ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 613 คนเดียวก่อกวนใต้หล้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้เลยหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอฟังหลูเฟิงอธิบายสถานการณ์ของโลกผืนสมุทรอย่างออกรส

คนของสำนักคืนวิญญาณและเกาะงูเขียว ในใจต่างประชดประชัน ‘ถูกต้อง เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้…อย่างน้อยก็มีมากกว่าครึ่งที่เป็นเพราะท่าน’

คิดถึงเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้า ความทรงจำที่ค่อยๆ เบาบางลงไปตามกาลเวลา ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของทุกคนอีกครั้ง

ในอดีตตอนที่ยังอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ เขาใช้หนึ่งสู้สอง เอาชนะจางฮ่าวเฉิงแห่งวังผลึกวารีและลี่เซิ่งแห่งสำนักสังหารมังกร ซึ่งเป็นสองยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกผืนสมุทรได้ด้วยกระบวนท่าเดียว

ต่อมาเขาก็เลื่อนระดับขึ้น กลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

ชายหนุ่มสังหารผู้ปกครองเกาะจิตประสานฟางข่าน ฆ่าเหนียนเชิน ‘ราชามังกรเก้านิ้ว’ แห่งสำนักมังกรโลหิต ช่วงชิงอาวุธศักดิ์สิทธิ์นิ้วมังกรทั้งเก้า จบชีวิตเจ้าสำนักตาข่ายปีศาจเฝิงจิ่งเซิง ‘ปีศาจฟ้า’ ฆ่าปราชญ์ปีศาจลิ่นเชียนเฉิง สังหารเจ้าสำนักอัสนีเรืองรองเกิ่งฮุย ‘ราชันสายฟ้าสีชาด’ และเล่นงานเจ้าสำนักสังหารมังกรจ้าวจ้ง ‘ฟันเจ็ดทะเล’ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ยอดฝีมือระดับสูงสุดบนโลกผืนสมุทรถูกคนหนุ่มตรงหน้านี้ฆ่าไปเกือบครึ่ง ทำให้สถานการณ์ที่คงสภาพมาร้อยปีของโลกผืนสมุทรเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเพราะเขา

หลังจากค้นหาสุสานมังกร เยี่ยนจ้าวเกอก็หายตัวไปจากโลกผืนสมุทร

เขาหงส์วิเศษประกาศกับโลกภายนอกว่า เยี่ยนจ้าวเกอเร้นกายอีกครั้ง

หลังจากเวลาผ่านไป ก็มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าเขาหงส์วิเศษจงใจลากธงใหญ่ต่างหนังพยัคฆ์[1] ความจริงมีความเป็นไปได้มากว่าเยี่ยนจ้าวเกอเสียชีวิตในสุสานมังกรไปแล้ว

แต่ว่าวันนี้ ดาวดับแสงดวงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลันทำให้ทุกคนนึกถึงเรื่องราวในอดีต

แม้จะเป็นจอมยุทธ์สำนักคืนวิญญาณที่คิดว่าเยี่ยนจ้าวเกอเป็นฝ่ายเดียวกัน ในใจยังเกิดความหวาดระแวง ส่วนคนของเกาะงูเขียวต่างรู้สึกหวาดหวั่นสั่นกลัว

เยี่ยนจ้าวเกอมองพวกกวนจิ้งเฉียงที่ทำตัวระมัดระวัง ความคิดในจิตใจเปลี่ยนไปมาเล็กน้อย ทว่าไม่แสดงสีหน้าใด

เขาพยักหน้าให้หลูเฟิง “ขอบคุณเจ้าสำนักหลูที่บอกเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟัง ตอนนี้ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเขาหงส์วิเศษ ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”

น้ำเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง คนของสำนักคืนวิญญาณกลับตาค้าง

พวกเขานิ่งอึ้งอยู่กับที่ ขณะเห็นเยี่ยนจ้าวเหอหมุนกายจะผละไป หลูเฟิงพลันสะดุ้งโหยง “…ท่านเยี่ยน”

เยี่ยนจ้าวเกอหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เจ้าสำนักหลูมีเรื่องใด?”

หลูเฟิงอ้าปากตาค้าง เกือบจะสำลัก

หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์สำนักคืนวิญญาณถึงระดับหนึ่งแล้ว หลังที่ค่อมของเขาจะมีกระดองเต่างอกขึ้นมา

เขาไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตัวเขาแก่ชรา กลับให้ความรู้สึกนิ่งสงบมั่นคงเหมือนเต่าวิญญาณที่สะกดทะเลลึก แรงภายนอกไม่อาจสั่นไหวได้เสียมากกว่า

เพียงแต่เมื่อเผชิญกับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ หลูเฟิงอดรู้สึกขลาดเขลาไม่ได้จริงๆ

เขายิ้มอย่างขื่นขม มองพวกกวนจิ้งเฉียงที่มีสีหน้างงงันเช่นกันอยู่ตรงกันข้าม “ท่านเยี่ยน ท่านว่า…”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเหมือนไม่มีเรื่องใด “อ้อ พวกท่านต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า เมื่อครู่เป็นข้าโผล่ขึ้นกลางสนามรบของทั้งสองฝ่ายกะทันหัน ข้าไม่สืบสาวเอาความ”

คำพูดของเขาทำให้หลูเฟิงพูดไม่ออก

เขาขบคิดอย่างละเอียด นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่ในโลกผืนสมุทร แม้จะเป็นแขกของเขาหงส์วิเศษ กอปรกับศิษย์ร่วมสำนักของเขาจนถึงปัจจุบันนี้ยังอยู่ที่เขาหงส์วิเศษ แต่ไม่อาจกำหนดได้ว่าชายหนุ่มเป็นฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายมารได้

ผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายมารอย่างลิ่นเชียนเฉิง เกิ่งฮุย และเฝิงจิ่งเซิงตายด้วยน้ำมือของเขาอย่างแน่นอน แต่ยามสังหารเหนียนเชิน ฟางข่าน ก่วนหลี เฉินซื่อเฉิงที่อยู่ในฝ่ายธรรมะเขาก็ไม่ออมมือเช่นกัน

นิ้วมังกรทั้งเก้าของสำนักมังกรโลหิต จนถึงบัดนี้ยังคงอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ

หลักการของคนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็น ใครตอแยเขา เขาก็จะสู้กับคนผู้นั้น ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายไหน

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อครู่ลูกศิษย์ในสำนักของตนล่วงเกินเขา ทว่าเขาไม่เอาความ เช่นนั้นตนสมควรรู้สึกโชคดีแล้ว

บนใบหน้าของหลูเฟิงปรากฏรอยยิ้มหนักใจ คิดว่าจะขอให้เยี่ยนจ้าวเกอช่วยพวกเขารับมือเกาะงูเขียว เป็นตัวเขาคิดมากไปเองโดยแท้

คนของเกาะงูเขียวยามนี้รู้สึกตัวขึ้นมา ในใจรู้สึกโชคดีเหลือประมาณ

กวนจิ้งเฉียงผ่อนคลายใบหน้าที่เคร่งเครียด สูดหายใจลึกคำหนึ่ง ประสานมือให้เยี่ยนจ้าวเกอ “เป็นศิษย์หลานของข้าล่วงเกินท่านเยี่ยน ข้าขอแสดงการขอโทษจากใจจริง”

บุรุษวัยกลางคนด้านข้างนางที่เมื่อครู่ลงมือ ปราดเปรียวเช่นกัน รีบร้อนแสดงความขอโทษต่อเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง

คนของเกาะงูเขียวมองเยี่ยนจ้าวเกอกับจอมยุทธ์สำนักคืนวิญญาณ ค่อยๆ ถอยหลัง หนีเข้าไปในทะเลลางเรือน

คนของสำนักคืนวิญญาณได้แต่มองตาปริบๆ สถานกาณณ์เมื่อครู่ไม่ส่งผลดีต่อพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของเยี่ยนจ้าวเกอ คนที่จะเสียท่าก็คือพวกเขาเอง ในตอนนี้ย่อมไม่กล้าไล่ตาม

คนของเกาะงูเขียวถูกขัดขวาง ถึงแม้จะรู้สึกคับข้อง แต่ส่วนใหญ่เป็นความรู้สึกโชคดีและโล่งอกมากกว่า

พวกเฟิงอวิ๋นเซิง ฟู่เอินซู ซือคงจิง อิงหลงถูมองเหตุกาณณ์นี้ มีบางคนมีสีหน้าไม่เข้าใจ บางคนคล้ายกับคิดอะไรอยู่

คนของสำนักคืนวิญญาณกระอักกระอ่วน มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างระมัดระวัง พูดอะไรไม่ออก

หลูเฟิงได้สติ ไม่พูดถึงเกาะงูเขียวอีก แต่เรียกคนในสำนักที่เมื่อครู่ลงมือออกมา ขอโทษเยี่ยนจ้าวเกอออีกครั้ง

“จากทะเลลางเรือนไปยังทะเลไร้ขอบเขตของเขาหงส์วิเศษ จะต้องผ่านทะเลเต่าทะยานของสำนักคืนวิญญาณพอดี” หลูเฟิงพูดพลางยิ้มกว้าง

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเรียบๆ “ย่อมได้”

หลูเฟิงยินดีเหลือประมาณ ขอให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอร่วมทาง

ขณะเดินทาง เยี่ยนจ้าวเกอถามเหมือนไม่มีเรื่องราวใด “ข้าเห็นสำนักท่านกับเกาะงูเขียว ถึงแม้วรยุทธ์ของสองสำนักจะเป็นหนึ่งเคลื่อนไหวหนึ่งสงบ หนึ่งหยินหนึ่งหยาง หนึ่งแข็งหนึ่งอ่อน แต่ความจริงแล้วจุดที่เชื่อมโยงกัน กลับเหมือนมาจากแหล่งเดียวกัน”

“ถ้ามองไม่ผิด ต่างมาจากสายวรยุทธ์แท้ ไม่ทราบว่าใช่หรือไม่?”

หลูเฟิงพยักนหน้า “ไม่ผิด บรรพบุรุษที่ก่อตั้งสำนักของสำนักเรากับบรรพบุรุษของพวกปีศาจงูเขียว ในอดีตได้แบ่งสันปันส่วน คนทั้งสองขุดค้นมรดกก่อนมหาภัยพิบัติ หลังจากต่อสู้กันครั้งหนึ่ง ก็ได้ไปคนละครึ่ง”

“สำนักเราได้สภาวะเต่าของวรยุทธ์แม้ ส่วนเกาะงูเขียวได้สภาวะงูของวรยุทธ์แท้”

เรื่องนี้ในโลกผืนสมุทรไม่ถือเป็นความลับ หลูเฟิงอธิบายต่อว่า “สำนักเราสืบทอดวรยุทธ์แท้ รักษาความเป็นกลาง ยึดถือความถูกต้อง หลีกเลี่ยงความชั่วร้าย ทำลายเหล่ามาร จึงทนไม่ได้ที่วรยุทธ์แท้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายมาร ให้พวกเขาใช้ก่อกรรมทำเข็ญ”

“หลายปีมานี้ วิชาอีกส่วนหนึ่งถูกเกาะงูเขียวเปลี่ยนแปลงไปจนเละเทะ ทุกครั้งที่นึกถึง บรรพบุรุษในอดีตต่างเจ็บปวดใจ ข้าเองก็ไม่มีข้อยกเว้น”

“พวกเราอยากจะชำระล้างต้นตอ และทดแทนบุณคุณเหล่าบรรพบุรุษก่อนมหาภัยพิบัติ ที่ถ่ายทอดกระบวนท่ามาโดยตลอด”

หลายปีมานี้ ทั้งสองฝ่ายสู้กันหลายครั้ง มีบางครั้งที่จับลูกศิษย์อายุน้อยของอีกฝ่ายมาเป็นเชลยได้ แต่ว่ากระบวนท่าอันเป็นแกนหลักและสุดยอดที่สุดไม่เคยสอดคล้องกัน

หลูเฟิงติดอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมมาหลายปี ในใจครุ่นคิดมาตลอดเวลา ถึงแม้วิชาของสำนักตนกับเกาะงูเขียวเมื่อรวมกันแล้วเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของวิชาสายวรยุทธ์แท้ แต่ถ้าหากรวมวิชาของสองสำนักให้กลายเป็นหนึ่งได้ เกรงว่าตนจะเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ทันที

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินคำพูดของหลูเฟิง เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แต่ยื่นมือออกมาตั้งท่าหมัด

ท่าหมัดที่ว่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอเพียงปล่อยและหุบ

แต่ว่าในสายตาของหลูเฟิง มันกลับสั่นสะเทือนสมองของเขาจนวิงเวียน ศีรษะเกือบปักลงไปในทะเล

“ทะ…ท่านเยี่ยน?!” ชายชราพูดไม่เป็นคำ ตาจับจ้องสองมือของเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไพล่สองมือไว้ด้านหลังตามเดิน เดินไปด้านหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

………………………………………

[1] ลากธงใหญ่ต่างหนังพยัคฆ์ หมายถึง หลอกลวงผู้คน