หลินจ้งงุนงง ไม่เข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร แต่ก็ขานรับตามสัญชาตญาณ “ขอรับ ท่านอ๋อง!”
หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะ “เสด็จพ่อ ข้ายังไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไรเลย ท่านร้อนใจไปหน่อยแล้วขอรับ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนก่อน” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น แล้วเดินมุ่งไปทางห้องของตน เมื่อเดินผ่านหลิงจ้งก็พูดกำชับขึ้นอีกครั้ง “จำที่ข้าพูดไว้เลยนะ! ไม่เช่นนั้นตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการของเจ้าก็ไม่ต้องเป็นแล้วล่ะ ไปเลี้ยงแกะที่ชายแดนซะ”
หลินจ้งตัวแข็งทื่อ ชะงักไปครู่หนึ่ง
อ๋องฉีเดินผ่านเขา แล้วกลับห้องของตนไป
“ท่านแม่ทัพ อ๋องฉีหมายความว่า…” หลินจ้งไม่เข้าใจความหมายของอ๋องฉีจริงๆ เขาเกาหัวแล้วถามฉู่เหวินเจี๋ยอย่างเขินอาย
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ส่ายศีรษะหัวเราะ “วันนี้อ๋องฉีอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าไม่ต้องสนใจมากหรอก ทำงานในขอบเขตของตนให้ดีก็พอ”
หลินจ้งพยักหน้าอย่างงุนงง
ฉู่เหวินเจี๋ยหันไปหาหวงฝู่อี้เซวียน ถามว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดต่อสิ สองสามวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ตนและคนอื่นๆ เข้าไปในรัฐอิง และองค์ชายใหญ่นำทหารกั้นชายแดนไว้ ส่วนตนเองจึงจำเป็นต้องพาพวกเขาไปรัฐหมิงอย่างไม่มีทางเลือกให้เขาฟังทั้งหมด
ฉู่เหวินเจี๋ยฟังไปอารมณ์ก็ขึ้นลงตามเนื้อเรื่อง เมื่อฟังจบ เขาก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ดีที่มีสาสน์อนุญาตออกชายแดน ไม่เช่นนั้นหากรัฐหมิงถือโอกาสนี้ส่งทหารมา เราก็คงต้องเป็นฝ่ายตั้งรับแล้วล่ะ”
ตอนนั้นที่หวงฝู่อี้เซวียนทำไปก็เพื่อให้ตนสามารถข้ามชายแดนได้ จึงต้องคิดแผนชั้นเลวอย่างการอุกอาจเข้าไปเช่นนี้ ตอนนี้มานั่งคิดแล้ว ก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมา โชคดีที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นไป ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เกิดการสู้รบระหว่างสองรัฐได้ ประชาชนจะเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
เมื่อเมิ่งชิงฟังหวงฝู่อี้เซวียนเล่าจบ รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอะไร ก็รู้สึกดีใจ “พวกท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วขอรับ วันนี้ท่านอ๋องประกาศศึกไป ภายในสามวันจะตีชายแดนของรัฐอิงให้แตก หากพวกท่านไม่เหนื่อย เรามาหารือกันเสียหน่อยดีไหมขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังแล้ว แต่มีเพียงเรื่องความปรารถนาของท่าป๋าหั่นมู่ที่มีต่อเขาเรื่องเดียวที่ไม่ได้เล่า เมื่อคิดถึงสายตาชวนอาเจียนที่เขาเคยมองมาที่ตนเอง นัยน์ตาความอาฆาตแค้นของหวงฝู่อี้เซวียนก็ปิดซ่อนไว้ไม่อยู่ เขาพยักหน้า กัดฟันขานตอบ “ดี ภายในสามวัน ตีชายแดนให้แตก ฆ่าท่าป๋าหั่นมู่ให้ตายเสีย”
หลังจากหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับถึงห้อง สติของหวงฝู่เย่าเย่ว์ยังไม่กลับมาจากการถูกอ๋องฉีสั่งสอน เมื่อเข้าประตูไป ก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างกลัดกลุ้มใจ
หวงฝู่สือเมิ่งรินน้ำให้แก้วหนึ่ง วางลงข้างหน้านาง “น้องเล็ก สองสามวันนี้ท่านปู่เป็นห่วงแทบแย่ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเจ้าเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่ ท่านก็จะบุกเข้าไปช่วยเจ้าทันที หากไม่ใช่ท่านพ่อท่านแม่ที่คิดหาวิธีให้ท่านปู่เหวินเจี๋ยสกัดไว้ ท่านปู่อาจจะไปกับพวกเราแล้วล่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งเงยหน้า พูดด้วยน้ำเสียงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ข้าไม่ได้โทษท่านปู่ที่ดุและลงโทษข้า แต่เขาไม่ควรทำแบบนี้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ข้าเป็นผู้หญิง เขาทำแบบนี้แล้วต่อไปจะให้ข้าไปเผชิญหน้ากับคนอื่นอย่างไร”
หวงฝู่สือเมิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลูบศีรษะนาง “น้องเล็ก ท่านปู่เคยสอนพวกเรา เราไม่ใช่ประชาชนทั่วไป เราเป็นท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี ทุกคนในเมืองหลวงคอยเฝ้าดูทุกๆ คำพูดและการกระทำของเราอยู่ ถึงแม้ท่านปู่และท่านย่าจะไม่เคยผูกมัดเรา ให้เราใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่สถานะของเรายังคงติดตัวไปทุกแห่ง เจ้าปลอมตัวเป็นผู้ชายหนีออกจากจวน ตอนนี้ข่าวนี้คงจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว และไม่รู้ว่าจะลือกันไปทางไหนบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จำเป็นต้องให้ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ไปจัดการ เจ้าเคยคิดหรือเปล่า หลังจากเจ้ากลับเมืองหลวงไปแล้วต้องเผชิญกับเสียงวิพากวิจารณ์อย่างไร วันนี้ที่ท่านปู่ลงโทษเจ้าเช่นนี้ ก็เพื่อให้เจ้าจดจำไว้ว่า ต่อไปห้ามทำอะไรตามอำเภอใจอีก คิดอยากจะทำอะไรขึ้นมาก็ทำอย่างนั้นเลยทันที นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควรคิดให้ดีก่อนลงมือทำ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดปาก ไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าครุ่นคิด
ในห้องเงียบสงัด
ผ่านไปนาน หวงฝู่เย่าเย่ว์เงยหน้าขึ้น เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นัยน์ตานางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไปเขียนหนังสือสำนึกผิดเดี๋ยวนี้ล่ะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน
หวงฝู่สือเมิ่งยิ้มออกมาจากใจจริง แล้วไปเตรียมกระดาษวางบนโต๊ะให้นาง ช่วยนางฝนหมึก และพูดปลอบนางว่า “น้องเล็ก เจ้ารู้ว่าตนทำอะไรผิดจริงๆ ก็ดีแล้วล่ะ ท่านปู่ไม่โกรธเจ้าจริงๆ หรอก”
เมื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์คิดได้แล้ว ก็อารมณ์ดีขึ้น นิสัยร่าเริงของนางก็กลับมาอีกครั้ง นางแลบลิ้นให้หวงฝู่สือเมิ่งอย่างขี้เล่น “ข้ารู้แล้ว ท่านปู่รักข้าขนาดนี้ ท่านทำใจไม่สนใจข้าแบบนี้ไม่ลงหรอก”
หวงฝู่สือเมิ่งหัวเราะพลางส่ายศีรษะ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก้มศีรษะลงเริ่มลงมือเขียนหนังสือสำนึกผิดอย่างตั้งใจ
ในห้องโถง หลังจากที่ทุกคนหารือกันเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกลับห้องของตนไปพักผ่อน
หลินจ้งมาถึงหลังเรือน ไปหาพ่อแม่ของตนก่อน
ตั้งแต่ที่หลินฉงเหวินและฮูหยินหลินมาอยู่ที่ด่านชายแดน ตอนแรกพวกเขาไม่สามารถปล่อยวางจากเมืองหลวงได้ บางครั้งหลินฉงเหวินก็รู้สึกเศร้าโศกหลังจากตื่นขึ้นมา จนเกือบจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง โชคดีที่ฮูหยินหลินเข้ามาเห็นทันการณ์ และเรียกหมอเข้ามาช่วยเขาไว้ได้
หลังจากการค่อยๆ ชี้นำของฮูหยินหลินและหลินจ้ง และเมื่อปราศจากสิ่งเร้าจากภายนอก หลินฉงเหวินก็ค่อยๆ คิดได้ เขาเริ่มเปิดใจยอมรับความจริง และค่อยๆ คุ้นชินกับชีวิตที่นี่ สติก็เริ่มฟื้นฟูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ครั้งนี้ที่อ๋องฉีและคนอื่นๆ มาที่นี่ หลินฉงเหวินและฮูหยินหลินก็อยู่ที่พักของตนเหมือนกับสามัญชนทั่วไป ไม่ได้ตั้งใจออกไปแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา
หลินจ้งมาถึงห้องของพวกเขา พูดคุยเรื่องการสู้รบของสองสามวันที่ผ่านมานี้ แล้วก็บอกเจตนาในการรบกับรัฐอิงของอ๋องฉีให้พวกเขาฟัง
หลินฉงเหวินฟังแล้วก็พยักหน้า “จ้งเอ๋อร์ ศึกครั้งนี้กับรัฐอิงถือเป็นโอกาสทอง หากสามารถตีรัฐอิงให้แตกภายในสามวันจริงๆ นี่จะเป็นผลงานชิ้นใหญ่ ฮ่องเต้จะประทานรางวัลให้เจ้าอย่างงามแน่นอน ตามการคาดเดาของพ่อ อาจจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงก็ได้”
หลินจ้งชะงักเล็กน้อย เบิกตาโต “นี่ นี่ไม่น่าเป็นไปได้นะขอรับ”
“หากพ่อเดาไม่ผิด ตอนนั้นซื่อจื่ออยากให้เจ้าคอยรับใช้อยู่เมืองหลวง หากไม่ใช่เพราะพ่อแม่ และน้องสาวของเจ้าที่คอยเป็นภาระเจ้า ตอนนี้เจ้าก็อาจเป็นนายสนองในกระทรวงไปแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะขึ้นตำแหน่งเป็นราชเลขาแล้ว”
หลินจ้งส่ายศรีษะ “ท่านพ่อ อย่าพูดเช่นนี้เลย ขอแค่เราทั้งบ้านได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ลูกก็มีความสุขแล้ว ไม่ว่าจะได้ขึ้นตำแหน่งหรือไม่ อีกอย่างเราอยู่ชายแดนมาสิบกว่าปีแล้ว เราคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว พวกท่านทั้งสองก็อยู่อย่างมีความสุข ฉะนั้น เมื่อจบศึกแล้ว ข้าจะไปขอซื่อจื่อด้วยตนเอง ให้เราอยู่ชายแดนด้วยกันอย่างมีความสุขเช่นนี้ต่อไปขอรับ”
หลินฉงเหวินรีบห้ามปราม “อย่าเด็ดขาด พวกเราชราแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญ แต่เด็กๆ ไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาถึงอายุที่ต้องแต่งงานแล้ว หากได้ตบแต่งกับคนในเขตชายแดน ทั้งชีวิตนี้ก็คงต้องอยู่เขตชายแดนตลอดไปแล้ว ตอนนั้นเราตัวถ่วงของเจ้า ตอนนี้เราจะเป็นตัวถ่วงของลูกๆ ไม่ได้อีกนะ ฟังที่พ่อพูดเถอะ ทำตามคำสั่งโยกย้ายของราชวัง เราไม่ดิ้นรนขอกลับเมืองหลวง แต่หากมีโอกาส ก็ไม่ปฏิเสธ”
“แต่ว่า…” หลินจ้งอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
หลินฉงเหวินรู้ว่าเขากังวลสิ่งใดอยู่ พูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพ่อและน้องของเจ้าหรอก สิบกว่าปีผ่านไปแล้ว ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจางลงไปแล้ว สิ่งที่ควรลืมก็ควรลืมได้นานแล้วล่ะ”
เมื่อหลินจ้งได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ว่าพ่อของตนปล่อยวางได้แล้วจริงๆ แต่ตนและน้องสาวนั้น… นึกถึงครั้งแรกที่เห็นสีหน้าของหลินหันเยียนเมื่อครั้นเจอหวงฝู่เฮ่า หลินจ้งก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
หลังจากทักทายกับสองสามีภรรยาหลินฉงเหวินเสร็จ เขาก็มาที่เรือนของหลินหันเยียน
หลังจากหลินหันเยียนเดินทางมาทั้งวัน นางทั้งสกปรกทั้งเหนื่อย เมื่อกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการ จัดแจงหวงฝู่สือเมิ่งและเด็กๆ เสร็จแล้ว ก็กลับเรือนของตนไป สั่งคนนำน้ำร้อนเข้ามา หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว ก็อยากจะนอนอย่างสบายใจสักหนึ่งตื่น แต่ในใจก็พะวงศึกที่กำลังเกิดขึ้น นางจึงได้แต่พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ จนเมื่อได้ยินเสียงทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว จึงหลับตาลงงีบไปครู่หนึ่ง เมื่อหลินจ้งมาหา นางก็เพิ่งตื่นพอดี
หลินจ้งมาถึงในเรือน สาวใช้ยืนรายงานอยู่หน้าประตู
หลินหันเยียนได้ยินแล้วก็เปิดม่านขึ้น เดินออกมาต้อนรับ “พี่ใหญ่ รีบเข้ามาสิ!”
หลินจ้งเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้
หลินหันเยียนรินน้ำแก้วหนึ่งวางไว้ใกล้มือเขา “ศึกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ข้าเห็นสีหน้าของซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยตอนที่ควบม้าไปนั้นเคร่งเครียดมากนัก”
“ไม่ต้องกังวลหรอก สองสามวันนี้ท่าป๋าหั่นมู่ไม่สามารถหลอกล่อเราได้สำเร็จ เขาโมโหมาก นำตัวหญิงสาวคนหนึ่งแกล้งทำทีเป็นท่านหญิงน้อย แขวนนางไว้บนเสา ข่มขู่พวกเราให้ยกสิบคูเมืองให้ โชคดีที่ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาทันเวลา และได้เปิดโปงทุกอย่าง ไม่เยี่ยงนั้นท่านอ๋องที่อยู่ในสถานการณ์ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องเช่นใดออกมา” หลินจ้งเล่าสถานการณ์ศึกของสองสามวันนี้ให้นางฟังอย่างสั้นๆ
“อ๋องฉีรักหลานสาวจนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว เพื่อพวกนางแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมได้หมด นี่ก็ไม่แปลกหรอก” หลินหันเยียนยิ้มพูด เมื่อพูดจบ ก็พูดวกกลับเรื่องเดิมว่า “แต่ว่า ท่าป๋าหั่นมู่คิดแผนอย่างนี้ได้ ก็เกินความคาดหมายของข้าอยู่ไม่น้อย”
“โชคดีที่เขาคิดแผนนี้ออกวันนี้ หากเป็นเมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร” หลินจ้งกล่าว
หลินหันเยียนพยักหน้า
ทันใดนั้นหลินจ้งก็คิดอะไรขึ้นได้ ถามอย่างสงสัยว่า “น้องเล็ก พวกเจ้าพบเจอเรื่องอะไรมาในรัฐหมิงหรือ เหตุใดเมื่อซื่อจื่อพูดจบ ท่านอ๋องก็สั่งข้าว่าต่อไปห้ามให้คนรัฐหมิงผ่านด่านง่ายๆ ล่ะ”
หลินหันเยียนชะงักเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “พี่ใหญ่ขยายความให้ชัดเจนกว่านี้ได้ไหมเจ้าคะ”
หลินจ้งเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟัง
หลินหันเยียนฟังจบก็หลุดหัวเราะ อธิบายว่า “พี่ใหญ่ ชายหนุ่มที่ท่านหญิงน้อยช่วยไว้น่าจะเป็นคนในราชวงศ์ หากข้าเดาไม่ผิด ท่านอ๋องกลัวว่าชายหนุ่มคนนั้นจะชอบท่านหญิงน้อยเข้า แล้วมาขอตบแต่งน่ะสิ”
หลินจ้งถึงบางอ้อ พยักหน้า “ข้าก็ว่า ท่านอ๋องสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเชียวล่ะ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง”
พี่น้องทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลายครั้งที่หลินจ้งอยากจะเล่าเรื่องที่ท่านพ่อคาดเดาไว้ว่าจะมีโอกาสกลับเมืองหลวงให้นางฟัง เพื่อให้นางเตรียมใจไว้ แต่ว่าทุกครั้งเมื่อครั้นจะพูด ก็กลืนคำพูดกลับไป จนเมื่อลุกขึ้นออกจากเรือนของหลินหันเยียนไป ก็ยังไม่ได้พูดออกมา เขาได้แต่ยืนอยู่ข้างนอก หันศีรษะกลับไป แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าการกลับไปเมืองหลวงเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับน้องเล็ก
วันต่อมา แม้ทุกคนจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร อ๋องฉีก็จะตามขบวนศึกครั้งนี้ไป บอกว่าขอเป็นประจักษ์พยานเห็นรัฐอิงถูกตีจนแตกและเจ้าคนสารเลวท่าป๋าหั่นมู่คนนั้นถูกจับเป็นด้วยตาของตนเอง