GGS:บทที่ 1014 ระบบอัจฉริยะ(1)
“นี่มันอะไรกัน นี่คือระบบควบคุมด้วยเสียงอัจฉริยะของสมาร์ทโฟนกาลเวลา(ชิเจียนโชวจิ)เหรอ”
“ก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่นะ เดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่เขาก็มีกันหมดอยู่แล้ว
แถมยังมีแอพพลิเคชั่นเฉพาะอย่างเช่นไป่ตู้และฮงเฟยนั่นอีก มันก็เหมือนกับเนื้อไก่นั่นแหละที่หาเจอได้อย่างง่ายๆ
ฉันว่าเราควรจะดูที่ระบบภายในดีกว่าที่จะมานั่งสนใจระบบควบคุมด้วยเสียงแบบนี้”
“แต่…โทรศัพท์หมดจดจำเอกลักษณ์เสียงของเจ้าของเครื่องได้เลยนะ”
“ฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกนะเรื่องนั้น”
“มันก็แค่สมาร์ทโฟนเองนา…จะไปแยกเสียงคนออกได้ยังไงกัน”
“ซูจิ้งไม่มีทางที่จะโชว์ของแบบนี้มาเล่นๆแน่ๆ เขาจะโง่พอที่จะทำอย่างนั้นเลยเหรอ”
“ถ้าจะให้เรียกว่าระบบอัจฉริยะฉันก็ว่าไม่เกินเลยแม้แต่น้อยเลยนะนั่น”
ก็ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ความเห็นของเหล่าผู้ชมงานแตกกระสานส่านเซ็นแบบนี้ สิ่งที่เรียกว่าระบบคำสั่งเสียงอัจฉริยะนั้นโดยปกติแล้วจะเข้าใจเพียงคำสั่งที่ถูกสั่งมาเท่านั้น
แต่กับการจดจำเสียงของผู้คนนี่ถือได้ว่าเป็นความอัจฉริยะในอีกระดับหนึ่งไปเลย โดยทั่วไปแล้วเสียงของแต่ละบุคคลนั้นจะมีความต่างไม่มากนัก
จะเรียกให้ถูกก็คือไม่ต่างจนจับจุด มันไม่เหมือนกับการสแกนลายนิ้วมือที่เป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน จึงบอกได้ว่าการแยกแยะเสียงของแต่ละบุคคลเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
เอาจริงๆขนาดคนด้วยกันเอง บางครั้งยังแยกกันไม่ออก นับประสาอะไรกับการแยกของเครื่องจัก
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เหล่าผู้ชมงานกำลังพูดคุยกันแม้แต่น้อย เขายังคงทำนู่ทำนี่ผ่านการสั่งจิงยี่ จิงยี่เองก็ยังร้องขอซูจิ้งอย่างต่อเนื่อง
“ถัดไป ขอให้เจ้านายเลือกระบบยืนยันตัวตนระหว่างการสแกนลายนิ้วมือ การสแกนดวงตา และการสแกนใบหน้าค่ะ แน่นอนว่าเจ้านายสามารถเลือกที่จะใช้การยืนยันตัวตนเพียงหนึ่งอย่างหรือหลายๆอย่างก็ได้”
เพียงสิ้นเสียงนี้เหล่าผู้ชมต่างมึนงงกันไปหมด เพียงแค่การสแกนลายนิ้วมือนั้นถึงแม้จะไม่แปลกใหม่แต่ก็ถือว่าทำได้ยากยิ่งแล้ว แต่นี่มีทั้งระบบสแกนดวงตาและสแกนใบหน้าอีกด้วย
“จดจำใบหน้า” ซูจิ้งพูด
“ได้ค่ะ โปรดวางกล้องให้ห่างจากใบหน้าในระยะห่างสิบเซนติเมตรค่ะ”
ซูจิ้งก็ทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากเขาถือโทรศัพท์ไว้ตรงข้างหน้าของเขาห่างไปสิบเซนติเมตร ได้มีแสงไฟจากกล้องฉายออกมาเป็นระยะหลายๆครั้ง
จนในที่สุด จิงยี่ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ทำการจดใจใบหน้าเอาไว้ในระบบยืนยันบุคคลเรียบร้อยแล้ว ยินดีอย่างยิ่งที่ฉันเลือกพวกเราเหล่าโทรศัพท์กาลเวลาค่ะ”
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ จิงยี่ได้ทำการรีบูตระบบตัวเอง หลังจากนั้นระบบของโทรศัพท์ก็ได้เปิดขึ้นมา แน่นอนว่าหน้าจอของสมาร์ทโฟนกาลเวลานั้นสวยงามอย่างมาก
แต่สิ่งที่ยังคงคาใจเหล่าผู้ชมอยู่ในตอนนี้จนเก็บไว้ไม่อยู่จริงๆนั่นก็คือระบบจดจำเสียงเฉพาะบุคคลและระบบยืนยันตัวตนทั้งสามรูปแบบ
ทุกคนต่งก็สงสัยกันว่าระบบยืนยันตัวตนทั้งหมดนี้จะสามารถอยู่ในโทรศัพท์เครื่องเดียวได้จริงๆเหรอ
“หืม รู้สึกว่าทุกคนนั้นจะไม่เชื่อคำพูดของผมเลยสินะ เอาอย่างนี้ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นเอง อย่างแรกเอาเป็นระบบจดจำใบหน้าก็แล้วกัน
หากใครสักคนในที่นี้สามารถเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้ได้ด้วยระบบจดใจใบหน้าล่ะก็ ผมยินดีมอบเงินให้หนึ่งล้านหยวน” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาได้สังเกตผู้ชมโดยรอบและก็ได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ
นั่นก็เพราะทันทีที่ซูจิ้งพูดจบ เหล่าผู้ชมนั้นมีท่าทีตื่นเต้นกันไปหมด มีบางคนที่คิดว่าตัวเองหล่อเหลาและมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายซูจิ้งถึงกับแสดงความตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร
พลางคิดไปว่าตัวเองนั้นคิดถูกจริงๆที่ได้มา เพียงแค่ยื่นหน้านิดหน่อยก็ได้เงินไปใช้หนึ่งล้านหยวนแล้ว ช่างง่ายดายจนทำให้เขานั้นรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันที
ซูจิ้งยื่นสมาร์ทโฟนของเขาให้ชายหนุ่มคนหนึ่งโดยขอให้คนๆนั้นจัดการแปลงโฉมก่อน และผลก็คือ “นี่ไม่ใช่เจ้านายของฉันค่ะ โปรดอย่าแตะต้องโทรศัพท์ของเจ้านายของฉัน หากคุณพบเจอมันด้วยความบังเอิญล่ะก็คุณสามารถถือฉันได้และรอจนกว่าเจ้านายของฉันจะมารับฉันไป”
ชายหนุ่มคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ เขาได้ลองแสกนใบหน้าดูอีกครั้ง คราวนี้จิงยี่ได้กล่าวเตือนออกมาว่า “ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านายของฉันโปรดอย่ามาแตะต้องฉันได้ไหมคะ คุณได้ลองใช้โปรแกรมจดจำใบหน้านี้มาแล้วสองครั้ง นี่คุณตั้งใจจะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเจ้านายของฉันจริงๆใช่รึเปล่า หากคุณทำอีกล่ะก็เราจะได้เห็นดีกัน” จิงยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ชายหนุ่มแม้จะได้ยินแบบนั้น เขานั้นหมดความอยากที่จะลองแสกนใบหน้าอีกต่อไป
ซูจิ้งเห็นดังนั้นก็ได้อธิบายเมเติมไปว่า “หากว่านายยังคิดจะลองอีกล่ะก็ ระบบจิงยี่จะตอบโต้นายด้วยการส่งใบหน้าของนายไปทางอินเตอร์เน็ต
หากในอนาคตเกิดอะไรขึ้นมาล่ะก็ ตำรวจจะตามหาตัวนายเป็นอันดับแรก”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งไปในทันที ถึงแม้เขาจะยังไม่เชื่อเต็มอก แต่ยังไงซะเขาก็ไม่คิดจะลองแต่อย่างใด
เขานั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าในครั้งนี้จะเป็นเพียงการทดลองก็ตาม
แต่เขาก็ไม่ได้มีความอยากที่จะให้หน้าตาอันโล่งโจ้งไร้สิ่งปิดบังเข้าไปอยู่ในโลกอิ้นเตอร์เน็ตเพียงเพราะเหตุผลนี้
อีกอย่างในเมื่อมันถูกส่งเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตแล้วล่ะก็ ต่อให้โทรศัพท์นี้พัง ยังไงซะมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี
เมื่อคนอื่นๆเห็นแบบนั้นต่างก็เริ่มรู้สึกไม่เชื่อขึ้นมาและได้ลองดูบ้าง ผลคือไม่ว่าใครก็ตามที่มาลองแสกนใบหน้าดูต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย มันเปรียมได้ดั่งการที่หามาได้ง่ายๆแต่ใช้อะไรไม่ได้เลย
“งั้นตาฉันล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเอาหน้าของตัวเองไปจ่อไว้ที่กล้องโทรศัพท์ จิงยี่ได้แสกนใบหนาของซูจิ้ง ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็เปิดหน้าจะขึ้นมา
ฉากนี้ทำให้ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ฉันเชื่อแล้วว่าระบบจดจำใบหน้าของโทรศัพท์เครื่องนี้เจ๋งจริงๆ”
“ดูเหมือนว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะมีเทคโนโลยีที่สูงพอตัวเลยนะ”
“ฮ่าฮ่า แต่ยังไงซะมันก็เท่านั้นล่ะน่า ระบบนี้มันมีมานานแล้วนี่นา”
“แต่ดูๆไปแล้วมันล้ำกว่าโทรศัพท์ของเจ้าอื่นมากเลยนะ”
“ฉันกลัวแต่ว่าใช้ๆไปมันจะเออเร่อร์ซะมากกว่า เมื่อถึงตอนนั้นคงวุ่นวายดีพิลึก”
เมื่อซูจิ้งได้ยินที่เหล่าผู้รับชมพูดคุยกันแล้วเขาก็ได้อธิบายเพิ่มเติมออกมาว่า
“ผมขอรับประกันได้เลยว่าระบบจดจำใบหน้าของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้นั้นแม่นยำอย่างมาก และผมกล้ารับประกันได้เลยว่าแม่นยำยิ่งกว่าระบบใดๆที่เคยมีมาบนโลกในตอนนี้
นอกเสียจากว่าผู้ลักลอบเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้จะเป็นฝาแฝดแล้ว ไม่มีทางเลยที่ระบบจดจำใบหน้าของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะผิดพลาด ต่อให้เจ้าของเครื่องนี้จะเติบโตขึ้น อ้วนขึ้น หรือผอมลงก็ตาม
แต่หากพวกคุณไม่แน่ใจล่ะก็คุณเองก็สามารถที่จะเลือกระบบยืนยันตัวตนอื่นได้ไม่ว่าจะเป็นการแสกนดวงตาหรือแม้แต่ลายนิ้วมือ หรือจะใช้หลายๆอย่างด้วยกันก็ยังทำได้ แล้วแต่คุณจะเลือกได้เลย
ถึงแม้ว่าบางระบบนั้นจะดูยุ่งยากไปหน่อยในครั้งแรกที่เริ่มใช้ แต่เมื่อระบบยืนยันตัวตนเหล่านี้ได้ยืนยันตัวตนของคุณเรียบร้อยแล้วล่ะก็ โทรศัพท์เครื่องนี้จะตอบสนองกับคุณเพิ่งผู้เดียวเท่านั้น และการยืนยันตัวตนในแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองวินาทีเท่านั้น”
ซูจิ้งยังคงทดสอบระบบให้ผู้เข้าชมภายในงาน โดยในครั้งนี้เป็นการทดสอบระบบแสกนลายนิ้วมือและแสกนดวงตา และผลที่ออกมาก็คือไม่มีใครเลยสักคนที่จะเปิดโทรศัพท์นี้ได้นอกจากซูจิ้งคนเดียวเท่านั้น
นี่เท่ากับว่าเป็นการรับรองประสิทธิภาพของระบบยืนยันตัวตนทั้งสามเรียบร้อยแล้ว
“ต่อไป ถัดไปเรามาลองระบบยืนยันตัวตนด้วยเสียงก็แล้วกันนะครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน หากใครก็ตามที่สามารถเรียกให้โทรศัพท์ของผมสามารถตอบรับได้ล่ะก็ ผมให้คุณไปเลยหนึ่งล้านหยวน”
เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้ส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้ผู้ชมอีกครั้ง และผู้ชมต่างก็พยายามที่จะสั่งโทรศัพท์ของซูจิ้งแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด
“จิงยี่” อยู่ๆซูจิ้งก็พูดขึ้นมา
“ค่ะเจ้านาย เจ้านายต้องการอะไรคะ” สมาร์ทโฟนของซูจิ้งตอบรับเสียงของซูจิ้งทั้งที่ยังอยู่ในมือของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ น้ำเสียงที่นุ่มนวลเย้ายวนใจ
ฉากที่เห็นนี่เรียกเสียงตกตะลึงไปจนทั่ว ต่างตกตะลึงว่าสมาร์ทโฟนของซูจิ้งนี้สามารถแยกแยะเสียงบุคคลได้จริงๆ
ซุจิ้งกลัวว่ายังมีคนไม่เชื่อเขาอยู่จึงได้ทดลองอีกครั้งและผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม
“ฉันว่าฉันคงต้องถอนคำพูดแล้วแหะ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสมาร์ทโฟนของซูจิ้งสามารถแยกแยะเสียงที่ใช้ในการยืนยันตัวตนได้จริง”
“นี่ไม่ใช่ว่าจะเหนือล้ำกว่าระบบศิรินั่นหรอกเหรอ”
“ไม่ว่าจะน้อยหรือมากกว่าก็ช่าง ตอนนี้ฉันชอบสมาร์ทโฟนเครื่องนี้เข้าให้แล้วจริงๆ ตอนฉันใช้ศิรินั้นมันให้ความรู้สึกเหมือนฉันคุยกับหุ่นยนต์รับฟังชาวบ้านเขาไปทั่ว
แต่พอเห็นเจ้าเครื่องนี้ที่ฟังแต่เสียงของเจ้าของเครื่องนี่มันทำให้ฉันรู้สึกสุดยอดยังไงก็ไม่รู้”
“นี่…” ชายหนุ่มหล่อที่ได้เห็นสื่งที่ซูจิ้งทำในงานแถลงเปิดตัวโทรศัพท์ทำให้รู้สึกได้ถึงภัยอันตรายจากผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งขึ้นมาในทันที
พอคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นของงานเปิดตัวนี้เท่านั้นแต่สมาร์ทโฟนกาลเวลาก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้ชมได้อย่างมาก โดยใช้แค่การลองใช้ระบบยืนยันตัวตนเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกถึงลางร้ายขึ้นมาได้ในหัวใจเลยทีเดียว
“เหอะ สมาร์ทโฟนที่ดีเขาไม่เห็นจะต้องมานั่งแสดงระบบยืนยันตัวตนให้ใครเค้าดูกันแบบนี้หรอกเว้ย มันโคตรจะเป็นระบบที่ไร้ประโยชน์เลยแถมยังยัดเอาไว้ตั้งสี่รูปแบบอีก
ฉันอยากรู้จริงๆว่าสมาร์ทโฟนของแกจะมีพื้นที่เหลือสักเท่าไหร่กัน เท่าที่ดูนี่คงจะทำอะไรได้ไม่ต่างจากนาฬิกาข้อมือแน่ๆ” ฮัวหยุนชูกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เขาไม่เชื่อว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้จะเหนือล้ำยิ่งกว่าสมาร์ทโฟนของแอปเปิ้ล การมีลูกเล่นแบบนี้อยู่มากมายนั้นแน่นอนว่าย่อมทำให้ระบบภายในมีอาการรวนบ้างอย่างแน่นอน
แถมระบบแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ไปมากมายขนาดนี้ นี่เท่ากับว่าใส่ไว้เรียกความสนใจเฉยๆ
ยกตัวอย่างเช่นสมาร์ทโฟนสมัยก่อนที่สามารถดูหนังโดยการฉายภาพไปที่กำแพงได้ ระบบนี้มันดูหรูเลยก็จริงแต่พอเข้าจริงๆกลายเป็นว่าภาพไม่ชัดจึงไม่ได้รับความนิยมแต่อย่างใด
ทำให้ไม่นานนักระบบนี้ก็ถูกยุบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ฮัวหยุนชูเองก็คิดว่าสมาร์ทโฟนกาลเวลาเครื่องนี้คงจะมีระบบอย่างอื่นที่ด้อยประสิทธิภาพอย่างแน่นอน