ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 53 บีบบังคับ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

“มีแผนจะจัดการเขาอย่างไร” ทั้งสองเดินเคียงคู่กันบนถนน เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถาม  

 

 

“ไม่ตายไม่เลิกรา” หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่านางถามถึงองค์ชายใหญ่ ก็ตอบสั้นๆ เช่นนี้  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่พาหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปในจวนของตน เรื่องนี้เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เขาไม่สมควรทำคือการเกิดความคิดที่ไม่สมควรมีต่อหวงฝู่อี้เซวียน เมื่อครั้นตอนที่ตนและคนอื่นๆ เข้าไปช่วยเย่ว์เอ๋อร์ นี่ถือเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ จะโทษใครมิได้ 

 

 

“ท่าป๋าหั่นมู่เจ็บตัวแล้ว วันนี้ก็ละทิ้งเมืองชายแดนไป ความฮึกเหิมตกต่ำ หากพรุ่งนี้ท่านน้าตามไล่ล่า มุ่งตรงเข้าไปอีกห้าสิบลี้คงไม่เป็นปัญหา ถึงตอนนั้นเหล่าราชวงศ์รัฐอิงคงแตกตื่น สิ่งที่เขาเผชิญนั้นจะยากลำบาก เราต้องห้ามเขาไม่ให้ทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นสุนัขจนตรอกนะ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “รู้แล้วล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับท่านน้า วันนี้มืดค่ำแล้ว เจ้าอยู่ในค่ายทหารนั้นไม่เหมาะสม กลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้รอข่าวจากพวกเรา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า จากนั้นก็พูดกำชับหวงฝู่อี้เซวียนครู่หนึ่ง แล้วขี่ม้าออกจากเมืองตรงกลับไปที่เมืองชายแดนของรัฐอิง  

 

 

วันต่อมา เป็นตามที่หวงฝู่อี้เซวียนพูด ฉู่เหวินเจี๋ยนำเหล่าทหารมุ่งขึ้นหน้าไปอีกห้าสิบลี้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย  

 

 

ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเพิ่มพูนมากขึ้น  

 

 

ราชวงศ์ของรัฐอิงตื่นตระหนกกลัวจนวุ่นวายไปทั่ว หากยังเดินตามแผนการบุกรุกเช่นนี้ อีกไม่กี่วัน ฉู่เหวินเจี๋ยก็สามารถนำทัพตีเมืองหลวงได้แล้ว  

 

 

ฮวงเต้รัฐอิงเริ่มนั่งไม่อยู่กับที่ เขาส่งพระราชโองการให้ท่าป๋าหั่นมู่เจรจาสงบศึก  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่ตั้งใจวางแผนมานานหลายปี แต่กลับถูกตีจนแพ้อย่างย่อยยับภายในไม่กี่วัน จนต้องขอไกล่เกลี่ยยุติการสู้รบ ความโกรธและความเจ็บใจของเขานั้นคงมิต้องกล่าวถึง เมื่อได้รับราชโองการ สีหน้าที่ดำคร่ำเครียดอยู่แล้วตอนนี้ก็ดำกว่าเมฆครึ้มบนฟ้าเสียอีก เขาหรี่ตาทอดสายตาออกไปที่เมืองชายแดน พลางคิดอะไรในใจ  

 

 

คนส่งสาสน์รับรู้ได้ถึงความโกรธและความแค้นของเขา จึงได้แต่ก้มศีรษะไม่กล้าพูดอะไร  

 

 

องค์ชายใหญ่พ่ายแพ้ อารมณ์ไม่ดี ตอนนี้ตนไม่ควรพูดอะไรมากเป็นอันดีสุด จะได้ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง  

 

 

ผ่านไปนาน ท่าป๋าหั่นมู่มองกลับมา เขายื่นมือออกไปรับราชโองการ พูดอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ว่า “กลับไปรายงานเสด็จพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปเจรจา” 

 

 

คนส่งสาสน์ก้มศีรษะ พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ฝ่าบาทหมายถึงให้องค์ชายใหญ่ไปเจรจาด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เมื่อเขาพูดจบ สายตาอันแหลมคมก็สาดไปที่เขา สายตาที่แฝงไปด้วยความดุร้ายนั้นทำเอาเขาอึดอัดจนไม่กล้าหายใจ  

 

 

เขายังคงโค้งลำตัว เหงื่อซึมไปทั่วร่าง ขาก็เริ่มสั่นระริกเพราะความกลัว  

 

 

ผ่านไปนาน ท่าป๋าหั่นมู่มองกลับมา น้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม “กลับไปรายงานเสด็จพ่อ บอกว่าข้ารู้แล้ว” 

 

 

คนวังที่ส่งสาสน์ขานรับ และหันหลังกลับด้วยอาการสั่นเทา ฝีเท้าเดินไปถึงข้างม้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใช้กำลังอยู่พักหนึ่งกว่าจะขึ้นควบม้าได้ จากนั้นก็ขี่ม้าจากไป  

 

 

วันต่อมา ยังไม่ทันรอให้ฉู่เหวินเจี๋ยนำทหารเข้าบุกต่อไป ท่าป๋าหั่นมู่ก็ส่งคนมาเจรจาสงบศึก เงื่อนไขคือยอมละทิ้งคูเมืองห้าเมืองให้กับรัฐอู่  

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ยินยอม หากรัฐอู่พ่ายแพ้ ต้องยอมสละสิบคูเมืองให้เขา แต่ตอนนี้รัฐอิงพ่ายแพ้ กลับให้แค่ห้าคูเมือง ฝันไปเสียเถอะ เขาโบกมือ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องไล่เขาออกไป “กลับไปบอกท่าป๋าหั่นมู่ว่า การสู้รบเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ข้าก็เมตตาพวกเขา ไว้ชีวิตเขาไว้ และทำสัญญากันไว้แล้วว่าทั้งสองรัฐจะไม่ก้าวก่ายลุกล้ำกันอีก แต่ตอนนี้เขากลับพูดอย่างทำอย่าง เข้ามารุกล้ำเขตแดนของข้าหลายครา ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ ให้เขาเลือกระหว่างมอบยี่สิบคูเมืองให้ หรือแลกด้วยชีวิตของเขาเอง” 

 

 

เมื่อฉู่เหวินเจี๋ยพูดจบ คนเจรจาก็ร้องทุกข์ในใจ เดิมทีอาณาเขตรัฐอิงก็เล็กอยู่แล้ว ไม่ได้มีคูเมืองมากมาย เมืองหลวงและชายแดนก็ห่างกันแค่กี่สิบคูเมือง หากให้ยี่สิบคูเมืองแก่รัฐอู่ ก็เท่ากับว่ามอบเมืองหลวงให้รัฐอู่ พวกเขาอยากตีเมื่อใด ก็เข้าตีได้เมื่อนั้น  

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็กลับไปรายงานท่าป๋าหั่นมู่  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่โกรธจนถีบโต๊ะข้างหน้าหงายลงบนพื้น พูดอย่างโมโหว่า “ชักจะมากไปแล้ว” 

 

 

ทุกคนตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่มองดูลูกน้องทุกคนที่ก้มหน้าก้มตา ไร้ซึ่งจิตวิญญาณการต่อสู้ ความคิดที่วางแผนมานานภายในใจของเขาก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เขากัดฟันสั่งว่า “ทหารถอยทัพสามสิบลี้ ตั้งค่ายที่นั่นและห้ามทำการอันใดเด็ดขาด” 

 

 

ทุกคนเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าช่วงเวลาการเจรจาที่สำคัญในตอนนี้ เหตุใดจึงออกคำสั่งเช่นนี้มา  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่เงยหน้า มองไปที่ชายแดนของรัฐอู่และหัวเราะอย่างเย็นชา  

 

 

วันต่อมา รัฐอิงไม่ได้ส่งทูตเข้ามา  

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยและคนอื่นก็ไม่ได้คิดมาก คูเมืองยี่สิบเมืองไม่ใช่น้อยๆ ให้พวกเขากลับไปคิดสักวันสองวันก็ได้  

 

 

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าท่าป๋าหั่นมู่ออกจากค่ายทหารไปแล้ว และปลอมตัวเป็นคนสามัญชนของรัฐอิง พาองครักษ์สองนายที่ช่ำชองการต่อสู้ติดตามไปด้วย พวกเขาออกจากรัฐอิงจนมาถึงในเขตแดนของรัฐอู่ โดยใช้เส้นทางลับที่พวกเขามักใช้เมื่อไปหอนางโลมชิงเฟิง 

 

 

เขามีนิสัยที่ไม่เหมือนใคร เขาไม่กล้าทำตามอำเภอใจในรัฐอิง จึงไปสืบสาวได้ว่าในรัฐอู่มีหอนางโลมชิงเฟิง แต่หากเขาต้องเข้าออกรัฐอู่ผ่านทางชายแดน เมื่อเวลาผ่านไปนานอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้ และกลายเป็นข้ออ้างอันดีให้แก่พี่น้องที่ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้น เขาจึงสั่งคนไปบุกเบิกเส้นทางอย่างลับๆ เพื่อให้ตนเข้าออกรัฐอู่ได้อย่างสะดวก เขาไม่คิดว่าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในเวลานี้ เมื่อท่าป๋าหั่นมู่คิดถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำต่อไป ก็ลอบยิ้มในใจอย่างชั่วร้าย ฉู่เหวินเจี๋ยต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ที่ตนเองในตอนนี้จะกล้าลักลอบเข้ามาในรัฐอู่ อีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งของลูกสาวเมิ่งเชี่ยนโยว ขอแค่จับเป็นได้สักคนหนึ่ง สถานการณ์ก็จะพลิกเปลี่ยนได้ทันที  

 

 

เมื่อมาถึงหมู่บ้านที่หอนางโลมชิงเฟิงตั้งอยู่ เขาก็นำผู้ติดตามมาถึงหอนางโลมชิงเฟิง แต่กลับเห็นประตูถูกใส่กุญแจไว้แน่น หอนางโลมชิงเฟิงเงียบสงัดไปทั่วทั้งบริเวณ  

 

 

เขาส่งคนไปดักถามคนที่เดินผ่านไปมา จึงรู้มาว่าหอนางโลมชิงเฟิงถูกสั่งปิดไปเมื่อหลายวันก่อน ส่วนสาเหตุนั้น เขาก็ไม่ทราบ รู้เพียงว่าแม่เล้าและลูกน้องในนั้นถูกนำตัวไปหมดแล้ว  

 

 

เมื่อได้ยินวันเวลาดังกล่าว ท่าป๋าหั่นมู่ก็หรี่ตา นั่นน่าจะเป็นวันที่ตนพาหวงฝู่เย่าเย่ว์จากหอนางโลมชิงเฟิงไปเพียงไม่กี่วัน 

 

 

ดูท่าจะเป็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่นำคนมาจัดการหอนางโลมชิงเฟิง ท่าป๋าหั่นมู่ยิ้มชั่วร้ายในใจ เขาส่งคนมาสืบตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าของหอนางโลมชิงเฟิงคือใคร ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้ามาที่นี่อย่างไม่ละอายใจเช่นนี้ และยังไม่กลัวคนพบเข้าด้วย  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่ทอดสายตามองไปที่เมืองชายแดนที่ไกลออกไป เขาเผยรอยยิ้มเย็นชา ละทิ้งรถม้า แล้วเปลี่ยนมาขี่ม้าแทน จากนั้นก็ควบม้าเร็วนำผู้ติดตามทั้งสองมาถึงเมืองชายแดน  

 

 

เมื่อชนะศึก กองทัพทหารรัฐอู่ก็บุกขึ้นหน้าต่อไป ผู้คนในเมืองชายแดนจึงตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข ไม่มีใครสังเกตท่าป๋าหั่นมู่ที่ปลอมตัวเข้ามาในเมืองชายแดน  

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวทานข้าวเช้าและกำชับเด็กๆ อย่างที่ทำเป็นประจำแล้ว ก็ไปเดินดูบนกำแพงเมือง  

 

 

ทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองเริ่มหละหลวม จับกลุ่มกันพูดคุยเรื่องที่กองทัพชนะศึกมาอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา ก็รีบกลับไปประจำที่ของตนอย่างรู้สึกผิด  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น ก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา เหล่ากองทัพอยู่ข้างหน้า ที่นี่จึงต้องปลอดภัยเป็นธรรมดา อารมณ์ที่ตึงเครียดของเหล่าทหารสองสามวันนี้ได้ผ่อนคลายลงบ้างก็ดีเหมือนกัน  

 

 

ในกองบัญชาการ หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวไป หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าก็ตระเตรียมของเสร็จ ออกจากประตูมาถึงเรือนหน้า หลินหันเยียนรออยู่ที่เรือนหน้าแล้ว เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินมา ก็ยิ้มพูดว่า “ไปเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปเดินดูตลาดที่ชายแดนกัน” 

 

 

ตั้งแต่ที่กองทัพออกรบ ทั้งสามก็อยู่แต่ในกองบัญชาการไม่ได้ออกไปไหนเลย จนพวกเขาอัดอั้นตันใจแทบแย่แล้ว เมื่อวานได้ยินหลินหันเยียนบอกว่าวันนี้ชายแดนจะมีตลาด พวกเขาจึงขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาไปเดินดู  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าไม่เป็นอะไร จึงอนุญาตพวกเขาไป และกำชับพวกเขาต้องไปพร้อมกับหลินหันเยียน รีบไปรีบกลับ  

 

 

ทั้งสามดีใจมาก รีบตอบตกลงทันที  

 

 

ตลาดอยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทั้งสี่คนจึงไม่ได้นั่งรถม้าไป พวกเขาเดินเล่นอย่างสบายใจ เดินไปพลางชมทิวทัศน์ไปพลาง เดินมุ่งไปตลาดอย่างเนิบช้า  

 

 

เมื่อท่าป๋าหั่นมู่ถึงเมืองชายแดน ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี คนที่เดินไปมาบนถนนก็ค่อนข้างน้อย ทั้งสามซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด คอยสังเกตการณ์ในกองบัญชาการ 

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวคอยตรวจตระเวนบนกำแพงเมืองแล้ว ก็ลงจากกำแพงเมือง ควบขึ้นม้า และมุ่งไปทางที่พำนักของกองทัพที่อยู่ข้างหน้า  

 

 

หลินหันเยียนพาทั้งสามคนเดินดูตลาดเสร็จ เห็นพวกเขาได้ซื้อของเล่นที่ตนชอบแล้ว ก็เดินกลับ พูดคุยและหัวเราะกันตลอดทาง  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่ได้ยินเสียงหัวเราะของหวงฝู่เย่าเย่ว์ นัยน์ตาพลันมีแสงประกายวับผ่าน เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามทั้งสองเตรียมตัว ส่วนตนเองก็เตรียมพละกำลังไว้ เพื่อจู่โจมให้สำเร็จในคราเดียว  

 

 

ทั้งสี่ไม่รู้ถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาเลย ยังคงเดินพูดพลางหยอกเล่น จนใกล้กองบัญชาการ ขึ้นเรื่อยๆ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ยังเล่นของเล่นในมือหยอกเล่นกันเป็นพักๆ เด็กๆ ในตอนนี้ดูไร้เดียงสายิ่งนัก 

 

 

ห่างจากกองบัญชาการอีกเพียงหนึ่งร้อยก้าว หลินหันเยียนก็รู้สึกถึงภัยอันตราย นางขมวดคิ้ว หันมองทั้งสี่ทิศอย่างเงียบๆ ไม่พบบุคคลน่าสงสัย แต่ความรู้สึกที่ถูกคนจ้องมองนั้นคืออะไรกันแน่  

 

 

ท่าป๋าหั่นมู่เห็นการเคลื่อนไหวของนาง ก็ยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม วันนั้นที่ตนอยู่ในจวน เขาก็รู้ว่ากำลังของหลินหันเยียนนั้นน้อยนิด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าวิชาการต่อสู้ของนางนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจอันใด ด้วยกำลังของตนเอง จะให้ตนสู้กับคนแปดคน สิบคนอย่างนางคงไม่เป็นปัญหา  

 

 

ลางสังหรณ์ใจยิ่งอยู่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แต่นางกลับไม่เห็นใคร หลินหันเยียนเริ่มร้อนใจ แต่ไม่แสดงอาการทางสีหน้า นางเพียงพูดเร่งทั้งสามคน “ท่านหญิงน้อย คุณชายใหญ่ นี่ก็เที่ยงแล้ว เราเดินเร็วหน่อยเถอะ จะได้รีบกลับไปทานข้าว” 

 

 

เดินดูของมาทั้งเช้า ทั้งสามก็รู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ พวกเขาจึงพยักหน้า เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น  

 

 

หลินหันเยียนเดินตามหลังทั้งสามอย่างใกล้ชิด คอยเฝ้ามองรอบด้านอย่างระมัดระวัง  

 

 

สามก้าว สองก้าว หนึ่งก้าว… ถึงตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือ ท่าป๋าหั่นมู่กระโดดพุ่งเข้าหาหวงฝู่เย่าเย่ว์ทันที ผู้ติดตามสองคนตามหลังมา เป้าหมายนั้นชัดเจนมาก คือหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านั่นเอง  

 

 

หลินหันเยียนรู้สึกถึงความผิดปกติ มือของนางจึงจับดาบสั้นที่อยู่ในเอวไว้นานแล้ว เมื่อเห็นมีคนกระโดดออกมา ก็ตะโกนว่า “ท่านหญิงน้อย คุณชายใหญ่ ระวัง!” แล้วชักดาบออกมาวิ่งไปทางนั้น