เพียงแต่ ตอนนั้นเฉินโม่เป็นเพลย์บอย เขาเห็นหญิงสาวล้มอยู่บนพื้น เฉินโม่ไม่เพียงไม่เห็นอกเห็นใจเธอ แต่กลับขับจักรยานผ่าน เขาผิวปากและทำให้น้ำโคลนสาดกระเด็น จนทำให้เสื้อสีขาวของเธอเปื้อนน้ำโคลนมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวไม่ได้โกรธ เธอลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ เธอไม่ด่าแช่ง และไม่พูดอะไร กระทั่งไม่โกรธด้วยซ้ำ เพียงแค่มองเฉินโม่ด้วยสายตาที่น่าสงสารเท่านั้น
เพราะการจ้องมองแบบนั้น ทำให้เธอเดินเข้ามาอยู่ในใจของเฉินโม่
เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย แววตาเฉยเมย ราวกับนางฟ้าที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก มองเด็กหนุ่มที่รอการช่วยเหลือ ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ ราวกับภาพวาด
เฉินโม่มองภาพนี้ด้วยความตกตะลึง
นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป สายใยบางอย่างในหัวใจของเด็กหนุ่มที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ถูกปลุกตื่นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นไม่รู้ว่าความชอบคืออะไร ความรักคืออะไร ช่วงเวลาไร้เดียงสานั้น แค่อยากคุยและอยากเห็นรอยยิ้มของเธอเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกอื่นใด
หากความปรารถนานี้เป็นจริง บางทีมันอาจจะไม่ทิ้งความประทับใจที่ลึกซึ้งไว้ในใจของเฉินโม่ เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้นตามกาลเวลา เขาจะถือว่าการรู้จักกันในตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของวัยรุ่น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันกลับตรงกันข้าม ตอนที่ความปรารถนาแรงกล้าที่สุด แต่กลับจบลงอย่างที่ไม่คาดคิด
หลังจากเรียนมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งแล้ว หูหยางหยู่ก็จากไป
ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน
เรื่องราวหยุดอยู่ตรงช่วงเวลาที่มีความปรารถนาแรงกล้าที่สุด ดังนั้นทำให้เขารู้สึกเสียใจอย่างลึกซึ้งเช่นกัน ลึกซึ้งจนเกิดใหม่แล้วก็ยากที่จะลืมเลือนได้
และนี่ก็คือเรื่องราวของเฉินโม่และหูหยางหยู่
วันรุ่งขึ้น ถานชิวเซิงและสวีจื่อหาวขับรถมารับเฉินโม่ แล้วเดินทางไปที่โรงแรมด้วยกัน
ระหว่างทาง เฉินโม่ถามว่า “คราวนี้หูหยางหยู่เชิญใครมาบ้าง?”
ถานชิวเซิงกล่าวว่า “ในเมื่อเธอมาอำลา เดาว่าเธอน่าจะเชิญเพื่อนร่วมชั้นมาทุกคน เมื่อถึงเวลานั้น จะต้องมีคนที่นายไม่ชอบมาด้วยอย่างแน่นอน นายต้องอดกลั้นเอาไว้ อย่าทำให้งานเลี้ยงอำลาของหูหยางหยู่พังล่ะ”
เฉินโม่กลอกตาใส่เขา “สำหรับนายแล้ว ฉันเป็นคนหุนหันพลันแล่นขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
ถานชิวเซิงหัวเราะและกล่าวว่า “ฉันเดา แค่เดาเท่านั้น!”
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงโรงแรม เฉินโม่และถานชิวเซิงลงรถก่อน ส่วนสวีจื่อหาวไปจอดรถ
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในโรงแรมพร้อมกัน
พวกเขาสามคนมาถึงก่อน ตอนนี้ในห้องส่วนตัวมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เมื่อเห็นพวกเฉินโม่สามคน คนเหล่านั้นก็รีบทักทายด้วยรอยยิ้ม “ไอ้ถานมาแล้ว รีบนั่งเถอะ!”
ถานชิวเซิงกวาดมองไปทั่วห้องและถามว่า “ทำไมไม่เห็นหูหยางหยู่ เธอเป็นคนเชิญพวกเรามา แต่เธอกลับมาสายเหรอ?”
ผู้ชายสวมแว่นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หูหยางหยู่คนสวยมาถึงนานแล้ว เธอกลัวว่าห้องเดียวจะไม่พอ เธอจึงจองไว้สองห้อง ตอนนี้เธอกำลังทักทายเพื่อน ๆ อยู่ที่ห้องข้าง ๆ!”
“อ้อ แบบนี้เอง! งั้นพวกเรานั่งกันก่อน!” ถานชิวเซิงกล่าวกับเฉินโม่
สวีจื่อหาวและเฉินโม่พยักหน้า แล้วนั่งตรงที่นั่งใกล้ ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออก สาวสวยสวมชุดสเวตเตอร์สีขาว สวมถุงน่องสีดำ ผมลอนยาวเดินเข้ามา
เมื่อเห็นพวกเฉินโม่สามคน หูหยางหยู่ยิ้มและดวงตาเป็นประกาย
“ไม่เจอกันนาน!” เสียงของเธอไพเราะ สงบเยือกเย็น ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกของเธอ เผยให้เห็นความสง่างาม
“ไม่เจอกันนาน!” เฉินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาคิดว่าถานชิวเซิงและสวีจื่อหาวทักทายเช่นกัน แต่สองคนนี้กลับเงียบ
ตอนนี้กลายเป็นว่าหูหยางหยู่และเฉินโม่ทักทายกันเอง เหมือนคู่รักที่พลัดพรากจากกันไปนาน และกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี
เฉินโม่มองสองคนที่ยิ้มด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
พวกเขาสองคนแกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไร เงยหน้ามองเพดาน
“ทุกคนคุยกันก่อน ฉันจะไปรับคนที่ประตูใหญ่!” หูหยางหยู่ไม่ได้รู้สึกใด ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ครับ หูหยางหยู่คนสวยไปเถอะ!” เพื่อนนักเรียนชายคนนั้นกล่าวด้วยสายตาที่เร่าร้อน