ตอนที่ 1378 รางวัลและการลงโทษ โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 5 วัน ในระหว่างที่ฟาร์รีน่ากับโจกำลังทำการส่งของอยู่ พวกเขาก็ได้รับแจ้งจากคนของทางกองทัพที่หนึ่ง
ผู้บังคับบัญชาการของกองทัพที่หนึ่งต้องการพบพวกเขา
พวกเขาขับรถตรงมาที่ศูนย์บัญชาการภูเขาเคจเมาเธ่น เมื่อเดินเข้าในห้องประชุม ฟาร์รีน่าเห็นว่าด้านในมีคนอยู่หลายคน เมื่อดูจากสัญลักษณ์บนบ่าแล้ว คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่ง
โจกลืนน้ำลายอย่างประหม่า
แต่ฟาร์รีน่ากลับมีสีหน้าสบายๆ เธอวันทยหัตถ์ให้ทุกคน “ฟาร์รีน่าจากหน่วยรถบรรทุกที่ 2 กองขนส่งที่ 1 รายงานตัว”
ขวานเหล็กยิ้มเล็กน้อยพร้อมทำความเคารพกลับไป ดูแล้วไม่ได้มีการวางอำนาจของผู้บังคับบัญชาเลย
นี่ทำให้ฟาร์รีน่ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
สไตล์การทำงานของเฮอร์มีสทำให้เธอมองข้ามความต่างกันของระดับชั้นและทำงานอย่างตรงไปตรงมา คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหน้าที่ระดับบนๆ ของกองทัพของเกรย์คาสเซิลจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เผลอๆ อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
ที่เธอมีสีหน้าดูสบายๆ เป็นเพราะเธอรู้ว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะลืมอดีตของตัวเองที่เคยเป็นทหารพิพากษาของศาสนจักร ต่อให้โดนเย็นชาใส่ มันก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ทุกคนในที่นี่ไม่ได้แสดงความดูถูกใดๆ ออกมาเลย ต่อให้เป็นศาสนจักรก็ไม่มีทางที่จะดีต่อคนที่ไม่ใช่สาวกของตัวเองขนาดนี้
“ไม่ทราบว่าท่านเรียกตัวข้ามา…เป็นเพราะเรื่องใดเจ้าคะ?” สุดท้ายสายตาของฟาร์รีน่าก็ไปหยุดอยู่ที่ขวานเหล็ก
“ยังจำอัศวินของอีเทอร์นอลวินเทอร์ที่พวกเจ้าจับได้ที่อ่าวดีพพูลเมื่อกลายวันก่อนไหม?” ขวานเหล็กเปิดประเด็นขึ้นมาตรงๆ “พวกข้าได้ทำการตรวจสอบฐานะของอีกฝ่ายดูแล้ว แล้วก็ความผิดที่ทั้งสองคนได้ทำด้วย”
ฟาร์รีน่าคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที “พวกเขาสำคัญของกองทัพที่หนึ่งอย่างมากหรือเจ้าคะ?”
“ทั้งใช่แล้วก็ไม่ใช่” ขวานเหล็กค่อยๆ พูด “สำหรับสงครามในภาพรวมทั้งหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่สำหรับคนที่ต้องสละชีวิตเพื่อสงครามครั้งนี้แล้ว การจับกุมพวกเขาได้นั้นหมายความว่าสุดท้ายแล้วคนผิดก็ไม่อาจหนีการลงโทษไปได้ แบบนี้คนที่สละชีวิตก็สามารถตายตาหลับได้แล้ว”
จากนั้นฟาร์รีน่าก็ได้ฟังเรื่องข่าวกรองย้อมเลือด
ตอนแรก ข่าวคนแหกด่านนั้นไม่ได้ทำให้เบื้องบนสนใจอะไรมากนัก เพราะว่าทุกวันจะมีผู้อพยพที่พยายามจะแหกด่านแบบนี้อยู่ 3 – 4 คน พวกเขาถ้าไม่ใช่ขุนนางก็เป็นพ่อค้าที่พอจะมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่บ้าง เหตุผลที่หนีก็เพราะกลัวตัวเองมีความผิดติดตัวหรือไม่ก็กลัวจะถูกยึดทรัพย์สมบัติ
จากรายงานของโลก้า อัศวินอีเทอร์นอลวินเทอร์ทั้งสองคนจัดอยู่ในประเภทแรก แต่ว่าเนื่องจากทั้งคู่มีกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงและซับซ้อน เจ้าหน้าที่สอบสวนจึงทำการสอบสวนให้ละเอียดขึ้นไปอีก
หลังผ่านการเล่นเกมทางจิตวิทยาและจับแยกตัวสอบสวน สุดท้ายคนที่เป็นน้องชายก็รับสารภาพความผิดที่ทั้งคู่ทำออกมาก่อน เขาบอกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน เขาและพี่ชายได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองให้ไปตามจับชาวบ้านที่หลบหนีกลับมา แต่พี่ชายตัวเองมีความแค้นอยู่กับคนเกรย์คาสเซิล สุดท้ายเขาก็เลยเปลี่ยนจากการตามจับกลายเป็นไล่ฆ่า
ถ้าเป็นแค่การฆาตกรรมธรรมดา การตัดสินโทษก็จะเป็นการแขวนคอหรือไม่ก็ไปทำงานในเหมืองตลอดชีวิต แต่เรื่อง ‘การไล่ล่าผู้อพยพ’ นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบในการสอบสวนรู้สึกสงสัย สุดท้ายจึงทำการส่งเรื่องนี้ไปในหน่วยข่าวกรองเพื่อให้ทางฮิลล์ ฟ็อกซ์เป็นคนสอบสวน
แต่คดีนี้มีจุดบอดที่สำคัญที่สุดอยู่สองข้อ หนึ่งคือจนถึงตอนนี้กองทัพที่หนึ่งยังไม่รู้ว่าคนที่ส่งจดหมายคนนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นใคร พวกเขารู้เพียงว่าผู้ตายเป็นคนของแบล็คมันนี่ สองคือเนื่องจากอีกฝ่ายฆ่าคนตามใจชอบ ต่อให้ทั้งคู่จะเกี่ยวข้องกับการตายของคนส่งข่าวกรองคนนั้นจริงๆ ทั้งคู่ก็ไม่มีทางจำได้แน่นอน พูดอีกอย่างก็คือต่อให้ไนติงเกลอยู่ตรงนี้ เธอก็ไม่มีทางใช้การจับโกหกในคำพูดของทั้งคู่มาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้
สิ่งเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้เหมือนจะเหลือแค่กลิ่นเลือดที่หมาป่าสาวพูดถึงเท่านั้น
แต่เสียงได้ที่โลก้าทำได้เพียงแค่บอกว่ามีเลือดอยู่หลายกลิ่นเท่านั้น แต่เธอไม่อาจแยกแยะกลิ่นเลือดที่ผ่านมาเป็นเวลานานได้ สรุปแล้วก็คือประสาทรับกลิ่นของเธอเป็นแค่ความสามารถพิเศษที่ได้เพิ่มมาจากการแปลงร่าง ถึงแม้มันจะไม่ได้รับผลกระทบจากหินอาญาสิทธิ์ แต่มันกลับไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดทางโครงสร้างทางสรีระวิทยาได้
สุดท้ายทางสโมสรแม่มดจึงได้ส่งคนมาช่วยเหลือ นั่นคือวานิลลาและโบรคเคนซอร์ด
เมื่อได้รับพลังของโบรคเคนซอร์ดเข้ามาช่วยเพิ่มพลังให้ตัวเอง วานิลลาก็หาฟีโรโมนที่ตรงกับของคนส่งจดหมายอยู่บนเกราะของทาร์ลอส มอร์เรย์ ถึงแม้มันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ก็ถือเป็นหลักฐานที่แน่นหนา
ถ้าทั้งสองคนไม่เคยเจอหน้ากัน แล้วจะมีกลิ่นฟีโรโมนที่เหมือนกันเปื้อนอยู่บนตัวได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้สองพี่น้องมอร์เรย์จึงเป็นฆาตกรที่สังหารคนส่งข่าวกรอง
“ที่แท้ในหมู่ชาวบ้านยังมีคนแบบนี้อยู่ด้วย..” หลังฟังขวานเหล็กอธิบายจบ โจจึงทอดถอนใจออกมา
“ตอนนี้อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ยังคงเป็นพื้นที่ของปีศาจอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถประกาศเรื่องราวความดีความชอบของเขาออกไปได้ แต่ประวัติศาสตร์จะไม่มีทางลืมคนแบบเขาแน่” ขวานเหล็กถอนใจออกมา “พวกเจ้ามีความดีความชอบในการช่วยจับฆาตกร แต่พวกเจ้าไม่ได้อยู่ในกองทัพ ดังนั้นที่ข้าเรียกพวกเจ้ามานอกจากจะบอกเรื่องนี้แล้ว ข้ายังอยากจะถามว่าพวกเจ้าอยากจะได้อะไรเป็นรางวัล”
“แต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟาร์รีน่าพูดตรงๆ “คนที่สังเกตเห็นเป็นคนแรกคือแม่มดหมาป่าคนนั้น ข้าเพียงแค่ได้ยินเสียงพวกเขาต่อสู้กัน ก็เลยตามเข้าไปช่วยเท่านั้น”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนขึ้นมา
“วางใจได้ ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงตอบแทนคนที่ทำความดีความชอบทุกคน” ขวานเหล็กอธิบาย “สโมสรแม่มดกับกองทัพนั้นเป็นหน่วยงานคนละส่วนกัน ดังนั้นรางวัลของมิสโลก้านั้นมีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ตามหลักแล้วคนที่จะมอบรางวัลให้เจ้าคือสำนักบริหาร แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ในแนวหน้าของสนามรบ พวกข้าก็เลยเป็นตัวแทนมาสอบถามเจ้าแทนทางสำนักบริหาร”
“ข้าเข้าใจแล้ว..” ฟาร์รีนาลังเลอยู่ครู่ “ข้าเคยเห็นทหารพิพากษาของศาสนจักร แล้วก็เคยตามืดบอดเพราะคำพูดโกหก แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าข้าจะได้รับโอกาสในการชดเชยความผิด”
“ชดเชยความผิด?”
“ถูกต้อง” เธอสูดหายใจ “เข้าร่วมกองทัพที่หนึ่ง นั่นคือรางวัลที่ข้าอยากได้”
ภายในห้องเงียบไปทันที ทุกคนต่างสบตากันเหมือนกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ขวานเหล็กจึงพูดขึ้นมาว่า “กฎการเกณฑ์ทหารของกองทัพที่หนึ่งฝ่าบาททรงเป็นคนกำหนด ข้าไม่สามารถรับปากคำขอของเจ้าได้”
“อย่างนั้นเหรอ…” มือที่กำแน่นของฟาร์รีน่าคลายออกทันที
“แต่ว่า” อีกฝ่ายพูดเปลี่ยนประเด็น “ข้าสามารถเขียนความดีความชอบและความต้องการของเจ้าลงไปในรายงานเพื่อให้ฝ่าบาททรงพิจารณาได้ — ถ้าเจ้ายังยืนยันเช่นนั้นล่ะก็นะ”
ฟาร์รีน่าเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “รับทราบ!”
เธอย่อมต้องรู้ว่าทันทีที่เข้ากองทัพ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเธอหลังจากนี้จะถูกจำกัดมากขึ้น ความเสี่ยงในการปะทะกับศัตรูซึ่งๆ หน้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่นั่นคือเส้นทางที่เธอปรารถนา บนถนนยิ่งเต็มไปด้วยขวากหนาม เธอก็ยิ่งสามารถชดเชยความผิดของตัวเองได้
….
หลังฟาร์รีน่ากับโจออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ ก็พากันแยกย้ายออกไป ไม่นานภายในห้องประชุมก็เหลือเพียงขวานเหล็กกับเอดิธส์สองคน ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือที่นิ่งเงียบมาตลอดถอนหายใจออกมา “ศาสนจักรนี่น่ากลัวจริงๆ …ในเมื่อไม่ได้ถูกตัดสินโทษ แล้วจะไปมีความผิดได้ยังไง ยอมแบกรับความยากลำบากเมื่อที่จะทำให้ตัวเองสบายใจ เกรงว่าคงมีแต่พวกสาวกของเมืองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแหละถึงจะทำอะไรแปลกๆ แบบนี้”
ขวานเหล็กยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขารู้มานานแล้วว่าเอดิธส์นั้นเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ชาญฉลาด การที่บางครั้งเธอยอมถอยก็เพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่มากกว่า ในตอนที่ผลประโยชน์ลงตัว เธอคือคู่หูที่ไร้ที่ติ แต่ในตอนนี้มีการขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ เขาก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่ การตัดสินใจที่จะอุทิศตัวเองเหมือนอย่างฟาร์รีน่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเอดิธส์แน่นอน
แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเรื่องนี้
เมื่อเทียบกับคนเห็นแก่ตัวที่โง่ อวดดีและโลภมากพวกนั้นแล้ว อย่างน้อยเอดิธส์ก็สามารถแยกแยะเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองได้อย่างชัดเจน ไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรโง่ๆ เพียงเพราะผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แน่
“อย่างนั้น…ควรจะจัดการกับนักโทษสองคนนี้ยังไงดี?” ขวานเหล็กดึงการสนทนากลับเข้าสู่ประเด็น ฝ่าบาททรงตรัสเรื่องนี้ในจดหมายตอบกลับมาว่า ‘ถ้าพิสูจน์แล้วว่าอัศวินอีเทอร์นอลวินเทอร์เป็นคนทำจริง ก็ให้พวกเขาตัดสินใจได้เลย’ ตามการลงโทษที่ผ่านมา ทั้งสองคนคร่าชีวิตคนมาเกือบร้อยชีวิต โทษของพวกเขามีแค่แขวนคอเพียงสถานเดียวเท่านั้น
“ถ้าแค่แขวนคอล่ะก็ ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงไม่สั่งกำชับมาเป็นพิเศษแบบนี้หรอก” เอดิธส์ยิ้มเยือกเย็นออกมา “ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อยเหรอถ้าปล่อยให้พวกมันตายง่ายๆ แบบนี้?”
“แล้วเจ้าคิดว่าไง?”
“ในเมื่อไม่สามารถประกาศออกไปได้ อย่างนั้นก็ส่งส่งพวกมันไปให้แบล็คมันนี่เป็นของขวัญดีกว่า ข้าคิดว่าพวกเขาต้องต้อนรับเจ้าสองคนนี่อย่างดีแน่นอน”
……………………………………………………….