ดวงจันทร์บนท้องฟ้าสุกสกาว ภายในกระโจมเร่าร้อน ในที่สุด ค่ำคืนแห่งความสุขสันต์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ร่างกายของซูจิ่นซีอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจนลุกขึ้นไม่ไหว
ทว่านางยังอยู่ในค่ายทหาร ไม่ใช่จวนโยวอ๋อง นางจำเป็นต้องตื่นให้ตรงเวลา
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าโยวอ๋องของเรายังรับประทานไม่อิ่ม จึงเก็บความเรียบร้อยช่วงเช้าตรู่กับซูจิ่นซีอีกครั้ง ก่อนจะยอมปล่อยนางไป
แม้ตอนอยู่บนเตียง ซูจิ่นซีจะดูบอบบาง ทว่าเมื่อสวมชุดเกราะและชุดทหารแล้ว นางก็กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ทันที
เมื่อสั่งการเสร็จ นางจึงกลับไปที่กระโจมพัก เยี่ยโยวเหยาให้คนเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว
ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ทว่าทันใดนั้น องครักษ์เงาก็ปรากฏตัวนอกค่ายทหาร
“ท่านอ๋อง มีเรื่องสำคัญรายงานพ่ะย่ะค่ะ! ”
“เข้ามา! ”
ซูจิ่นซีมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก นางวางถ้วยและตะเกียบบนโต๊ะ และลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา
องครักษ์เงาเข้ามาภายในกระโจม พลางกระซิบข้างใบหูของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะนำจดหมายยื่นให้เยี่ยโยวเหยาและจากไป
สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาดูเคร่งขรึมและน่ากลัว
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว “เกิดอันใด? เกิดอันใดกับแคว้นจงหนิงหรือไม่? หรือเป็นวิหารวิญญาณ? ”
สัญชาตญาณซูจิ่นซีบอกว่าไม่ใช่แคว้นจงหนิง แม้ฮ่องเต้แคว้นจงหนิงจะยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทว่าเขาในตอนนี้ไม่สามารถสร้างคลื่นใต้น้ำใดๆ ได้ ไม่ต่างอันใดกับหุ่นเชิด ตอนนี้อำนาจการบริหารขุนนางน้อยใหญ่ทั้งบุ๋นและบู๊ของแคว้นจงหนิงอยู่ในมือของเยี่ยโยวเหยา ทั้งทุกคนยังหวังให้เยี่ยโยวเหยาขึ้นครองบัลลังก์โดยเร็ว
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับปฏิเสธหลายครั้ง และบริหารบ้านเมืองในฐานะมหาอุปราชเท่านั้น
เรื่องเดียวที่ซูจิ่นซีคาดเดาได้คือวิหารวิญญาณ
เป็นจริงดั่งที่คาดไว้ เยี่ยโยวเหยาส่งจดหมายในมือให้ซูจิ่นซีด้วยแววตาเคร่งขรึม “เป็นแคว้นไหวเจียงที่โจมตีวิหารวิญญาณ อีกทั้ง… ยังช่วยหลานอวี่ กูสือซาน และเยี่ยเซิน คนสารเลวผู้นั้น”
ตั้งแต่ที่หลานอวี่ กูสือซาน และเยี่ยเซินถูกจับที่นอกเมืองเย่หลิน เยี่ยโยวเหยาก็ขังพวกเขาไว้ในวิหารวิญญาณ
ความเข้มงวดและความน่ากลัวขององครักษ์วิหารวิญญาณนั้น ซูจิ่นซีได้เห็นด้วยตาตนเองแล้ว ทว่าพวกเขาสามารถช่วยหลานอวี่กับพรรคพวกออกจากวิหารวิญญาณได้ ครั้งนี้ดูเหมือนแคว้นไหวเจียงจะลงทุนลงแรงและเสียเลือดเนื้อไปไม่น้อย
“มีผู้บาดเจ็บหรือไม่? บอกได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด? ”
“จดหมายนี้เขียนโดยฉินเทียน ในวิหารวิญญาณไม่มีผู้ใดถึงแก่ชีวิต ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง… หึ คิดจะนำคนที่อยู่ในมือของข้าออกไป จะไม่ชดใช้ความเสียหายได้อย่างไร? ”
เอ่อ…
เหตุใดซูจิ่นซีจึงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“เยี่ยโยวเหยา นี่ท่านอาศัยโอกาสที่แคว้นไหวเจียงส่งคนมาช่วยเหลือ จงใจปล่อยหลานอวี่และคนอื่นๆ ไปหรือ? ”
จากนิสัยของเยี่ยโยวเหยา หลานอวี่กับพรรคพวกที่ถูกจับมาก่อนหน้านี้ ต้องถูกพวกเขาสังหารในที่เกิดเหตุแน่นอน จะเก็บพวกมันไว้เพื่อเหตุใด?
แม้คนจากแคว้นไหวเจียงคิดจะแหกคุกและช่วยชีวิตคนจากวิหารวิญญาณ ทว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีฉินเทียนคอยเฝ้าดูแลวิหารวิญญาณอีกด้วย
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเคร่งขรึมและเย็นชา แววตาเย็นชานั้นค่อยๆ หรี่ลงเล็กน้อย ทั้งยังเผยรอยยิ้มมุมปาก “เจ้าลองเดาดูสิ! ”
จากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็หันหลังกลับไปนั่งและรับประทานอาหารต่อ
ซูจิ่นซีตกตะลึงชั่วครู่ นางขมวดคิ้วแน่นและขยับไปหาเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า
เฮ้อ…
ท่านอ๋องเรียนจนเสียคนแล้ว!
จะว่าไปแล้ว ท่านอ๋องของเราเคยเรียนรู้สิ่งดีๆ เสียที่ใด?
ซูจิ่นซีทบทวนในใจอย่างรวดเร็ว คำตอบสุดท้ายก็คือ ไม่มี!!!
นางนั่งหัวร้อนอยู่ตรงข้ามเยี่ยโยวเหยา และรับประทานอาหารต่อ
เยี่ยโยวเหยาไม่พูด นางก็ไม่ถาม
อย่างไรเสีย ไม่ช้าก็เร็ว นางก็ต้องรู้ ผู้ที่สามารถสร้างปัญหาให้เยี่ยโยวเหยานั้น ไม่มีวันมีจุดจบที่ดีได้
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ซูจิ่นซีมั่นใจมาก เยี่ยโยวเหยากำลังวางแผนโจมตีแคว้นไหวเจียงแน่นอน
“เยี่ยโยวเหยา เมื่อใดพวกเราจะโจมตีแคว้นไหวเจียง! ”
เมื่อนึกถึงการบุกยึดแคว้นไหวเจียง และได้ยาพิษจำนวนนับไม่ถ้วนจากแคว้นไหวเจียง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระตือรือร้นอยากมีอยากได้ขึ้นมาทันที
โยวอ๋องยังทานอาหารด้วยท่าทางจริงจังและสง่างาม ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “หลังจากบุกยึดแคว้นเป่ยอี้ได้แล้ว”
ซูจิ่นซีเกือบสำลักตอนที่ทานข้าว
“แค่ก แค่ก แค่ก… บุกยึดแคว้นเป่ยอี้… ”
จะว่าไปแล้ว แคว้นเป่ยอี้เป็นดินแดนของเผ่าเทพไม่ใช่หรือ?
เพียงเป่ยถางเย่ผู้เดียวก็รู้แล้วว่าการบุกยึดแคว้นเป่ยอี้นั้นไม่ง่ายเลย นึกไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาคิดจะบุกยึดดินแดนแคว้นเป่ยอี้ด้วย
ความปรารถนานั้น… ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีเชื่อมั่นว่าเยี่ยโยวเหยาสามารถทำได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้วรยุทธ์ของนางและเยี่ยโยวเหยาไม่ได้อ่อนแอ หากไม่ต่อสู้กันสักตั้ง ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาสามารถต่อสู้กับแคว้นเป่ยอี้ได้หรือไม่
“อืม! ”
เยี่ยโยวเหยาตอบรับแผ่วเบา “ทองอมฤตอยู่ที่ภูเขาคุนหลุนในแคว้นเป่ยอี้ ต่อให้ตอนนี้พวกเราไม่โจมตีแคว้นเป่ยอี้ ก็ต้องไปเยือนเขาคุนหลุนสักครั้งแน่นอน”
เยี่ยโยวเหยาพูดถูก อมฤตทั้งห้านั้น ตอนนี้พวกเขามีดินอมฤต ไฟอมฤต และน้ำอมฤตอยู่ในมือแล้ว ยังขาดไม้อมฤตและทองอมฤต
อู๋จุนและถังเสวี่ยไปที่แคว้นไหวเจียงเพื่อค้นหาไม้อมฤต ทว่ายังไม่มีข่าวกลับมา ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว
กล่าวกันว่าทองอมฤตอยู่ที่เขาคุนหลุนในแคว้นเป่ยอี้
เมื่อเรื่องของแคว้นตงเฉินคลี่คลายและได้รับวิชาการหล่อขึ้นรูปแล้ว การเดินทางไปยังเขาคุนหลุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความลึกลับของแคว้นเป่ยอี้ รวมถึงเป่ยถางเย่และคนอื่นๆ ก็ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าระหว่างทางไปเขาคุนหลุนจะโชคดีหรือโชคร้ายเพียงใด
ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบงัน จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก
เป็นเสียงอ่อนแรงขององครักษ์ผู้หนึ่งที่อยู่ด้านนอกกระโจม
“ผู้บัญชาการ แย่แล้ว พระองค์รีบออกไปดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ นางรีบวางชามและตะเกียบในมือ เมื่อออกไปจากกระโจม นางก็เห็นทหารที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดยืนตัวสั่นอยู่ข้างนอกกระโจม
“เกิดอันใดขึ้น? ”
องครักษ์หายใจหอบและชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ “มี… สัตว์ร้ายและกลุ่มคนแปลกประหลาดกำลังต่อสู้กัน พวกเรา… พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน”
ซูจิ่นซีรีบเปิดระบบถอนพิษและอาคมกำไลปี่อั้น
ระบบถอนพิษตรวจไม่พบสารพิษใดๆ ทว่าอาคมกำไลปี่อั้นกลับได้ยินเสียงดังสับสนอลหม่าน
มีเสียงอาวุธปะทะกัน และ… เสียงสัตว์ร้าย
สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า นางกำลังจะเดินไปตามเสียงนั้น ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับคว้าแขนซูจิ่นซีไว้และพูดว่า “เจ้าได้ยินอันใด? ”
สถานการณ์เร่งด่วนอย่างมากจนซูจิ่นซีไม่มีเวลาอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาฟัง นางจึงรีบพูดว่า “คนจากโลกเขตแดน”
คนจากโลกเขตแดน…
คำนี้ เยี่ยโยวเหยาทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
เยี่ยโยวเหยาเคยได้ยินชื่อนี้ ทว่าไม่เคยไปที่นั่น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจมากคือ โลกเขตแดนไม่ใช่สถานที่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่เคยออกมาจากโลกเขตแดน เหตุใดคราวนี้พวกมันถึงออกมาได้ ทั้งยังออกมาตอนที่แคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลีต่อสู้กันอีกด้วย!
ชั่วพริบตา ซูจิ่นซีก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะออกไป เยี่ยโยวเหยารีบตามไปทันที พร้อมกับชักกระบี่เสวียนหยวนออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีก็อาศัยอาคมกำไลปี่อั้นจนพบสถานที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์นั้นโกลาหล เหมือนทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน
ฝ่ายหนึ่งเป็นกลุ่มคนที่ซูจิ่นซีทราบว่าเป็นผู้ที่มาจากโลกเขตแดนอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นผู้ที่มาจากแดนปีศาจของโลกเขตแดน ผู้นำคือราชาเฮยซาหู่แห่งแดนปีศาจของโลกเขตแดน
กำลังพลที่อยู่ด้านหลังของเขาล้วนสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์และสัตว์ร้ายได้ ทั้งกำลังพลจำนวนหนึ่งยังมีศีรษะเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นสัตว์ร้าย
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง… แม้ซูจิ่นซีจะไม่รู้จัก ทว่านางมองออกว่าพวกเขาเป็นเพียงคาราวานพ่อค้าธรรมดา ซึ่งดูไม่มีกลิ่นไอของวิญญาณชั่วร้ายบนร่างกาย
อย่างไรก็ตาม… การแต่งกายของพวกเขาไม่เหมือนชาวบ้านแคว้นใดของอาณาจักรเทียนเหอแม้แต่น้อย
พวกเขาเป็นใครกันแน่?
เหตุใดคนผู้นี้ถึงต่อสู้กับคนที่มาจากแดนปีศาจ?
ทั้งยังพัวพันเกี่ยวข้องกับทหารจำนวนมากในกองทัพของนางอีกด้วย?
ทันทีที่ซูจิ่นซีเห็นสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน เยี่ยโยวเหยาก็มาถึง เขาถือกระบี่เสวียนหยวนและยืนเคียงข้างซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชาและเคร่งขรึม
นอกจากทหารที่ประจำการอยู่ในค่ายทหารแล้ว ทหารจากแคว้นหนานหลีจะลาดตระเวนบริเวณโดยรอบในระยะห้าลี้
ทหารลาดตระเวนคิดว่าทั้งสองกลุ่มอาจไม่หวังดีต่อค่ายทหาร จึงระดมกำลังคนจำนวนมากและพยายามยุติการต่อสู้
ทว่ากลับมีคนเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ พวกเขาที่อยู่ในสถานการณ์เกิดเสียเปรียบและได้รับบาดเจ็บ จึงถอยกลับอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางสั่งทหารของแคว้นหนานหลีให้ยืนอยู่กับที่ ไม่ให้บุกโจมตีเข้าไป
ในที่สุด การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็มีช่องว่าง ชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาและสวมชุดลายใบไผ่สีเขียวก้าวออกมาและใช้มือจับไปที่บาดแผล
“ข้าไม่มีความแค้นเคืองกับท่าน เหตุใดท่านจึงสังหารพวกเรา? ท่านเป็นผู้ใดกันแน่? ”
ราชาเฮยซาหู่ถอยห่าง ทว่าแววตายังดุดันไม่ลดละ สัตว์ร้ายและผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่เบื้องหลังเขายังคงเปล่งเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวอย่างต่อเนื่อง ราวกับสัตว์ร้ายที่มองเห็นเหยื่อของมัน
“เฮ้… เจ้าหนุ่มหน้ามน เจ้าไม่มีความแค้นอันใดกับข้าก็จริง ทว่าข้าพอใจของมีค่าของเจ้าเข้าเสียแล้ว หากรู้ตัวก็มอบดินแดนลึกลับเสวียนคงออกมา วันนี้ข้าอาจพิจารณาให้สกุลฉู่ของเจ้าเหลือทายาทไว้สืบทอด”
ดินแดนลึกลับเสวียนคงเป็นศาสตราเทพโบราณไม่ใช่หรือ?
ซูจิ่นซีอดหันไปมองชายหนุ่มรูปงามในชุดลายใบไผ่สีเขียวไม่ได้
ตำนานกล่าวไว้ว่ามันได้สูญหายไปนานแล้ว เช่นนั้น มันเกี่ยวข้องอันใดกับบุรุษผู้นี้?
แซ่ฉู่… บุคลิกและการแสดงออกของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นผู้ใดกันแน่?