเขาจะต้องเรียนต่อไปอีกปีครึ่ง

กังจือถอนหายใจออกมา

“นายถอนหายใจอะไร? พวกเรายังไม่ถอนหายใจเลยหลังจากเรียนมาตั้งหลายปี นายเพิ่งจะมาเรียนนานแค่ไหนเอง? ครั้งก่อนที่ไปที่บ้านคุณย่า ฉันได้เจอพี่เชิ่งเหม่ยด้วย ได้ยินหล่อนบอกกับคุณย่าว่า สวี่เชิ่งเฉียงทุ่มเทกับการเรียนมาก นายอย่าแพ้เขาล่ะ” โจวกุยหลายพูด

“ทุ่มเทอะไรกัน หลังเลิกเรียน ฉันไม่เห็นใครวิ่งออกจากห้องเรียนได้เร็วกว่าเขาเลย” กังจือตอบ

“เขาไม่ได้สร้างปัญหาอะไรใช่ไหม?” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างเฉยชา

ชิงไป๋ของหล่อนเป็นคนแนะนำเขาเข้าไปเรียน ดังนั้นเธอถึงได้ถาม

กังจือกล่าวว่า “ก็ไม่นะครับ”

ไม่แน่ใจว่าหลินชิงเหอมีวาจาสิทธิ์หรืออย่างไร แค่ไม่กี่วันหลังจากที่เธอถามถึง สวี่เชิ่งเฉียงก็ก่อเรื่องขึ้นมาจริง ๆ

เขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเด็กหนุ่มอีกคนที่โรงเรียนภาคค่ำ

“ชกต่อยงั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงไปมีเรื่องชกต่อยได้ล่ะ?” หลินชิงเหอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“แย่งผู้หญิงกันน่ะครับ ผมได้ยินว่าผู้ชาย 2 คนชกต่อยแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน ฝ่ายหญิงคบกับเขาอยู่ แต่หล่อนเปลี่ยนใจแล้วขอเลิกกับเขา ทำให้เขาไม่พอใจก็เลยตามหล่อนไปจนพบว่าหล่อนมาโรงเรียนภาคค่ำพร้อมกับผู้ชายอีกคน เขาก็เลยเข้าไปซ้อมผู้ชายคนนั้นเลยล่ะครับ” กังจือซึ่งสอบถามคนที่อยู่ทางนั้นมาแล้วได้เล่าให้ฟังแบบรวดเดียวจบ

“ผู้ชาย 2 คนชกต่อยแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน?” โจวกุยหลายปากกระตุก “ผู้หญิงคนนั้นคงจะต้องสวยมีเสน่ห์มากแน่เลย? หล่อนสวยมากกว่าเฝิงเฉิงเฉิงหรือเปล่า?”

เฝิงเฉิงเฉิงคือนางเอกในเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ในยุคปี 80 นักแสดงผู้ที่รับบทนี้ยังได้แสดงในเรื่องนางพญางูขาวอีกด้วย(2) ซึ่งโจวกุยหลายรู้สึกว่าหล่อนเป็นคนที่สวยมาก

………………………………………………………………………………………………

(1)- เมืองท่าใหญ่แห่งมณฑลเหลียวหนิงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ได้รับสมญานามว่าฮ่องกงแห่งจีนเหนือ

(2)- จ้าวหย่าจือ (Angie Chui) เป็นนักแสดงที่รับบทนางเอกในเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้และนางพญางูขาวในยุค 80

ภาพคู่จ้าวหย่าจือในบทเฝิงเฉิงเฉิง (ฟ่งฉิงฉิง ตามสำเนียงกวางตุ้ง) กับโจวเหวินฟะในบทสี่เหวินเฉียง จากเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ฉบับปี 80 (ภาพจาก http://www.china.org.cn/top10/2014-04/07/content_32005194_10.htm)