ผลของการหารือคือ ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินต้องย้ายไปประทับที่เมืองหลานโจว ส่วนเรื่องกองทัพชายแดนทั้งหมดให้ตงหลิงหวงเป็นคนจัดการ
หลังสิ้นสุดการหารือ ตงหลิงหวงจึงเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินได้พักผ่อน จากนั้นจึงกลับไปที่กระโจมของตนเอง
อู๋ซวงได้เตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบไว้เรียบร้อยแล้ว
“รัชทายาท ทรงอาบน้ำร้อนก่อนเถิด! ”
รัชทายาทระหกระเหินอยู่ด้านนอกหลายวัน ร่างกายต้องสกปรกเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงกลับไม่ชายตามองอ่างอาบน้ำที่ว่างอยู่หลังฉากกั้นในกระโจม ทว่านางเดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้โบราณ
“นำจดหมายที่ส่งมาจากเมืองหลวงในช่วงนี้ และบันทึกการสงครามระหว่างสองกองทัพทั้งหมดมาให้ข้า จากนั้นก็เรียกแม่ทัพทั้งหมดมาพร้อมกันที่นี่”
อู๋ซวงตกตะลึง ทว่าไม่ได้ดำเนินการในทันที ตงหลิงหวงจึงเงยหน้ามองอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดหรือ? ”
“รัชทายาท หม่อมฉันเตรียมน้ำร้อนไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ”
ตงหลิงหวงก้มหน้าลง แววตาจดจ่ออยู่ที่ตำราในมือ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไป! ”
อู๋ซวงเม้มริมฝีปาก สุดท้ายก็ออกไปตามรับสั่งของตงหลิงหวง
ประการแรกคือ นำเอกสารและบันทึกสงครามมาให้ตงหลิงหวง จากนั้นจึงไปเชิญแม่ทัพทั้งห้าด้วยตนเอง
ตอนที่แม่ทัพซ่ง แม่ทัพผาง แม่ทัพฮัว แม่ทัพหลิง และแม่ทัพซืออวิ๋นทั้งห้าคนมาถึง ตงหลิงหวงกำลังจดจ่ออยู่กับจดหมายในมือ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนนาง พวกเขาทำเพียงนั่งลงอีกฝั่งเงียบๆ
อู๋ซวงยกน้ำชามาให้ทุกคน
หลังผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ตงหลิงหวงก็อ่านเอกสารในมือทั้งหมดเสร็จสิ้น และเงยหน้าขึ้น
แม่ทัพใหญ่ทั้งห้านั่งตัวตรง พลางพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “องค์รัชทายาท! ”
เสียงของตงหลิงหวงเย็นชายิ่งกว่าใบหน้า มือของนางวางอยู่ที่พนักอย่างเป็นธรรมชาติ ช่างสง่างามจนไม่อาจละเลย
นางเลือกจดหมายสองสามฉบับในมือที่สามารถเปิดเผยกับทุกคนได้ และยื่นให้อู๋ซวง
“จดหมายพวกนี้เขียนเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองหลวง ท่านแม่ทัพทั้งหลายลองดู พวกท่านต้องการหารืออันใดหรือไม่? ”
อู๋ซวงรีบนำจดหมายไปให้เหล่าแม่ทัพดู
ตงหลิงหวงนั่งรอเงียบๆ ไม่รีบร้อน
เรื่องที่เขียนในจดหมายทั้งหมด บอกว่าหลู่หยางอ๋องสมรู้ร่วมคิดกับแม่ทัพและขุนนางราชสำนักจำนวนหนึ่งเพื่อก่อการกบฏ ‘ผู้ใดตามข้า ผู้นั้นมีชีวิตรอด ผู้ใดขวางข้า ผู้นั้นตาย’ ทั้งยังสังหารขุนนางซื่อสัตย์ที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไปไม่น้อย
แม้แต่พระสนมและนางกำนัลจำนวนมากในวังหลวงก็ไม่ละเว้น
นอกจากนั้น ข่าวที่ตงหลิงหวงตกหน้าผา และข่าวที่ฮ่องเต้ตงเฉินทรงได้รับบาดเจ็บก็แพร่สะพัดมาถึงเมืองหลวง
พวกกบฏใช้ประโยชน์จากข่าวนี้สร้างความปั่นป่วนในเมืองหลวง
เหล่าเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายยังคงมีวิจารณญาณและยังสามารถไตร่ตรองได้ ทว่าประชาชนนั้นไม่เหมือนกัน!
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ประชาชนต่างเกิดความโกลาหล
ดั่งคำโบราณที่ว่า ผู้ที่ได้ใจประชาชนคือผู้ที่ครองแผ่นดิน
ประชาชนล้วนต้องการมีชีวิตที่ราบรื่นมั่นคง พูดให้ชัดเจนก็คือ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถมีชีวิตสงบสุขได้ ผู้ใดจะปกครองแผ่นดินก็เหมือนกัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำหรับฮ่องเต้แคว้นตงเฉินและตงหลิงหวงแล้ว ไม่เป็นผลดีอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ทัพทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร? ” ตงหลิงหวงเห็นทุกคนอ่านจดหมายเสร็จแล้วจึงเปิดปากพูด “ท่านแม่ทัพซืออวิ๋น เชิญท่านพูดก่อน”
แม่ทัพซืออวิ๋นขยับร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทเป็นผู้สืบสกุลโดยตรง อธรรมไม่อาจข่มธรรมะ แม้หลู่หยางอ๋องก่อกบฏ แต่คาดว่าเขาคงไม่สามารถสร้างความปั่นป่วนอันใดได้มากนัก… ”
แม่ทัพซืออวิ๋นยังไม่ทันพูดจบ ตงหลิงหวงก็เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุดพูดคำสวยงามที่ไม่อาจจับต้องได้ ข้าต้องการฟังความจริง รวมถึงแผนรับมือสถานการณ์ ฮัวเซิ่ง เจ้าพูดบ้าง! ”
แม้ตงหลิงหวงจะเป็นสตรี ทว่าความน่าเกรงขามและความดุดันของผู้ปกครองแคว้นก็ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ แม่ทัพซืออวิ๋นที่ประหม่าอยู่แล้ว เมื่อถูกตงหลิงหวงตำหนิเช่นนี้จึงนั่งไม่ติดเก้าอี้
อย่างไรก็ตาม ฮัวเซิ่งเป็นคนตรงไปตรงมา มีอันใดก็กล่าวออกไปตามตรง
เขาอดกลั้นอยู่นาน เมื่อมีโอกาสได้เปิดปากพูดจึงถกแขนเสื้อขึ้นและเริ่มสบถ “หลู่หยางอ๋อง คนสารเลวผู้นี้ โชคดีที่ฝ่าบาททรงรักใคร่เขาดั่งพี่น้อง แต่เขากลับทำเรื่องขายขี้หน้าเช่นนี้ ตายไปต้องตกนรกหมกไหม้ องค์รัชทายาท กระหม่อมขอเสนอว่าให้พวกเรานำทัพกลับไปฆ่าพวกมัน ฆ่าคนสารเลวตอนที่มันไม่ทันได้ตั้งตัว ข้า ฮัวเซิ่งจะเป็นแนวหน้าเอง”
ตงหลิงหวงใบหน้าเคร่งขรึม “นำทัพกลับไปจัดการ? แล้วผู้ใดจะปกป้องชายแดน? หรือจะปล่อยให้แคว้นหนานหลีเข้ามาโจมตี? ”
เห็นได้ชัดว่ากองทัพของแคว้นตงเฉินผิดหวังจากความพ่ายแพ้ ปกติแล้วก็ไม่มีกำลังคนเพียงพอให้ออกไปสู้ศึกภายนอก
หลู่หยางอ๋องเลือกเวลาก่อกบฏได้ดีจริงๆ
แม้ฮัวเซิ่งจะเป็นคนตรงไปตรงมาและหยายคายไปบ้าง ทว่าในบางครั้งยังละเอียดรอบคอบ
“รัชทายาท ขออภัยที่กระหม่อมต้องเรียนตามตรง กระหม่อมรู้สึกว่าในค่ายทหารของพวกเราต้องมีหนอนบ่อนไส้เป็นแน่ หลู่หยางอ๋องเลือกเวลาที่กองทัพของพวกเราทำสงครามกับทหารแคว้นหนานหลีเพื่อก่อกบฏ นอกจากนั้น ไม่กี่วันก่อน เรื่องที่รัชทายาทตกหน้าผาและฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บถูกปกปิดอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะเรื่องที่ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บ มีเพียงแม่ทัพใหญ่ทั้งห้า รวมถึงบริวารและองครักษ์ใกล้ชิดพระองค์เท่านั้นที่รู้ ทว่าเรื่องนี้กลับแพร่งพรายไปถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว หากบอกว่าในค่ายทหารของเราไม่มีหนอนบ่อนไส้ กระหม่อมคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเด็ดขาด”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท นี่คือสิ่งที่กระหม่อมต้องการพูดมานานแล้ว กระหม่อมก็รู้สึกเช่นนั้น”
“กระหม่อมก็รู้สึกแบบเดียวกัน ต้องมีคนหักหลังพวกเราแน่นอน”
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น”
แม่ทัพผาง แม่ทัพซ่ง และแม่ทัพหลิงต่างแสดงความคิดเห็นออกมาทีละคน
ทว่ามีเพียงแม่ทัพซืออวิ๋นที่มีความคิดต่างจากผู้อื่น
“กระหม่อมคิดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย พวกเราไม่อาจสงสัยผู้ใดตามอำเภอใจ องครักษ์และสายลับของหลู่หยางอ๋องนั้นโดดเด่นอย่างมาก หากพูดว่าสายลับของหลู่หยางอ๋องเป็นคนแพร่งพรายข่าวนี้ไปยังเมืองหลวงก็พูดได้ไม่เต็มปาก พวกเราอย่าได้หลงกลในแผนสร้างความแตกแยกของหลู่หยางอ๋อง”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของแม่ทัพซืออวิ๋น ฮัวเซิ่งพลันโกรธเคือง “ซืออวิ๋น นี่เจ้าพูดบ้าอันใด? เจ้ายังจะพูดแทนผู้อื่นอยู่อีกหรือ? ”
“สิ่งที่ข้ากล่าวเป็นความจริง ถึงอย่างไร ตอนที่องค์รัชทายาทตกหน้าผา คนจำนวนมากล้วนอยู่ที่สนามรบ นอกจากคนของพวกเราเอง ยังมีฉางอันกงจู่และโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงอยู่ด้วย รวมทั้งคนของวิหารวิญญาณจำนวนไม่น้อย และยังมีคนของตำหนักจิ่วเทียน ยังไม่แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกไป เราไม่อาจสงสัยพี่น้องของตนเองโดยไร้หลักฐานเช่นนี้ได้”
“หึ… แม้ตอนที่รัชทายาทตกหน้าผาจะมีคนจำนวนมากที่รู้เรื่องนี้ ทว่าเรื่องที่ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บเล่า? เรื่องนี้มีคนจำนวนน้อยที่รู้ ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่เป็นหน่อนบ่อนไส้ ซืออวิ๋น”
“ฮัวเซิ่ง เจ้าชักจะมากเกินไปแล้ว! ”
“ข้ามากเกินไปอย่างไร? เจ้าต่างหากที่แก้ต่างแทนศัตรู ทรยศพี่น้อง จะไม่ให้ข้าฮัวเซิ่งพูดหรือ? ”
“ฮัวเซิ่ง เจ้าอย่าลืมว่าปีนั้น ตอนทำสงครามที่ป่าเฮยซา ผู้ใดช่วยชีวิตเจ้าไว้”
“ข้าไม่ลืมแน่ เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ย่อมไม่ผิด ทว่าเรื่องนั้นกับเรื่องในวันนี้มันไม่เหมือนกัน ซืออวิ๋น เจ้าเป็นหนอนบ่อนไส้ เจ้าทรยศฝ่าบาทและรัชทายาท ทรยศพวกเราพี่น้อง ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้า”
“ฮัวเซิ่ง จะกล่าวอันใดต้องมีหลักฐาน”
“เวลาข้าพูดไม่เคยพูดด้วยหลักฐาน ข้าพูดด้วยหมัด เป็นอย่างไร? อยากออกไปสู้กันหรือไม่? ”
“หึ… สู้ก็สู้ ใครกลัวเจ้า… ”
ทั้งสองพูดพลางบีบคอของอีกฝ่าย ทั้งยังทำท่าจะออกไปต่อสู้กันให้รู้ดำรู้แดง
แม่ทัพสามท่านที่เหลือพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างสุดความสามารถ แต่ก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่
ตงหลิงหวงที่ไม่พูดอันใดมาตั้งแต่ต้น พลันขมวดคิ้วอย่างเหลืออด “พอได้แล้ว… ”
ทว่าฮัวเซิ่งกับซืออวิ๋นต่างไม่ได้ยิน และยังคงบีบคอกันอยู่อย่างนั้น เสียงโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ
“หุบปากเดี๋ยวนี้! ”
ตงหลิงหวงทุบที่วางแขนดัง ‘ปึง’ ที่วางแขนของเก้าอี้ไม้โบราณพลันแตกละเอียด
ไม่ต้องพูดถึงซืออวิ๋นและฮัวเซิ่งที่กำลังทะเลาะกันอยู่ แม้แต่อู๋ซวงก็ตกใจอย่างมาก ภายในกระโจมใหญ่เงียบกริบ เงียบสงัดจนน่ากลัว
น่ากลัวเกินไปแล้ว รัชทายาทไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้มานานแล้ว
เวลานี้ หากเข็มเล่มเดียวตกลงบนพื้นอาจดังสะเทือนถึงฟ้าได้
ฮัวเซิ่งและซืออวิ๋นค่อยๆ ผละออกจากกัน พวกเขากำลังจะขอรับโทษ ทว่าน้ำเสียงเย็นชาของตงหลิงหวงกลับดังขึ้น
“เมื่อหารือเสร็จแล้ว พวกเจ้าสองคนก็ออกไปรับโทษโบยยี่สิบไม้”
นี่เป็นกฎ ซืออวิ๋นและฮัวเซิ่งไม่พูดให้มากความอีก ทำเพียงจ้องหน้ากันอย่างดุเดือด ก่อนจะกระชากเสียงเย็นชาและกลับไปนั่งที่ของตนเอง
ตอนนี้ ตงหลิงหวงไม่มีความคิดที่จะกังวลกับเรื่องเหล่านี้ นางกลับเข้าสู่ประเด็น “แม่ทัพซ่ง ท่านกับแม่ทัพผางมีความคิดเห็นอันใด? ”
ทั้งสองสบตากัน แม่ทัพผางเป็นฝ่ายพูดก่อน
“รัชทายาท แม้คำพูดของแม่ทัพฮัวจะค่อนข้างหยาบคาย ทว่ากระหม่อมคิดว่ามีเหตุผล เรื่องหนอนบ่อนไส้ต้องได้รับการป้องกันและไม่ควรประมาท”
ตงหลิงหวงไม่ได้บอกว่าจะตรวจสอบเรื่องหนอนบ่อนไส้หรือไม่ นางเพียงมองไปทางแม่ทัพซ่ง “แม่ทัพซ่ง ท่านคิดว่าอย่างไร? ”
แม่ทัพซ่งเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “กระหม่อมคิดว่าสงครามกับหลู่หยางอ๋อง ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น ทั้งยังควรรีบกระทำ ดีที่สุดคือฉวยโอกาสในตอนนี้ที่หลู่หยางอ๋องเพิ่งยึดเมืองหลวง เพราะทุกอย่างยังไม่ลงตัวมากนัก
ทว่าด้านกำลังพล พวกเรามีไม่พอจริงๆ
กระหม่อมคิดว่า เรื่องสงครามระหว่างแคว้นหนานหลีนั้น ควรเจรจาสงบศึกชั่วคราว อย่างไรเสีย ตอนนี้กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ขืนรบต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”
เจรจาสงบศึก?
หากก่อนหน้าที่มู่หรงฉีนำทัพ อาจยังพอมีช่องว่างให้เจรจาบ้าง
ทว่าตอนนี้ ผู้นำทัพแคว้นหนานหลีเป็นซูจิ่นซี เรื่องนี้ซูจิ่นซีจะเห็นด้วยหรือไม่?