เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชะงัก ยังไม่ทันตั้งสติ
ชายผู้นั้นขมวดคิ้ว ถามเสียงดังอย่างไม่พอใจว่า “ทำไม หรือเจ้าไม่ยินยอม”
เถ้าแก่รู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาดีใจมากและรีบพยักหน้าหงึกๆ “ยินยอมขอรับ ยินยอม ข้าน้อยยินยอมขอรับ” คนที่ไม่ยินยอมเรื่องดี แบบนี้คงมีเพียงคนโง่
ชายหนุ่มพยักหน้า “ดี เพื่อรักษาความสะอาดในห้อง ต้องส่งคนมาทำความสะอาดทุกวัน หากข้ารู้ว่าไม่ได้ทำตาม โรงเตี๊ยมนี้ก็เตรียมปิดไปได้เลย”
เถ้าแก่แทบจะยกมือยกเท้าขึ้นมารับประกัน “แน่นอนขอรับ ข้าน้อยจะส่งคนมาทำความสะอาด คุณชายวางใจได้เลยขอรับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า เดินจ้ำอ้าวลงไปออกจากโรงเตี๊ยม ชายชุดดำสองสามนายยืนนอบน้อมอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นชายหนุ่มก็ขานเรียกพร้อมกันว่า “เจ้านาย!”
ชายหนุ่มกวาดตามองพวกเขา
รถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ชายหนุ่มหันศีรษะกลับไปมองห้องของหวงฝู่สือเมิ่งด้วยความอาลัยครู่หนึ่ง แล้วเดินขึ้นรถม้าไป
รถม้าจากไปไกล
ส่วนชายผู้เป็นน้าอยู่จัดการเรื่องที่เหลือ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็จากไป โรงเตี๊ยมกลับคืนสู่ความสงบ
แขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมออกจากห้องของตนเพื่อแอบสังเกตการณ์จากประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีคนแล้ว ก็ถอนหายใจโล่งอก บอกคนอื่นๆ อย่างดีใจว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ทุกคนต่างยินดีปรีดา รู้สึกประหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติทั้งปวง
เถ้าแก่รู้สึกราวกับฝันไป เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น จนเขาต้องยื่นมือไปหยิกขาตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง เจ็บ เจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว แสดงว่านี่คือเรื่องจริง เขาไม่ได้ฝันไป มีคนมาเหมาห้องทั้งสี่ห้องของเขาทุกวันจริงๆ จู่ๆ ขาของเขาก็มีแรงขึ้นมา ตัวก็ไม่สั่นเทาอีก เขาลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่ว รีบวิ่งเสียงดัง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง กลับไปที่โต๊ะรับเงินของตน เขาโค้งลำตัวลง หยิบตัวอักษรสีแดงมงคลตัวใหญ่สองตัวออกมาจากใต้โต๊ะ ชูขึ้นแล้วสั่งเสี่ยวเอ้อร์ว่า “เร็วเข้า ไปติดไว้ข้างนอก นี่เป็นโชคลาภอันประเสริฐเลยนะ”
เสี่ยวเอ้อร์ก็เพิ่งตั้งสติได้ ขานรับ แล้วรีบวิ่งเข้ามา ค่อยๆ รับอักษรมงคลไปอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกไป
“เจ้างั่ง แป้งเปียกล่ะ แป้งเปียกด้วย” เมื่อเถ้าแก่เห็นเขาเดินออกไปอย่างเงอะงะ ก็รีบปรามเขา
เสี่ยวเอ้อร์ได้สติกลับคืนมาทันที เขาลูบศีรษะพลางหัวเราะแหะๆ แล้วรีบวิ่งปรื๋อไปหลังเรือนเพื่อทำแป้งเปียก
เถ้าแก่ยิ้มมองเขา เขายืดอกขึ้น แล้วนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มท่านนั้นยังสัญญาว่าจะให้ทองแก่เขาด้วย ไม่รู้ว่าจะให้พร้อมค่าห้องด้วยไหมนะ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจความเคลื่อนไหวข้างล่างอีก หลังจากเข้าห้อง ก็ถอดเสื้อนอกออก แล้วนอนราบลงบนเตียงพักผ่อนทันที ส่วนสาสน์สำหรับการออกนอกชายแดนก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนโยนวางลงบนโต๊ะ
“พรุ่งนี้ต้องกำชับพวกเขาว่าห้ามใครพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอุบอิบเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเหลือบมองเขา ส่ายศีรษะ ไม่ได้พูดอะไร
เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งหกคนตื่นแต่เช้า เก็บสัมภาระของตน และให้เสี่ยวเอ้อร์ส่งอาหารเช้าขึ้นมา หลังจากทานเสร็จ ก็ลงไปชั้นล่างเพื่อจ่ายค่าห้อง
“มิต้องแล้วขอรับ เมื่อวานคุณชายท่านนั้นช่วยจ่ายให้พวกท่านแล้วขอรับ” เถ้าแก่ปฏิเสธรับเงิน
หวงฝู่อี้เซวียนควักเงินออกมาวางลงบนโต๊ะ “นั่นมันของเขา ส่วนนี่ของเรา ห้องที่เราพักเราย่อมเป็นคนจ่ายเอง”
เถ้าแก่ชะงัก มองไปที่หลินหันเยียน
หลินหันเยียนแปลตามนั้นทุกตัวไม่ตกหล่น
เถ้าแก่ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร ในขณะที่ยังคิดไม่ตกนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกไปแล้ว
คนที่เหลือเดินตามหลังไป
“นี่ท่าน…” เถ้าแก่ยื่นมืออยากจะรั้งไว้
แต่หวงฝู่อี้เซวียนและคนที่เหลือควบขึ้นม้าและทะยานตัวออกไปแล้ว
เถ้าแก่กลืนคำพูดกลับไปหมด เขามองเงินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไปหยิบเงินขึ้นมา เขาไม่ได้เก็บเข้าไปใต้โต๊ะ แต่เก็บเข้าไปในกล่องเล็กใบหนึ่ง พูดอุบอิบเสียงเบาว่า “ข้าจะห่วงเรื่องเล็กจนเสียเรื่องใหญ่ไม่ได้ รอแขกกลุ่มนี้มาอีกเมื่อใด ข้าค่อยคืนให้พวกเขาดีกว่า”
หลังจากออกนอกเมือง ผู้คนก็เบาบางลง ทุกคนจึงเร่งความเร็วขึ้น แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อมาถึงเขตชายแดน เสียงสู้รบกันก็ดังมาจากแดนไกล
หวงฝู่อี้เซวียนร้อนรนใจ ขี่ม้าพุ่งตรงไปที่หน้าทหารนายหนึ่งที่ยืนเฝ้าด่านชายแดนอยู่
ทหารตกใจ พร้อมกับยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่พวกเขาทั้งหกคน “ถอยไป ถอยไป หากไม่ถอยอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ลงจากม้า ส่งผ้าไหมในมือให้ทหารนายหนึ่ง “สาสน์จากผู้บังคับบัญชา!”
ทหารรีบยื่นมือไปรับ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เปิดสาสน์ออกอย่างฟังหูไว้หู เมื่ออ่านเนื้อหาและเห็นตราประทับ ก็รีบคุกเข่าลง
“ไม่ต้อง เปิดประตูเมืองเสีย เราต้องออกไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเสียงสู้รบที่ดังมาจากแดนไกลแจ่มชัดยิ่งขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งร้อนใจ
ทหารขานรับ โบกมือสั่ง “เปิดประตูเมือง เปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองอันหนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกจนเห็นช่องว่างเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนก็สะบัดบังเ**ยนควบม้าทะยานตัวออกไปอย่างอดใจไม่ไหว ลูกๆ ทั้งสามและหลินหันเยียนอยู่ตรงกลาง ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ท้ายสุด
เมื่อออกจากชายแดน หวงฝู่อี้เซวียนก็เร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก เขาแทบจะตะบึงไปตลอดทางจนถึงชายแดน
ประตูเมืองของรัฐอู่ปิดแน่นสนิท ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก
ด้วยความเร่งรีบของทั้งหกคนทำเอาฝุ่นตลบไปทั่ว ทหารเฝ้าเมืองมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าประตูตระโกนบอกให้พวกเขาหยุด
หวงฝู่อี้เซวียนขี่ม้ามาถึงหน้าพวกเขาทันที เขาดึงบังเ**ยน เงยหน้าขึ้น แล้วสั่งว่า “เปิดประตู!”
ฉู่เหวินเจี๋ย อ๋องฉี เมิ่งชิงและหลินจ้งไปสนามรบกันหมดแล้ว เหลือเพียงทหารส่วนน้อยเฝ้าประตูเมือง ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ทหารย่อมไม่เปิดประตูเมืองง่ายๆ เป็นธรรมดา เขาถามเสียงดังว่า “เจ้าคือ…”
ยังไม่ทันรอให้เขาถามจบ หลินหันเยียนก็ขึ้นมาข้างหน้า เงยหน้าขึ้น “เปิดประตู ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยกลับมาแล้ว”
หลินหันเยียนอยู่ชายแดนมาสิบกว่าปี ทหารเฝ้าประตูเมืองจึงรู้จักนาง เมื่อได้ยินนางพูด ก็รีบวิ่งลงมาอย่างไม่ลังเล และเปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนกระทุ้งม้าให้มุ่งตรงเข้าไป และพูดทิ้งท้ายว่า “พวกเจ้ากลับเมืองไปเสีย ข้าจะไปดูที่สนามรบเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากแล้วตามไป สั่งคนที่เหลือว่า “พวกเจ้ากลับเมืองไปเสีย”
สองสามีภรรยาขี่ม้าตามกันไปที่สนามรบ
หลินหันเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เร่งม้าไปข้างหน้าหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ “ท่านหญิงน้อย คุณชายใหญ่ พวกเรากลับกองบัญชาการกันก่อนเถอะ”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
แล้วทุกคนก็มุ่งหน้าไปทางกองบัญชาการ
ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนควบม้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามหลังมา เมื่อหันศีรษะกลับไป เห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ตามมา จึงผ่อนความเร็วลง รอจนนางตามทันแล้ว ก็ควบม้าเคียงข้างกันไปสนามรบอย่างเร่งรีบ
เมื่อควบม้าไปได้ครู่หนึ่ง เสียงสู้รบพลันหายไป ราวกับว่าการสู้รบในสนามรบหยุดนิ่งไป
หวงฝู่อี้เซวียนคร่ำเครียดหนักกว่าเดิม พลันรู้สึกถึงลางร้ายที่จะเกิดขึ้น เขาสะบัดบังเ**ยนแรงขึ้นกว่าเดิม เร่งม้าให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
สนามรบในตอนนี้เงียบสนิท ไม่เพียงแต่ฉู่เหวินเจี๋ย อ๋องฉี และเมิ่งชิงที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้แต่หลินจ้งเองก็โกรธจนอยากจะฉีกเนื้อกินเลือดองค์ชายใหญ่เสียให้ได้
เมื่อตอนที่ทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด องค์ชายใหญ่ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่แดนไกลก็สั่งคนให้ตีระฆังถอยทัพ ทหารรัฐอิงถอยทัพกลับไปดั่งสายน้ำไหล ครั้นทหารรัฐอู่จะบุกไล่ตามไป องค์ชายใหญ่ก็หัวเราะลั่น เสียงหัวเราะนั้นทั้งดุร้ายและได้ใจ
ฉู่เหวินเจี๋ยมีลางสังหรณ์ไม่ดี จึงสั่งคนตีระฆังถอยทัพ ทหารรัฐอู่ถอยร่นกลับมา
องค์ชายใหญ่โบกมือ เสาที่อยู่บริเวณประตูเมืองที่ไกลออกไปก็ค่อยๆ แขวนร่างคนหนึ่งขึ้นมา
“ฉู่เหวินเจี๋ย เจ้าดูซิว่านี่ใคร” องค์ชายใหญ่ถามเสียงสูง
ทุกคนเงยหน้ามองไป
คนที่ถูกแขวนสวมเสื้อผ้าเด็กของรัฐอู่ ศีรษะของนางห้อยลง ปล่อยผมยาวปรกใบหน้า ลำตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด รูปร่างนั้นคล้ายหวงฝู่เย่าเย่ว์นัก
ทุกคนใจเต้นรัว ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงบ้าคลั่งและเย่อหยิ่งขององค์ชายใหญ่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “สาวน้อยคนนี้ปลอมตัวเป็นชายปะปนเข้ามาในจวนองค์ชายใหญ่ของข้า แต่ถูกข้าจับได้ ข้าทรมานนางจนนางให้คำสารภาพว่าเป็นท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉีแห่งรัฐอู่ของท่าน แม้แต่ฟ้ายังเข้าข้างและประทานโอกาสอันดีเช่นนี้มาให้ข้าเลย”
อ๋องฉีทนไม่ไหว เร่งม้าขึ้นไป ตะโกนอย่างโมโห “ท่าป๋าหั่นมู่ เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
องค์ชายใหญ่หัวเราะเบาๆ “ข้าจะเอาอย่างไรหรือ ก็ต้องการเจรจาเงื่อนไขกับพวกเจ้าไงเล่า ข้าไม่โลภหรอก ขอแค่สิบคูเมืองพอ”
“ฝันไปเถอะ!” ฉู่เหวินเจี๋ยก็ควบม้าขึ้นไป เคียงบ่าอ๋องฉี ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เมื่อตนมีอำนาจในมือ องค์ชายใหญ่ก็รู้สึกเหนือกว่า เขายิ้มถามว่า “อย่างนั้นหรือ”
พูดจบก็โบกมือ คนที่ถูกแขวนอยู่ถูกปล่อยลงมาเล็กน้อย ทหารนายหนึ่งยื่นมือไปฉีดเสื้อผ้าของคนที่ถูกแขวนจนขาดวิ่น เผยผิวขาวเนียนของนาง
เสียงคำถามขององค์ชายใหญ่ก็ดังขึ้น “อย่างนี้ล่ะ”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” อ๋องฉีถูกเย้าแหย่จนเสียสติ กำลังจะควบม้าขึ้นไป
ทหารข้างกายขององค์ชายใหญ่ต่างยกธนูขึ้นมาเล็งไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียง
ฉู่เหวินเจี๋ยรีบดึงอ๋องฉีไว้อย่างทันท่วงที “ท่านอ๋อง อย่าอุกอาจไปก่อนเลย เรายังไม่เห็นหน้าของคนที่ถูกแขวนเลย ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเยว่เอ๋อร์หรือเปล่า”
ไม่เสียชื่อฉู่เหวินเจี๋ยที่เป็นท่านแม่ทัพที่เปี่ยมประสบการณ์ เขารู้สึกตงิดใจว่าอาจเป็นแผนการขององค์ชายใหญ่ จึงเข้าห้ามอ๋องฉีไว้
อ๋องฉีตาแดงก่ำราวกับเสียสติไป สิบกว่าปีมานี้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เหมือนกับชีวิตของเขา หากเป็นเยว่เอ๋อร์จริงๆ นางถูกเหยียดหยามเช่นนี้ต่อสายตาทุกคน ต่อไปนางจะเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างไร จะมีที่ยืนในเมืองหลวงอีกหรือไม่
คำพูดของฉู่เหวินเจี๋ยดึงสติเขากลับมาได้เล็กน้อย เขาเงยหน้า มององค์ชายใหญ่ด้วยสายตาแดงก่ำอย่างดุร้าย
เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นสายตาคู่นั้น ก็หัวเราะเสียงดัง “ทำไมหรือ คิดดีแล้วหรือยัง หรือคิดว่ายังไม่ตื่นเต้นพอ อยากให้ทหารของข้าทุกคนเห็นสรีระอันงดงามของท่านหญิงน้อยของรัฐท่านล่ะ”
ในขณะที่เขากำลังพูด ก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง
“ช้าก่อน!”
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดห้ามเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
องค์ชายใหญ่มองไปที่เขา
“เงื่อนไขคุยกันได้ พวกเจ้าเงยศีรษะของคนบนเสานั่นขึ้นมาให้พวกเราดูเสียหน่อยว่าใช่ท่านหญิงน้อยหรือไม่”
“ไม่เสียชื่อที่เป็นท่านแม่ทัพแห่งรัฐอู่ที่ทำให้ข้าพ่ายแพ้มาหลายวัน คิดได้รอบคอบเสียจริง แต่น่าเสียดาย ครั้งนี้ต้องทำเจ้าผิดหวังแล้วล่ะ คนบนเสานี้คือท่านหญิงน้อยของพวกเจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะว่าซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยของอ๋องฉีแห่งรัฐท่านบุกรุกเข้ามาจวนของข้าเพื่อช่วยเหลือสาวน้อยคนนี้อย่างไม่คิดชีวิต แต่น่าสายดาย…”