เผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลเหลยผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าผู้นี้ ต่อให้กู้ไป๋อีคิดจะหลบก็ไร้ความสามารถที่จะทำได้

ดวงตาของผู้นำตระกูลเหลยเปล่งประกายขึ้น กระบี่เล่มหนึ่งได้ทาบตรงคอของกู้ไป๋อีแล้ว!

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าคิดว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิผู้หนึ่งซะอีก คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะเป็นแค่สวะไร้ประโยชน์ ไร้พลังขั้นมหาจักรพรรดิ อีกทั้งยังไร้พลังปราณ และพลังวิญญาณอีกด้วย” เขากล่าวด้วยความสุขใจ

เขามองไปที่เย่เฉินและกล่าวว่า “รีบแก้พิษให้ลูกชายข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้านี่ทิ้งซะ”

เย่เฉินก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาคิดมาโดยตลอดว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่กู้ผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังยากที่จะหยั่งรู้ได้ กลับคิดไม่ถึงว่า……

เขามองไปที่มู่เฉียนซี แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี “ผู้นำตระกูลเหลย นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นเหรอ?”

“สาวน้อย ข้ายอมรับนะว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่กว่าจะคว้าไพ่เด็ดเช่นนี้มาได้นั้นมันไม่ง่ายเลย หากไม่ข่มขู่เจ้า มันก็ดูสิ้นเปลืองไป เอาเช่นนี้ เจ้าฆ่าเจ้าเมืองเหยียน ข้าก็จะปล่อยตัวเขา เป็นเช่นไร?”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้าก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นแค่สวะไร้ประโยชน์ไร้พลังวิญญาณ นอกจากรูปร่างหน้าตาที่ดูดีของเขาแล้ว ความเย็นชาของเขานั้นข้าไม่ชอบมันเลยแม้แต่น้อย”

“เขาก็ติดตามข้ามาได้สักพักแล้วล่ะ ข้าใช้เขาจนเบื่อแล้ว เจ้าอยากจะฆ่าเขาก็เชิญได้เลยตามสบาย!”

ใช้จนเบื่อแล้ว! มุมปากของกู้ไป๋อีกระตุกขึ้น สาวน้อยผู้นี้……

ผู้นำตระกูลเหลยกล่าวด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า “เจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่ได้แล้วก็มาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จริง ๆ ช่างน่าเสียดายคุณชายผู้นี้แล้ว!”

สีหน้าของกู้ไป๋อีดำคล้ำด้วยความไม่พอใจ ได้แล้วทิ้ง!

เดิมทีผู้นำตระกูลเหลยคิดว่ามีไพ่เด็ดอยู่ในมือ นึกไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นไพ่ที่ไร้ประโยชน์ใบหนึ่ง!

“เจ้าหนู ในเมื่อสาวน้อยนั่นเลือกให้เจ้าตาย เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าไปตายซะ……”

ขวับ!

เขายังไม่ทันได้ลงมือแต่อย่างใด คอของเขาก็ถูกกรงเล็บอันแหลมคมเจาะเข้าไปแล้ว

ดวงตาของผู้นำตระกูลเหลยเบิกกว้างขึ้น เขาสนใจเพียงแค่ชายผู้นี้กับมู่เฉียนซีเท่านั้น ไม่ได้สนใจแมวน้อยตัวนี้ที่อยู่ในอ้อมแขนของชายผู้นี้เลย

ตุบ!

ร่างของผู้นำตระกูลเหลยล้มลงไปกับพื้น

“ท่านพ่อ!” สีหน้าของเหลยเทียนถอดสีลงด้วยความหวาดกลัว

อู๋ตี้กระโดดไปอยู่ในอ้อมแขนของมู่เฉียนซี มันขดตัวลงและกล่าวว่า “นายท่าน ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องอยู่ในอ้อมแขนของชายผู้นั้นแล้ว ข้าเย็นแทบตาย”

เย่เฉินอุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์!”

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าไก่เฒ่านั่นก็ถูกทำให้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว ผู้นำตระกูลเหลยก็ตายแล้ว เหลือก็แค่ตาเฒ่าผู้ไร้ประโยชน์ผู้นั้นที่กำลังจะโดนเจ้าเมืองเหยียนกำจัด พวกเจ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดอีกเหรอ?”

แน่นอนว่าพวกเขาเปลี่ยนความคิดแล้ว

ทางด้านของผู้เฒ่าเหลยกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองเหยียน ช้าก่อน บุตรสาวของท่านอยู่ในมือของคนตระกูลเหลย หากไม่อยากให้บุตรสาวของท่านตาย ท่านก็หยุดลงมือเดี๋ยวนี้!”

“ฉีเอ๋อร์!” ได้ยินบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนเองมีอันตรายเช่นนี้ ท่านเจ้าเมืองเหยียนก็ไม่ได้ดุดันเช่นนั้นแล้ว

“เจ้าเฒ่า เจ้าคิดว่าภายใต้การปกป้องของข้า สาวน้อยฉีเอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นอันตรายไปได้อย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงอันดุดันเสียงหนึ่งดังขึ้น

ท่านผู้เฒ่าเย่ นึกไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าเย่จะนำตัวเหยียนฉั่วฉีมาแล้ว

เหยียนฉั่วฉีตะโกนขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านพี่เย่ ข้าไม่เป็นไร พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

“อะไรนะ?” สีหน้าของท่านผู้เฒ่าเหลยพลันเปลี่ยนไปทันที ไพ่ใบสุดท้ายนั้นไม่มีแล้ว

เย่เฉินกล่าว “ตอนนี้พวกเจ้ายังจะเลือกที่จะอยู่ฝ่ายพวกเขาอีกหรือไม่?”

หากยังเลือกที่จะอยู่ฝ่ายพวกเขาก็โง่แล้ว!

ทุกกองกำลังได้ร่วมมือกัน จัดการกับพวกสวะเมืองเหลยนั้นไม่ได้ยากเลยแม้แต่น้อย!

ไม่นานนักก็กำจัดได้อย่างราบคาบ และเย่เฉินก็ได้ออกคำสั่ง!

“ก่อนหน้านี้ตระกูลเหลยกล้าส่งคนมาลอบฆ่าข้า เพราะฉะนั้น กำจัดคนของตระกูลเหลยอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”

เย่เฉินกับท่านผู้เฒ่าเย่ได้นำกองกำลังไปด้วยตนเองเช่นนี้ ในใจของทุกคนรู้สึกหวาดกลัวขึ้น พวกเขารู้ดีว่าหลังจากคืนนี้ไป ตระกูลเหลยจะต้องหายไปจากเมืองเหยียนโดยสมบูรณ์เป็นแน่

ท่านเจ้าเมืองเหยียนกล่าว “งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงที่ดีเลย ทำให้ทุกคนตกใจแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ!”

“ขอรับ!” งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ทั้งย่ำแย่และอันตราย พวกเขาก็ไม่อยากจะอยู่ต่อ

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองเหยียน จวนท่านเจ้าเมืองน่าจะมีสถานที่ที่เงียบสงบสำหรับดื่มชาใช่หรือไม่!”

ท่านเจ้าเมืองเหยียนตกใจผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “มีอยู่แล้ว”

หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเหยียนส่งคนไปจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จสิ้น เขาก็ไปหามู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อี!

เป็นผลให้ท่านเจ้าเมืองเหยียนตกตะลึงขึ้น กู้ไป๋อีเอาอุปกรณ์ชงชาที่เยี่ยมยอดออกมาและชงชาให้มู่เฉียนซี แต่ชากลับมีแค่สองจอกเท่านั้น ไม่มีชาสำหรับเขา

กลิ่นหอมของชาช่างทำให้คนใจเต้นแรงเสียจริง เขาส่งเสียงไอค่อกแค่ก “ค่อก ค่อก ค่อก!”

ท่านเจ้าเมืองเหยียนกล่าว “ชานี้ ไม่เลวเลยหนิ!”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “นี่ก็แค่ชาสมุนไพรที่ข้าปรุงขึ้นมาเองเท่านั้น หากท่านชอบ ข้าจะแบ่งให้ส่วนหนึ่ง”

ไม่ได้นะ!

กู้ไป๋อีแสดงท่าทีเย็นชาดุจดั่งหิมะหนาวเหน็บบนยอดเขา ชาที่เขาชงไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์จะดื่มได้

เมื่อเห็นทั้งสองดื่มชาด้วยความผ่อนคลายเช่นนี้ ท่านเจ้าเมืองเหยียนก็ได้แต่นั่งดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยใจที่ไม่เป็นสุข สีหน้าจนปัญญา ครั้นแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่หาเรื่องมาคุย

“ความแข็งแกร่งของแม่นางมู่ช่างน่าทึ่งเสียจริง แม้แต่เหลยอ๋าวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า” ท่านเจ้าเมืองเหยียนกล่าว

“ก็แค่โชคดีที่ได้รับทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาเท่านั้น ในยามคับขันก็ยังพอเอาชีวิตรอดได้ แต่พลังนั้นยังไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“คุณชายกู้มีความน่าเกรงขามมาก แต่กลับไร้พลังวิญญาณ มีปัญหาอันใดหรือไม่?”

กู้ไป๋อีเย็นชาเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าท่านผู้นำเหยียนผู้นี้ชักจะพูดมากกว่ามู่เฉียนซีเสียแล้ว

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ท่านเจ้าเมืองเหยียน ท่านอย่าพูดกระทบกระทั่งจิตใจเสี่ยวไป๋สิ ถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋จะฝึกบำเพ็ญไม่ได้ แต่ทั่วทั้งแดนตะวันออกก็ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเขานะ”

ท่านเจ้าเมืองเหยียนคิดหาเรื่องคุยมาครึ่งค่อนวันแต่ก็ไม่สามารถสืบถึงที่มาที่ไปของคนสองคนนี้ได้เลย!

และตอนนี้เอง เย่เฉินก็กลับมาแล้ว

เย่เฉินมองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “นายท่าน จัดการตระกูลเหลยเรียบร้อยแล้วไม่เหลือแม้แต่คนเดียวขอรับ!”

ท่านเจ้าเมืองเหยียนตกตะลึงขึ้น นายท่านอย่างนั้นเหรอ!

เดิมทีเขาคิดว่าสาวน้อยผู้นี้เป็นเพียงแค่แขกของตระกูลเย่เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะทำให้คนอย่างเย่เฉินผู้ที่หยิ่งผยองผู้นี้ยอมจำนนได้

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “แล้วพวกที่เลือกอยู่ฝ่ายเมืองเหลยในคืนนี้ เจ้าจดจำเอาไว้หมดหรือยัง?”

เย่เฉินกล่าว “จดเอาไว้หมดแล้วขอรับ”

มู่เฉียนซีมองไปที่ท่านเจ้าเมืองเหยียนและกล่าวว่า “ตระกูลเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องอยู่ในเมืองเหยียนอีกต่อไปแล้ว หากท่านเจ้าเมืองลงมือมันจะดูไม่ดี เช่นนั้นก็มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเย่เฉินเป็นเช่นไร?”

ท่านเจ้าเมืองเหยียนยิ้มเจื่อน ๆ เดิมทีเขาคิดจะให้ตระกูลเย่ทำลายตระกูลเหลยเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเย่เฉิน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ที่จวนเจ้าเมืองเกิดสถานการณ์ที่คับขันขึ้น กลับเป็นตระกูลเย่ที่เข้ามาช่วยพลิกผันสถานการณ์กลับมา

เรื่องการแย่งชิงเมืองเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยในทุ่งรกร้างใหญ่แห่งนี้ เนื่องจากเมืองเหยียนเมืองที่อยู่ห่างไกลนี้ค่อนข้างที่จะสงบมานานหลายปี ตอนนี้จึงถูกจับจ้องเข้าแล้ว

ท่านเจ้าเมืองเหยียนกล่าว “พวกเขาไม่มีใจรักเมืองเหยียน ไม่มีใจที่จะปกป้องจวนเจ้าเมือง ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเก็บพวกเขาเอาไว้ สถานะของข้าไม่เหมาะแก่การลงมือ เพราะฉะนั้นมอบให้เป็นหน้าที่เจ้าแล้ว เย่เฉิน!”

“ขอรับ!”

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เช่นนั้น ตอนนี้ท่านเจ้าเมืองเหยียนยอมรับในพลังความแข็งแกร่งของเย่เฉินแล้วใช่หรือไม่?”

“ยอมรับในระดับหนึ่งแล้ว แต่หากเขาคิดอยากจะเป็นคนที่ปกป้องฉีเอ๋อร์ไปตลอดชีวิตนั้น ยังห่างอีกไกล!” ท่านเจ้าเมืองยังคงไม่พอใจอยู่เล็กน้อย