เฉินกั๋วเหลียงรีบพยุงเฉินโม่ลุกขึ้น และกล่าวด้วยรอยยิ้มปลื้มใจว่า “เจ้าเด็กเอ๊ย พูดแบบนั้นได้อย่างไร? มันไม่ใช่ความผิดของหลาน เป็นเพราะหนานกงหยู่สติฟั่นเฟือน ละเมิดข้อตกลงระหว่างโลกฝึกบู๊กับโลกมนุษย์!”
เฉินโม่ยืนขึ้น มองเฉินกั๋วเหลียง และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณปู่วางใจเถอะ ผมขอรับรองกับคุณปูว่า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกอย่างแน่นอน!”
หลังจากเหตุการณ์นี้ เฉินโม่ตระหนักว่าข้อตกลงและกฎเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล เมื่อเจอคนที่ไม่คำนึงถึงอะไรอย่างหนานกงหยู่แล้ว คำพูดปากเปล่าเหล่านั้นมันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
หากต้องการปกป้องความปลอดภัยของคนในครอบครัว ต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งเท่านั้น
เฉินกั๋วเหลียงพยักหน้า “ปู่เชื่อในตัวหลาน แต่หลานไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ และผู้บังคับบัญชาเหล่านี้ก็บอกปู่แล้ว”
เฉินโม่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร คิดว่าผู้บังคับบัญชาคงช่วยพูดแทนเขาไม่น้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็รับใช้ประเทศชาติในสงครามห้าประเทศ แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องครอบครัวของเขาได้ เขาคิดว่าเรื่องนี้ต้องทำให้ผู้บังคับบัญชารู้สึกผิดอย่างแน่นอน
เฉินเข่อเอ๋อร์จับแขนของเฉินโม่ด้วยความอบอุ่น “พี่เฉินโม่ ฉันคิดแล้วว่าพี่ต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน!”
เฉินโม่ลูบผมบนหน้าผากของเฉินเข่อเอ๋อร์ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณที่เข่อเอ๋อร์เชื่อมั่นในตัวพี่ พี่รู้สึกเป็นเกียรติมาก!”
เฉินจิงเย่มองเฉินโม่ และบ่นเล็กน้อย “เสี่ยวโม่ ถึงแม้ว่าคราวนี้จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง แต่ก็ไม่อันตราย หลังจากกลับไปแล้ว ลูกต้องอธิบายทุกอย่างให้พ่อฟังอย่างละเอียด พ่อไม่ยอมให้ทุกคนถูกลูกปิดหูปิดตาแบบนี้หรอก!”
ส่วนเฉินกั๋วเหลียงลำบากใจที่จะพูด แต่เฉินจิงเย่ในฐานะที่เป็นพ่อของเฉินโม่ เขาต้องให้คำอธิบายกับสมาชิกของตระกูลเฉินทุกคน
เฉินโม่กล่าวด้วยรอยยิ้มลำบากใจว่า “คุณพ่อ วางใจเถอะ หลังจากกลับไปแล้ว ผมจะให้คำอธิบายที่คุณพ่อพอใจ!”
“ค่อยยังชั่ว” เฉินจิงเย่พยักหน้า
ด้านหลัง เฉินตงหวาและคนอื่น ๆ รู้สึกอึดอัดอีกครั้ง
“เฮ้อ มันคงจะดีถ้าเมื่อสักครู่ตอนที่ถูกหนานกงหยู่กดดัน ผมอดทนต่อไปอีกหน่อย ตอนนี้จะได้ไม่ลำบากใจขนาดนี้!”
เฉินตงเยว่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย “ผมรู้สึกว่าตอนนี้พวกเราไม่แตกต่างจากคนกลับกลอก ผมไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลอย่างไร!”
สีหน้าของเฉินตงหวาหม่นหมอง และกล่าวว่า “ในสถานการณ์คับขัน การที่พวกเราเลือกที่จะรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ มันก็ไม่ผิดอะไร ขอเพียงแค่พวกเรามีเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มที่ เชื่อว่าผู้นำตระกูลและคนอื่น ๆ จะไม่สามารถพูดอะไรได้!”
“นี่…มีเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มที่อย่างไร? ผมทำไม่ได้จริง ๆ!” เฉินตงเยว่ถอนหายใจ
เฉินฉงซานกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ทำได้เพียงกัดฟันยอมรับความผิดต่อผู้นำตระกูลเท่านั้น!”
จากนั้นมองเฉินตงหวาด้วยสายตาเหยียดหยาม และกล่าวเยาะเย้ยว่า “ถ้าคุณคิดว่าตนเองมีเหตุผลพอเพียง ที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มที่ต่อหน้านำตระกูล คุณก็สามารถไม่ยอมรับความผิดได้ แต่ผมจะไปยอมรับความผิดก่อน!”
สีหน้าของเฉินตงหวาแย่มาก เขามองเฉินฉงซาน แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เมื่อคนมากมายเห็นเฉินฉงซานเดินไป แล้วพวกเขาก็เดินไปหาเฉินกั๋วเหลียงพร้อมกับเฉินฉงซานทันที
“หลานเฉินโม่ ขอแสดงความยินดีที่หลานสามารถเอาชนะหนานกงหยู่ได้ ทำให้ตระกูลเฉินพ้นวิกฤต!” เฉินฉงซานประสานมือทั้งสองข้างไปทางเฉินโม่ด้วยความหน้าด้าน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉินโม่ไม่แม้แต่จะมองเขาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมันอยู่ในความคาดหมายของเฉินฉงซาน
เขาหันไปคำนับเฉินกั๋วเหลียง และกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ขอแสดงความยินดีกับตระกูลเฉินของพวกเราที่ แปลงเหตุร้ายให้กลายเป็นดี เมื่อสักครู่ผมคิดว่าพวกเราจะไม่สามารถกลับตระกูลเฉินได้แล้วเสียอีก!”
ขณะที่เขากำลังพูด เฉินฉงซานก็บีบน้ำตา เพื่อทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าสงสารเช่นกัน
เหล่าสมาชิกของตระกูลเฉินที่อยู่หลังเฉินฉงซาน ที่เมื่อสักครู่คุกเข่าให้หนานกงหยู่ ก็ร้องได้เช่นกัน “ผู้นำตระกูล เมื่อสักครู่พวกเราไม่มีทางเลือก ขอให้ผู้นำตระกูลยกโทษให้พวกเราด้วย!”