ปัง!

ประตูเปิดออก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ที่ประตู มองจางจื่อเจี้ยนด้วยความเย็นชา และถามว่า “แกเป็นใคร? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? กล้ามารบกวนคุณชายหลิ่ว!”

จางจื่อเจี้ยนกล่าวเยาะเย้ยว่า “ยังมีหน้ามาบอกว่าคุณชายหลิ่วอีก? ในอำเภอเฟิ่งซานแห่งนี้ แม้แต่ฉันก็ไม่รู้จัก ยังกล้าเรียกตนเองว่าคุณชายอีก? ช่างน่าขำสิ้นดี!”

สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นเคร่งขรึม มองจางจื่อเจี้ยนด้วยสายตาดุดันแล้วกล่าวว่า “แกมาหาเรื่องเหรอ?”

จางจื่อเจี้ยนตะคอกอย่างเย็นชา “รีบส่งตัวเพื่อนนักเรียนของฉันออกมา มิเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ!”

“พวกแกเป็นเพื่อนนักเรียนของผู้หญิงคนนั้นเหรอ? ฮึ่ม ประจวบเหมาะ ในเมื่อพวกแกมาแล้ว ฉันจะบอกพวกแกว่า เพื่อนนักเรียนของพวกแกทำให้คุณชายหลิ่วขุ่นเคือง ตอนนี้เธอกำลังถูกคุณชายหลิ่วลงโทษอยู่? หลังจากคุณชายหลิ่วหายโกรธแล้ว พวกเราก็จะส่งเธอกลับไปให้พวกแกเอง!” ชายหนุ่มกล่าวเย้ยหยัน

เมื่อทุกคนได้ยิน ก็รู้สึกโกรธมาก

นักเรียนบางคนตะโกนเสียงดังว่า “เห็นได้ชัดว่าพวกแกฉุดคร่าผู้หญิง รีบส่งเหมิงเหมิงออกมา มิฉะนั้น พวกแกจะได้เห็นดีกัน!”

“ถูกต้อง ส่งตัวหลินเหมิงเหมิงออกมา!”

ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ลงโทษหลินเหมิงเหมิงอย่างไร พวกเขาล้วนเป็นนักเรียน แล้วถ้า…….

พวกเพื่อนนักเรียนไม่กล้าคิดอีกต่อไปแล้ว

“จางจื่อเจี้ยน นายต้องช่วยหลินเหมิงเหมิงออกมา มิฉะนั้น….. ” ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่กลับมารายงานให้ทุกคน จะนึกถึงผลลัพธ์ที่ไม่ดีและเริ่มร้องไห้

เพื่อนนักเรียนหลายคนมองจางจื่อเจี้ยน ในบรรดานักเรียนเหล่านี้ ภูมิหลังครอบครัวของจางจื่อเจี้ยนโดดเด่นที่สุด

“ใช่ จางจื่อเจี้ยน นายต้องช่วยหลินเหมิงเหมิงออกมา!” พวกเพื่อนนักเรียนแย่งกันพูด

จางจื่อเจี้ยนกลายเป็นจุดสนใจในกลุ่มเพื่อนนักเรียนอีกครั้ง ทำให้เขาก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มเล็กน้อย และกล่าวกับทุกคนว่า “ทุกคนวางใจเถอะ ขอเพียงแค่มีฉันอยู่ ก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรหลินเหมิงเหมิง!”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตู กอดอกแล้วมองจางจื่อเจี้ยนด้วยความเย้ยหยัน และกล่าวเบา ๆ ว่า “รนหาที่ตาย!”

เมื่อได้ยินจางจื่อเจี้ยนรับประกัน พวกเพื่อนนักเรียนรู้สึกตื่นเต้น

“ช่วงเวลาสำคัญ ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยจางจื่อเจี้ยน ฉันขอบคุณแทนหลินเหมิงเหมิงด้วย!” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

“ถูกต้อง จางจื่อเจี้ยเก่งมาก!” เพื่อนนักเรียนบางคนพูดประจบ

จางจื่อเจี้ยนเหลือบมองเฉินโม่ที่อยู่ข้างหลังด้วยความลำพองใจ ยิ้มด้วยความเหยียดหยาม และตะโกนทันทีว่า “เฉินโม่ ทำไมนายถึงยืนอยู่ด้านหลังสุดล่ะ ในบรรดาเพื่อนนักเรียนของพวกเรา ผลคะแนนเอ็นทรานซ์ของนายสูงที่สุด นายเป็นคนฉลาดที่สุด นายมาช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหาสิ!”

ทุกคนรู้ว่าจางจื่อเจี้ยนกำลังใช้โอกาสนี้ทำให้เฉินโม่อับอายขายหน้า แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังรอให้เขาไปช่วยหลินเหมิงเหมิง เลยไม่มีใครกล้าตำหนิเขา

ถานชิวเซิงด่าว่า “สารเลว เขาไม่เคยลืมที่จะพูดโจมตีเฉินโม่เลย พวกนายดูท่าทางคางคกขึ้นวอของเขาสิ!”

สวีจื่อหาวกล่าวเบา ๆ “อย่าไปสนใจเขา คนแบบนี้ไม่มีค่าพอที่จะโกรธหรอก!”

เฉินโม่ไม่สนใจจางจื่อเจี้ยน ทำให้จางจื่อเจี้ยนคิดว่าเฉินโม่กลัว เขาหัวเราะด้วยความลำพองใจและกล่าวว่า “คนบางคนรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ไม่ได้หมดทางเยียวยา!”

จางจื่อเจี้ยนหันไปมองชายหนุ่มคนนั้น และกล่าวด้วยความเย่อหยิ่ง “แกกลับไปบอกคุณชายหลิ่วว่าให้เขาส่งเพื่อนนักเรียนของฉันออกมาโดยเร็ว ถ้าช้าเกินไป ก็รับผิดชอบผลที่ตามมาเอง!”

ชายหนุ่มคนนั้นถ่มน้ำลายใส่หน้าจางจื่อเจี้ยน มองจางจื่อเจี้ยนด้วยความเหยียดหยาม และด่าว่า “รนหาความตาย ไสหัวออกไปให้พ้น ชื่อของคุณชายหลิ่ว เป็นชื่อที่แกสามารถเรียกได้เหรอ?!”

จางจื่อเจี้ยนใช้กระดาษทิชชูเช็ดน้ำลาย เขารู้สึกขยะแขยงจนแทบจะอาเจียนออกมา แม้แต่เพื่อนนักเรียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ขยะแขยงจนอยากจะอาเจียน

หลังจากเช็ดน้ำลายแล้ว จางจื่อเจี้ยนรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาถูกเหยียดหยามต่อหน้าเพื่อนนักเรียนมากมาย ซึ่งเขายังไม่เคยถูกใครเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน

“แกคอยดูเถอะ!” จางจื่อเจี้ยนจ้องมองชายหนุ่มคนนั้นด้วยความดุดัน จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเริ่มโทรออก

“ทุกคนไม่ต้องกังวล ฉันจะโทรหาเถ้าแก่หวาง ที่เป็นเจ้าของ KTV เดี๋ยวนี้ แล้วให้เขาขับไล่คนพวกนี้ออกไป!”