“เจ้าทำอะไรพวกเขาไป” อ๋องฉีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหูอื้อ หน้ามืดตามัว เขาถามขึ้นอย่างโมโห
“พวกเขาก็หนีไปได้ไงเล่า หากข้าจับพวกเขาได้ ยังจะมาพล่ามกับเจ้าตรงนี้รึ คงเอ่ยปากขอสิบคูเมืองกับเจ้าไปตรงๆ แล้วล่ะ” องค์ชายใหญ่พูดทีเล่นทีจริง
ความห่วงใยทำให้จิตใจวอกแวก อ๋องฉีเชื่อเขาทันที
ฉู่เหวินเจี๋ยกลับเกิดคำถามมากมาย เขาลืมตาและหรี่ตามองไป สังเกตหญิงสาวที่ถูกแขวนอยู่อีกครั้ง กำลังวังชาของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นไม่ใช่ย่อย เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ผสมยาสลบเป็นมากมาย หากสืบความรู้มาว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ในจวนองค์ชายใหญ่ พวกเขาต้องหาวิธีช่วยเย่ว์เอ๋อร์ออกมาให้ได้เป็นแน่ จะไม่ปล่อยให้นางต้องตกอับถึงปานนี้หรอก
เมิ่งชิงก็จับพิรุธได้ ในที่สุดหัวใจที่ร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาก็เย็นลง
อ๋องฉีอดกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหว เอ่ยปากพูดเสียงดังว่า “ได้ ข้ายอมตกลงตามเงื่อนไขของเจ้า เจ้าปล่อยคนลงมาก่อนค่อยว่ากัน”
องค์ชายใหญ่นิ่ง ไม่ขานรับใดๆ หัวเราะเยาะว่า “ปล่อยคนก่อนหรือ พวกเจ้าจะหลอกลวงข้าอย่างเด็กสามขวบหรืออย่างไร”
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรล่ะ” อ๋องฉีเหลือบมองคนที่ถูกแขวนอยู่บนเสา แล้วถามขึ้นอย่างใจร้อน
“ท่านแม่ทัพถอยไปสองร้อยลี้ มอบสิบคูเมืองให้ข้า ข้าย่อมปล่อยคนทันที!”
“ฝันไปเถอะ!” ครั้นอ๋องฉีกำลังจะตอบตกลง ฉู่เหวินเจี๋ยก็ปฏิเสธขึ้นก่อน
“แม่ทัพฉู่ เจ้า…” อ๋องฉีหันศีรษะไปด้านข้าง จ้องเขาด้วยความโมโห
ท่านแม่ทัพมองไปข้างหน้า พูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มีพิรุธ ท่านลองคิดดูดีๆ สิ หากเป็นเย่ว์เอ๋อร์จริงๆ ท่าป๋าหั่นมู่ต้องให้เราเห็นหน้าเลยทันที แต่เขากลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นหมายความว่า จริงๆ แล้วเย่ว์เอ๋อร์ถูกช่วยออกมาแล้ว ไม่ได้อยู่ในมือเขาแล้ว เขาจึงรู้สึกประหม่าเช่นนี้”
อ๋องฉีชะงัก ความโมโหที่กำลังจะลุกโชนพลันดับลง เขาเงยหน้าขึ้น หรี่ตาลงมองไปที่คนที่ถูกแขวนอยู่อย่างถี่ถ้วน
องค์ชายใหญ่เห็นเพียงริมฝีปากของฉู่เหวินเจี๋ยที่ขยับไปมา ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าหลังจากอ๋องฉีฟังจบแล้ว ก็ใช้สายตามองสำรวจผู้หญิงที่ถูกแขวนไว้ จึงรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยเกิดความคลางแคลงใจเสียแล้ว เขาก่นด่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามเสียงสูงว่า “เอาอย่างไร พวกเจ้ายอมหรือไม่ยอม”
“เงื่อนไขน่ะข้ายอมได้ เจ้าปล่อยคนลงมาก่อน ให้เราดูก่อนว่าใช่เย่ว์เอ๋อร์จริงๆ หรือไม่” ฉู่เหวินเจี๋ยตอบ
องค์ชายใหญ่จะกล้าตกลงได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ถูกแขวนอยู่นั้นถูกปลอมตัวมา เป็นแผนการที่เขาใช้ปัญญาเค้นคิดจนผมแทบจะหงอกไปทั้งศีรษะ หลังจากที่เจรจาแล้วไม่ได้ประโยชน์อันใดและสถานการณ์การรบที่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เขาสั่งให้ลูกน้องไปหามา โดยเลือกหญิงสาวที่มีรูปร่างคล้ายหวงฝู่เย่าเย่ว์มากที่สุดจากหมู่บ้านข้างๆ มาปลอมตัวเป็นนาง หากส่งคนให้พวกเขาดู ย่อมถูกเปิดโปง องค์ชายใหญ่ข่มความกลัวและความไม่สบายใจไว้ แสร้งทำทีท่านิ่งไว้ ร้อง ฮึ เบาๆ อย่างไม่พอใจ พูดโดยใช้วิธียุแหย่ว่า “ข้าได้ยินมาว่าอ๋องฉีของรัฐท่านนั้นรักเอ็นดูหลานสาวหนักหนา แต่ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกัน คงเป็นเพียงข่าวลือ ไม่ใช่ความจริงสินะ”
“ที่เจ้าไม่ยอมให้พวกข้าเห็นนาง หรือเป็นเพราะว่าคนบนนั้นเป็นตัวปลอม และเย่ว์เอ่อร์ถูกเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ช่วยออกมาแล้วกันแน่” ฉู่เหวินเจี๋ยถามด้วยเสียงเย็นชา
องค์ชายใหญ่ชะงัก จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังเกินความจำเป็น “เป็นไปได้อย่างไร นี่ข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงกีบม้าก็ดังขึ้นจากแดนไกล ในสนามรบที่เงียบสงบนี้ยิ่งทำให้เสียงกีบม้าดังไปทั่ว
ทุกคนมองไป
ม้าสองตัววิ่งเคียงคู่กันมา บนนั้นมีชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคือหวงฝู่อี้เซวียน หญิงคือเมิ่งเชี่ยนโยว
เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นคนบนม้า หน้าพลันเปลี่ยนสี รีบสั่งว่า “ถอย ถอยเร็วเข้า ถอยกลับเข้าไปในเมือง”
เมื่ออ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยเห็นคนบนม้า ก็ดีใจใหญ่ ความคะนึงหาที่อยู่ในใจตลอดก็คลายลง
เหล่าทหารหลีกทางให้ ทั้งสองขี่ม้าจนถึงหน้าอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยทันที
“เซวียนเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ล่ะ” อ๋องฉีรีบถามขึ้น
“พวกนางกลับกองบัญชาการแล้วขอรับ”
ประโยคนี้ดังสะท้อนเข้าไปในใจของอ๋องฉีราวกับเสียงสวรรค์ที่ช่วยลบล้างความกังวลและความไม่สบายใจทั้งหมดออกไป เขาตะโกนเสียงดังว่า “เอาธนูมา!”
พลธนูเดินขึ้นไป ส่งธนูในมือของตนให้เขาอย่างนอบน้อม
อ๋องฉีรับมา เสียบลูกธนูแล้วเกี่ยวสายธนู เล็งตรงไปที่ธงแขวนบนกำแพงเมือง เขาปล่อยมือ ลูกธนูพุ่งออกไปอย่างแรงและเร็ว ปักลงไปที่ธงแขวนของรัฐอิงทันที โดยที่ทหารรัฐอิงยังไม่ทันตั้งตัว อ๋องฉีประกาศกร้าวเสียงดังว่า “ท่าป๋าหั่นมู่ เจ้ารอก่อนเถอะ ภายในสามวัน ข้าจะนำทัพตีเมืองเจ้าให้สิ้นซาก ให้เจ้าได้คุกเข่าต่อหน้าข้า”
องค์ชายใหญ่หนีกลับเข้าไปในเมือง เมื่อได้ยินคำประกาศศึกของอ๋องฉี ลำตัวที่นั่งอยู่บนม้าก็เอนไหวไปมา ตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ที่เขาใช้เวลาฝึกฝนทหารอยู่นาน ก็เพื่อหากวันใดวันหนึ่ง จะได้กลับมาแก้แค้นให้กับศึกที่ตนเคยพ่ายแพ้ แต่เขาประเมินตนเองไว้สูงเกินไป ทหารของรัฐอู่นั้นแข็งแกร่งกว่ารัฐอิงมาก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว หากพวกเขาพูดเอาจริง ภายในสามวันข้างหน้านี้พวกเขาอาจตีเมืองพรมแดนของตนได้จริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็ขานเรียกอย่างเคร่งเครียด “ทหาร!”
ทหารขานรับ
“เจ้ารีบกลับไปเมืองหลวง รายงานเสด็จพ่อ บอกว่าตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ให้ส่งทหารเพิ่มอีกแสนนาย”
“ขอรับ!”
นอกเมือง หลังจากที่อ๋องฉียิงธนูออกไป ทหารของรัฐอู่ก็กู่ร้องอย่างฮึกเหิม ดังกระฮึ่มไปทั่วจนทหารรัฐอิงสั่นสะท้าน
ฉู่เหวินเจี๋ยออกคำสั่ง กองทัพหันหลังเคลื่อนตัวกลับรัฐของตนไป
เมื่อเข้าประตูเมือง อ๋องฉีก็รีบควบม้ากลับกองบัญชาการทันที ทิ้งทุกคนไว้ข้างหลัง
ข้างนอกกองบัญชาการ หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่ายืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นอ๋องฉีควบม้าพุ่งเข้ามา หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ขานเรียก “ท่านปู่!” แล้วรีบวิ่งขึ้นไป
อ๋องฉีดึงบังเ**ยนม้า แล้วกระโดดลงมาจากหลังม้าหยุดอยู่ตรงหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ เขาดึงนางเข้ามา มองหน้ามองหลัง มองซ้ายมองขวา หลังจากสำรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่พบรอยบาดแผลใดๆ ก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ปล่อยนางออก เดินเข้าไปในจวนด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงัก มองไปที่หวงฝู่สือเมิ่งด้วยความสงสัย
“ท่านปู่โกรธแล้วล่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งบอกนางเสียงเบา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงบางอ้อ รีบตามเข้าไป “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ต่อไปข้า…”
“คุกเข่าลง!” อ๋องฉีหยุดเดิน หันศีรษะกลับไปตะคอกใส่นางอย่างโหดเ**้ยม
หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักอีกครั้ง ดวงตากลมโตที่สวยงามมองอ๋องฉีอย่างไม่เชื่อ
“จะให้ข้าพูดซ้ำอีกหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตั้งสติได้ น้ำตาพลันเอ่อขึ้นมา ร้องเรียกด้วยเสียงเวทนา “ท่านปู่” ตั้งแต่เล็กจนโต อย่าว่าแต่คุกเข่าเลย แม้แต่ตะคอกเสียงดัง อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ไม่เคยทำกับนาง
“คุกเข่า!” น้ำเสียงอ๋องฉีหนักแน่นกว่าเดิม
หวงฝู่เย่าเย่ว์คุกเข่าลงบนพื้น
หวงฝู่สือเมิ่งเม้มปากไม่พูดอะไร
หวงฝู่เฮ่าอยากจะขึ้นไปช่วยขอร้อง แต่ถูกหวงฝู่สือเมิ่งรั้งไว้ นางส่ายศีรษะให้ ครั้งนี้น้องเล็กก็เล่นเกินไปจริงๆ หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อและท่านแม่ที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปหานางจนเจอ ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะเป็นศพไปแล้วก็ได้
หวงฝู่เฮ่าชะงักฝีเท้าลง
หวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยว ฉู่เหวินเจี๋ย เมิ่งชิงและหลินจ้งตามหลังเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ไม่มีใครพูดอะไร เดินไปนั่งในห้องโถง
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองพวกเขาด้วยสายตาวิงวอน หวังให้มีคนช่วยนางพูดอะไร แต่ก็ไม่มีใครสนใจนาง
อ๋องฉีเอ่ยปาก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกโทษตนเอง “ที่ข้ารักเอ็นดูเจ้าก็เพราะว่าข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้ขอบเขต รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลย ว่าเจ้ากล้าตามท่านแม่ทัพมาที่พรมแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต และหนีออกจากเรือนโดยพลการไป ทำเอาพ่อแม่ พี่ใหญ่ และน้องชายของเจ้าต้องเสี่ยงชีวิตไปช่วยเจ้าออกมา”
“ท่านปู่ ข้าก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง ข้าแค่อยากออกมาดูชายแดน เมื่อท่านปู่สู้รบเสร็จก็จะกลับเมืองหลวงพร้อมท่านเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์อธิบายเสียงเบา
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือเปล่า ที่ทุกคนในเมืองหลวงประจบประแจงเจ้า ทำดีกับเจ้านั้นเป็นเพราะว่าเจ้าคือท่านหญิง แต่เมื่อออกจากเมืองหลวงไป เจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีตัวตนใดๆ อันตรายที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ปริปากอยากจะแก้ตัว หวงฝู่สือเมิ่งไอกระแอมเบาๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลืนคำพูดกลับไปหมด ยอมรับผิดแต่โดยดี “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าทำแล้วเจ้าค่ะ”
“สำนึกผิดจริงๆ แล้วใช่ไหม” อ๋องฉีถามเสียงทุ้มต่ำ
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าหงึกๆ “รู้แล้วเจ้าค่ะ รู้แล้ว”
“ดีมาก กลับห้องไปตอนนี้เสีย แล้วเขียนความผิดที่เจ้าสำนึกได้มา หากไม่ตั้งใจเขียน ก็ไม่ต้องกินข้าว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกตะลึง เงยหน้าขึ้น มองไปที่อ๋องฉี เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ก็รู้ว่าครั้งนี้อ๋องฉีโมโหจริงๆ ตนก็ทำผิดใหญ่หลวงจริงๆ นางก้มหน้าลง ขานรับอย่างสำนึกผิด
“น้องเล็ก ไปเถอะ ข้าพาเจ้าไปที่ห้อง” หวงฝู่สือเมิ่งเดินขึ้นหน้า พูดเสียงเบา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ลุกยืนขึ้น แล้วตามนางไปที่ห้อง
“พี่เขย ท่านก็เข้มงวดเกินไป เย่ว์เอ๋อร์ยังเล็ก นางแค่ตามมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตำหนิหน่อยเดียวก็พอแล้ว” เมื่อหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์เดินจากไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็เอ่ยปากพูดอย่างสงสาร
เมิ่งชิงก็สงสารเช่นกัน แต่เขาไม่กล้าพูด เมื่อได้ยินฉู่เหวินเจี๋ยพูดดังนั้น ก็รีบพยักหน้าสำทับเห็นด้วยกับเขา
สิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่สั่งสอนหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างเข้มงวด อ๋องฉีสงสารนางมากกว่าใคร เมื่อได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองพวกเขาทีหนึ่ง แล้วกลับไปนั่งที่นั่งของตนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นบรรยากาศที่หนักอึ้งนี้ ก็พูดเสียงเบาว่า “อี้เซวียน เล่าเรื่องที่เราเจอมาสองสามวันนี้ให้เสด็จพ่อและท่านน้าฟังหน่อยเถอะ จะได้ให้พวกท่านเตรียมใจไว้”
เมื่อนางพูดจบ อ๋องฉีก็เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยลางสังหรณ์ไม่ดี “เตรียมใจเรื่องอะไร พวกเจ้าไปให้สัญญาอะไรกับใครไว้หรือ”
“เสด็จพ่อ เราไม่ได้ให้สัญญากับใครอื่น แค่เมิ่งเอ๋อร์ช่วยชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่งไว้โดยบังเอิญ สถานะของชายหนุ่มคนนั้น ข้าและโยวเอ๋อร์เดาว่าน่าจะเป็นไท่จื่อของรัฐหมิงขอรับ…”
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันพูดจบ อ๋องฉีก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที พูดเสียงสูงว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ไท่จื่อรัฐหมิงหรือ เมิ่งเอ๋อร์ช่วยไว้หรือ”
“ใช่ขอรับ เรายังดูออกว่า…”
“ไม่ต้องพูดต่อแล้ว” อ๋องฉีรีบพูดขัดเขาไว้ “เมื่อเสร็จศึกแล้ว เราจะกลับเมืองหลวงทันที ไม่อยู่ต่อแม้แต่วันเดียว”
พูดจบ ก็ชี้ไปที่หลินจ้ง “แล้วก็เจ้า หากคนรัฐหมิงมีความเคลื่อนไหวใด ห้ามปล่อยให้พวกเขาผ่านด่านมาได้ บอกไปเสียว่าข้าบอกมา เรารัฐอู่ไม่ต้อนรับพวกเขา จวนอ๋องฉียิ่งไม่ต้อนรับพวกเขา”