ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 52 เข้ายึด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อวานอ๋องฉีพูดอย่างฮึกเหิม ทำให้จิตวิญญาณการต้อสู้ของเหล่าทหารถูกกระตุ้น วันนี้ตลอดทางที่ทุกคนมาถึงชายแดนรัฐอิง ก็เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจที่เต็มเปี่ยมและเลือดเนื้อที่เดือดพล่าน 

 

 

วันนี้ท่าป่าหั่นมู่มิได้เปิดประตูรับศึก เขายืนคร่ำเครียดอยู่บนกำแพงเมือง เมื่อวานเขาสั่งคนกลับไปขอเสด็จพ่อส่งทหารมาแสนนาย แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่แม้แต่จะเห็นเงาคนเลยสักนาย  

 

 

เมื่อถึงชายแดนรัฐอิง ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นประตูเมืองไม่ได้เปิด ก็ถือโอกาสขณะที่ยังฮึกเหิมกันอยู่ ออกคำสั่งให้คนไปตะโกนท้าทายหน้าประตูเมือง 

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่ไม่ได้ตอบรับคำท้าทาย เอาแต่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองทหารด้านล่างที่อยู่เต็มทุกหย่อมหญ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างมุ่งร้าย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

เมื่อตะโกนท้าทายแล้วเขาไม่ตอบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ออกคำสั่งรุกโจมตี  

 

 

เหล่าทหารของรัฐอู่ยกบันไดและท่อนซุงมา บ้างปีนป่ายขึ้นไป บ้างกระทุ้งประตูเมือง  

 

 

การเข่นฆ่าอันชุลมุนเริ่มขึ้น เสียงร้องฆ่าฟันกันดังไปไกล ผู้คนในชายแดนของรัฐอู่ได้ยินชัดเจน ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมืองและยืนอยู่บนประตูเมืองนั้นยิ่งได้ยินชัดราวกับตนอยู่ในสนามรบเอง  

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ประตูเมืองกำลังจะถูกตีแตก เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังขึ้นจากในเมืองชายแดนรัฐอิง ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป  

 

 

องค์ชายใหญ่ดีใจนัก ในที่สุดทหารแสนนายก็มาถึงเสียที คนของฉู่เหวินเจี๋ยตายและบาดเจ็บไปมากแล้ว คงเป็นคู่ต่อสู้คนละชั้นกับตนไปแล้ว  

 

 

องค์ชายใหญ่เดินลงมาจากกำแพงเมือง เขาขึ้นควบม้ารบ แล้วออกคำสั่ง “เปิดประตู วันนี้ข้าจะฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก” 

 

 

ประตูเมืองที่กำลังจะถูกตีแตกถูกเปิดออก องค์ชายใหญ่พุ่งตัวออกไปทันที  

 

 

เมิ่งชิงถือดาบขึ้นไปหา  

 

 

ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด เมิ่งชิงมีกำลังมาก วิชาบู๊นั้นได้เปรียบกว่า จึงอยู่เหนือกว่าเขา  

 

 

เมื่อมีทหารแสนนายเป็นกองหนุน องค์ชายใหญ่ก็มีกำลังใจ ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ อีก ยังคงสู้รบกับเขาอย่างใจเย็น  

 

 

เมิ่งชิงก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในทันที  

 

 

อ๋องฉีเห็นดังนั้น ก็เร่งม้าขึ้นมาข้างหน้า หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเขาไว้ “เสด็จพ่ออยู่เฉยๆ เถอะขอรับ ลูกไปเอง!” 

 

 

หลังจากเร่งม้าขึ้นมาหน้าเขา ก็ตะโกนว่า “ชิงเอ๋อร์ ถอยไป!” 

 

 

เมิ่งชิงแสร้งตวัดดาบทีหนึ่ง แล้วถอยกลับไปข้างกายเขา  

 

 

เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นว่าเป็นเขา ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เขากวัดแกว่งอาวุธและเข้าจู่โจมทันที  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนม้าอย่างสง่า เมื่อเขามาถึงข้างหน้า ก็กระโดดลอยตัวขึ้นมาจู่โจมหาอย่างรุนแรง เพื่อเอาชีวิตเขาทันที 

 

 

กำลังวังชาขององค์ชายใหญ่ก็ไม่น้อยหน้า เขาหลบการโจมตีของหวงฝู่อี้เซวียนได้อย่างหวุดหวิด  

 

 

ทั้งสองสู้กันไปมา จนผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า  

 

 

ทหารทั้งสองรัฐก็กำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด  

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยและอ๋องฉียืนดูอยู่รอบนอก  

 

 

เมิ่งชิงนำเหล่าทหารขึ้นไปหวังจะตีประตูเมืองให้แตก  

 

 

วิชาต่อสู้ของหวงฝู่อี้เซวียนและองค์ชายใหญ่สูสีกัน ทั้งสองสู้รบฟาดฟันกันไปมาร้อยกว่ากระบวนท่า ก็ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะ  

 

 

ตอนนี้เอง ทหารของรัฐอู่ก็เริ่มหมดแรง  

 

 

“ตีระฆังถอยทัพ!” ฉู่เหวินเจี๋ยตัดสินใจออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดในยามวิกาล  

 

 

อ๋องฉีเองก็รู้ว่าการรบของฝั่งตนค่อนข้างเสียเปรียบ จึงไม่ได้ห้าม  

 

 

ทหารรัฐอู่ถอยทัพดั่งสายน้ำไหล  

 

 

ทหารของรัฐอิงก็ไม่ได้ไล่ตาม เพราะไม่มีคำสั่งจากองค์ชายใหญ่  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ยินเสียงตีระฆังแล้ว ครั้นอยากจะผละตัวถอยกลับ องค์ชายใหญ่ก็หัวเราะขึ้น และคอยตามรังควานเขาไม่ปล่อย “อยากหนีไปหรือ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก อยู่ให้ข้าได้ปลดปล่อยสักคราเถอะ” 

 

 

เมิ่งชิงเห็นดังนั้นก็อยากจะเข้าไปช่วยเหลือ  

 

 

อ๋องฉีห้ามเขาไว้  

 

 

เขารู้สึกถึงรังสีความอาฆาตที่อยากลงมือสังหารจากตัวหวงฝู่อี้เซวียนเมื่อพูดถึงองค์ชายใหญ่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดี  

 

 

ในชั่วขณะนั้น ในสนามรบเหลือเพียงการสู้รบของพวกเขาสองคน  

 

 

ทุกคนมองไปที่พวกเขา  

 

 

เมื่อองค์ชายใหญ่พูดจบ รังสีอำมหิตของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งมีมากขึ้น กระบวนท่าก็ดุดันมากขึ้น  

 

 

องค์ชายใหญ่ไม่กล้าดูถูกศัตรูอีก สู้อย่างจริงจัง 

 

 

ผ่านไปอีกสิบกระบวนท่า เหงื่อซึมไปทั่วหน้าผากทั้งสอง สนามรบทั้งสนามก็เงียบสงัด ทุกคนดูการต่อสู้ที่ทวีความดุเดือดของทั้งสอง ในใจอดให้กำลังใจฝ่ายตนไม่ได้  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังคงโจมตีอย่างสงบนิ่ง เมื่อไม่สามารถเอาชนะกันได้ องค์ชายใหญ่ก็เริ่มแสดงสีหน้าร้อนรน วันนี้เป็นโอกาสทอง หากจับหวงฝู่อี้เซวียนไว้ได้ ก็จะได้คูเมืองของรัฐอู่มาด้วย เมื่อคิดถึงตรงนั้น จิตใจก็วอกแวก จนเผยจุดอ่อนการโจมตี หวงฝู่อี้เซวียนถือโอกาสนี้ลงมืออย่างไม่ลังเล องค์ชายใหญ่กระเด็นลอยออกไปราวกับเชือกว่าวที่ขาดผึง 

 

 

“องค์ชายใหญ่!” ทหารรัฐอิงร้องตะโกนอย่างตกใจ พวกเขาขยับตัว คิดจะรับเขาไว้  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจะยอมให้พวกเขาทำตามใจได้อย่างไร เขารีบกระโดดตามไป หมายจะเอาชีวิตองค์ชายใหญ่เสีย  

 

 

เหล่าทหารรัฐอิงรีบยกอาวุธขึ้นมากันเขาไว้  

 

 

“เซวียนเอ๋อร์ กลับมา ที่เหลือปล่อยให้เราจัดการ” ฉู่เหวินเจี๋ยตะโกน ในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง “ตีกลองบุก!” 

 

 

องค์ชายใหญ่กระเด็นออกไป เพิ่มขวัญกำลังใจให้กับทหารรัฐอู่ยิ่งนัก ความเหนื่อยล้าเมื่อครู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความฮึกเหิม ทหารโบกธงร้องตะโกนลุยเข้าไป  

 

 

การโจมตีของหวงฝู่อี้เซวียนเมื่อครู่นั้น เกือบจะเอาชีวิตขององค์ชายใหญ่ไปแล้ว แม้จะถูกเหล่าทหารรับไว้ทันจากการร่วงลงมาจากที่สูง แต่ก็กระอักเลือดออกมาสองสามอึก เขาหน้ามืดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ฝืนสั่งเหล่าทหารทันทีว่า “ถอยทัพ! ถอยกลับไปในเมือง!” 

 

 

ทหารรัฐอิงถอยกลับไปทั้งหมด หวังจะปิดประตูเมือง  

 

 

เมิ่งชิงนำทหารบุกเข้าไปจนถึงหน้าประตูเมือง จะยอมให้พวกเขาปิดประตูอย่างง่ายกายได้อย่างไร  

 

 

การสู้รบดุเดือดขึ้นอีกครั้ง เสียงเข่นฆ่าและเสียงฟาดฟันดังระงมไปทั่ว  

 

 

จนเมื่อประตูเมืองแตก องค์ชายใหญ่ก็โมโหจนกระอักเลือดออกมาอีกสองสามอึก เขาฝืนนั่งตัวโซซัดโซเซอยู่หลังอานม้า หลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วออกคำสั่งอย่างเจ็บปวดใจว่า “ละทิ้งคูเมือง ถอยกลับยี่สิบลี้!” 

 

 

องค์ชายใหญ่นำทหารถอยทัพ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ได้สั่งคนให้ตามไล่ล่า เขาสั่งคนให้ทำความสะอาดสนามรบ จัดแจงทหารที่บาดเจ็บ และส่งจดหมายกลับไปที่ชายแดน บอกเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ว่าชายแดนของรัฐอิงถูกตีแตกแล้ว หลังจากเข้าควบคุมอย่างเคร่งครัดและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว พรุ่งนี้จะบุกเข้าไปที่เมืองหลวงของรัฐอิงต่อไป  

 

 

เมื่อได้ข่าว เหล่าทหารที่ประจำอยู่ในเมืองก็โห่ร้องยินดี เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากไถ่ถามสถานการณ์การสู้รบอย่างละเอียดแล้ว ทราบว่าองค์ชายใหญ่ถูกหวงฝู่อี้เซวียนโจมตีจนบาดเจ็บ และนำทหารถอยทัพไปห้าสิบลี้ นางก็ยิ้มพยักหน้า “การสู้รบครั้งนี้กำลังจะจบลงแล้วล่ะ” 

 

 

การรบครั้งนี้องค์ชายใหญ่เป็นคนประกาศศึก ตอนนี้เขาบาดเจ็บแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อไป อีกไม่นานรัฐอิงก็จะส่งคนมาเจรจาสงบศึกแล้ว  

 

 

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้สั่งทหารให้ตามล่าต่อ การสู้รบของสองรัฐนั้น คนที่ลำบากคือทหาร การสู้รบที่เลวร้ายสองสามวันนี้นั้น ก็ทำเอาคนที่เขานำมาบาดเจ็บและสูญเสียไปสี่ห้าหมื่นนายแล้ว หากรบต่อไป คนเจ็บคนตายจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับฉู่เหยาที่ถูกสั่งให้ประจำอยู่ในเมือง ให้เขาเฝ้าประตูเมืองให้ดี ส่วนตนเองนั้นก็ลงจากประตูเมืองไป ขึ้นควบม้าเร็วมาถึงเขตแดนรัฐอิง ก่อนอื่นนางสอบถามสถานที่ที่พักตัวของเหล่าทหารที่บาดเจ็บ แล้วก็มาถึงที่นี่ทันที จากนั้นก็รีบช่วยห้ามเลือดและทำแผลให้เหล่าทหาร  

 

 

เหล่าทหารรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างดี เมื่อเห็นนางมา แม้จะแขนขาขาดมาก็ฝืนทนไว้ ไม่ร้องโอดครวญเลย พวกเขามองนางด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาปรากฏแสงแห่งความหวัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความหมายจากสายตาที่พวกเขาอยากจะสื่อดี แต่,uคนบาดเจ็บมากมายขนาดนี้ นางก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดทันที แต่ก็ยังยิ้มปลอบใจทุกคน “ทุกคนดูแลพักฟื้นตนเองดีๆ ฮ่องเต้จะตบรางวัลอย่างงามให้พวกเจ้าเอง” 

 

 

ไม่ใช่นาง แต่คือฮ่องเต้ เหล่าทหารที่บาดเจ็บรู้ถึงความแตกต่าง แสงแห่งความหวังในตามลายหายไป พวกเขาก้มศีรษะลง มองดูแขนขาที่ขาดของตน ความเศร้าและผิดหวังมาแทนที่  

 

 

เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินว่านางมา เขาก็รีบตามมาช่วยทันที  

 

 

เหล่าทหารที่บาดเจ็บได้รับการดูแลดีอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ เพราะมีทั้งซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้มค่าแล้วที่ตนบาดเจ็บมา ความเศร้าและความผิดหวังเมื่อครู่ก็ลดลงไปมาก  

 

 

เมื่อองค์ชายใหญ่ถอยทัพไปยี่สิบลี้ พบว่าฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้นำทัพไล่ตามมา เขาก็ดึงบังเ**ยนหยุดม้า สั่งทหารที่ถอดชุดเกราะออกแล้วพักผ่อนบริเวณนั้น ส่วนตนเองก็เงยศีรษะขึ้นมองดูเมืองชายแดนที่ถูกครอบครอง พร้อมธงที่ถูกแขวนขึ้นสูงของรัฐอู่ด้วยสายตาดุดัน เขารู้ดีว่าเขาได้สูญเสียเมืองชายแดนไปแล้ว ผลการรบนั้นก็ทราบดีแล้ว ส่วนตนก็เกินต้านลิขิตสวรรค์ การตระเตรียมสิบกว่าปีที่ผ่านมาจบสิ้นลงในวันนี้ แผนการที่จะยึดครองคูเมืองทั้งสิบของรัฐอู่ก็หายไปพร้อมกับการรบครั้งนี้ และหากต้องการยุติการสู้รบ เสด็จพ่อของตนก็ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ที่ต่ำช้าและไร้ยางอายที่รัฐอู่จะเสนอมาอีก  

 

 

เขามองกลับมาอย่างไม่เต็มใจ มองดูเหล่าทหารที่เหนื่อยจนนอนระเนระนาดไปทั่วพื้นหลังจากที่ถอยทัพกลับมายี่สิบลี้ในทันที เขาก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง 

 

 

เมืองหลวงรัฐอิงก็ทราบข่าวการแพ้รบขององค์ชายใหญ่อย่างรวดเร็ว ในวังนั้นก็วุ่นวายไปทั่วทุกสารทิศ มีทั้งเสียงตกใจกลัว เสียงสวดมนต์ขอร้อง เสียงบ่นไม่พอใจ ฮ่องเต้ฝืนตัวนั่งหรี่ตาอยู่บนเก้าอี้มังกร มองดูเหล่าขุนนางที่วุ่นวายไปทั่ว แต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงว่ากล่าว เขาชรามากแล้ว ร่างกายไม่ไหวแล้ว ควรจะสละบัลลังก์ไปนานแล้ว แต่คนสืบทอดที่เขาหมายตาไว้ ท่าป๋าที่เป็นบุตรชายคนโตกลับไม่มีทายาทให้เสียที อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร รอเมื่อเขาได้รับตำแหน่ง ก็แค่แต่งตั้งนางสนมเพิ่มให้อีกเสียหน่อยก็ได้แล้ว แต่เมื่อครั้นตอนที่เขาเขียนพระราชโองการมอบบัลลังก์ให้เขานั้น ก็บังเอิญทราบข่าวมาว่า ท่าป๋าชอบผู้ชาย ตอนนั้นเขาไม่เชื่อ จึงส่งคนไปสืบความ จนทราบว่าเป็นเช่นนั้นจริง ตอนนั้นเขาแทบจะหยุดหายใจตายไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงต้องฝืนร่างกายว่าราชกิจต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อให้ท่าป๋ามีโอกาสนำทัพไปโจมตีรัฐอู่ ขอแค่ได้คูเมืองสักหนึ่งคูเมืองก็ยังดี ก็จะได้มอบบัลลังก์ให้เขาโดยที่ไม่มีใครกล้าซุบซิบนินทา แต่ตอนนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว บัลลังก์ก็ไม่สามารถส่งต่อให้เขาได้ในเร็วๆ นี้แล้ว  

 

 

หลังจากที่ฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงสถานที่ที่พำนักชั่วคราวของทหารที่บาดเจ็บ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองวุ่นจนเหงื่อซึมไปทั้งใบหน้า ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ที่เหลือให้หมอทหารมาจัดการต่อเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยรักษาทหารที่บาดเจ็บสาหัสแล้ว ที่เหลือก็แค่ทหารที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งสองจึงพยักหน้า กำชับหมอทหารทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินออกไป หลังจากล้างเลือดที่ติดตามมือออกพอเป็นพิธีแล้ว ทั้งสองก็เดินเคียงคู่กันบนถนน 

 

 

อาจเป็นเพราะรู้ว่าคูเมืองถูกเปลี่ยนเจ้าของแล้ว ประตูและหน้าต่างของทุกบ้านทุกเรือนจึงปิดแน่นสนิท ไม่มีใครกล้าปรากฏตัวบนถนน 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดห้ามทหารก่อกวนผู้คน ยังคงก่อฟืนทำอาหารนอกเมือง ถนนจึงเงียบสงัด นอกจากทหารลาดตระเวนที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย