บทที่ 1335 ไม่กล้าเอ่ยคำว่ามาร

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“สามสิบกว่าล้านแต้ม…”
  หลิงหยุนเห็นแต้มของหน่วยนภาที่อยู่ในเครื่องมือสื่อสารของหลี่เจี้ยนกังก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย และรีบร้องตะโกนบอกเขาว่า
  “ท่านหลี่..ข้าหลิงหยุนหาใช่คนใจไม้ไส้กระกำเที่ยวสังหารผู้คนเป็นผักปลาไม่ เอาเป็นว่าเจ้าโอนแต้มทั้งหมดนี้มาให้ข้า แล้วเจ้าก็ลงเขาไปได้..”
  หลี่เจี้ยนกังได้ฟังถึงกับเจ็บปวดราวกับถูกกรีดหัวใจแต้มจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ สามารถแลกโอสถเขาหลงหู่ได้เป็นจำนวนถึง 3,300 เม็ดเลยทีเดียว ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่คุนหลุนต้องใช้เวลาสะสมมานานนับสิบปีกว่าจะได้แต้มจำนวนนี้ เพื่อใช้สำหรับแลกทรัพยากรในการฝึกฝนให้กับศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุน
  มือของหลี่เจี้ยนกังสั่นเทิ้มบ่งบอกว่าไม่ต้องการที่จะโอนแต้มทั้งหมดนี้ให้กับหลิงหยุนเขากำลังชั่งใจว่าจะปล่อยให้หลิงหยุนฆ่าตายหรือจะปล่อยให้เขาปล้นแต้มหน่วยนภาที่ผู้ก่อตั้งสำนักได้สะสมมานานนับสิบๆปีนี้ไป
  แต่นี่คือการซื้อชีวิต!
  เวลานี้หลวงจีนอาวุโสแห่งเส้าหลินทั้งสามรวมทั้งสิบแปดอรหันต์ต่างก็ถูกสังหารตายไป ส่วนนักบวชเขาหลงหู่ทั้งยี่สิบห้าคน ก็ล้วนแล้วแต่ถูกสังหารตายเช่นกัน และต่อให้พวกเขามีแต้มหน่วยนภาอยู่มากมายเพียงใด ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว..
  ในเมื่อไร้ซึ่งชีวิตทรัพยากรในการฝึกฝนยังจะสำคัญอะไรอีกเล่า
  ‘แต่นับว่ายังโชคดีที่สองอาวุโสแห่งคุนหลุนหนีไปได้เสียก่อน!’
  ท้ายที่สุด..หลี่เจี้ยนกังก็กดโอนแต้มจำนวนสามสิบล้านไปยังบัญชีของหลิงหยุนด้วยมือที่สั่นระริก
  เหลือไว้เพียงแค่ห้าพันกว่าแต้มสำหรับใช้ในการเดินทางกลับสำนักเท่านั้น!
  “เจ้าทำถูกต้องแล้ว!”   หลิงหยุนยิ้มกว้างในขณะที่ยื่นมือออกไปตบไหล่ของหลี่เจี้ยนกัง“เจ้านับเป็นหัวหน้าที่ดีมาก รู้จักการควรไม่ควร เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับศิษย์ในสำนักคนอื่นๆ!”
  “ดังคำพูดว่า..เก่าไปใหม่มา ข้าเชื่อว่าหากสำนักกระบี่คุนหลุนมีผู้นำเช่นเจ้า สำนักกระบี่คุนหลุนจะยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งอย่างมากในวันข้างหน้า!”
  พรึบ!
  ทันทีที่พูดจบร่างของหลิงหยุนก็หายวับไปกับตาและไปปรากฏอยู่ตรงหน้าคนของสำนักฮั๋วซาน และเพียงแค่ดาบเดียวมือทั้งสองข้างของผู้เป็นหัวหน้าก็ร่วงลงกับพื้นทันที
  เครื่องมือสื่อสารของหัวหน้าสำนักฮั๋วซานร่วงลงไปพร้อมกับมือที่ยังคงกำไว้แน่นจากนั้นกระบี่เหินเงาธนูและกระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็พุ่งออกไปพร้อมกัน และเพียงแค่ชั่วพริบตากระบี่ทั้งสองเล่มก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของหัวหน้าสำนักฮั๋วซาน ประกายคมของกระบี่ทั้งสองเป็นเปล่งประกายวาววับชวนขนลุก..   หลิงหยุนกวาดสายตาไปทางเหล่าชาวยุทธที่เหลือพร้อมกับประกาศเสียงกร้าว “หึ! หากผู้ใดคิดที่จะตุกติกโอนแต้มไปที่อื่นก่อนแล้วล่ะก็ จุดจบของมันจะไม่ต่างจากหัวหน้าสำนักฮั๋วซานผู้นี้ หากพวกเจ้ารักเงินมากกว่าชีวิตก็จงทำ!
  “แล้วก็อย่าคิดว่าข้าจะโง่ดูแค่ยอดคงเหลือเท่านั้นล่ะข้าจะตรวจสอบการโอนของพวกเจ้าก่อนด้วย และหากผู้ใดกล้าตุกติก โทษของมันผู้นั้นคือตายสถานเดียว!”
  สันดานมนุษย์มักเป็นเช่นนี้หลังจากที่ชาวยุทธคนอื่นๆเห็นจุดจบของหัวหน้าสำนักกระบี่คุนหลุน หลายบคนต่างก็กำลังคิดที่จะแอบโอนแต้มในเครื่องมือสื่อสารของตนออกไปเช่นกัน และเหลือแต้มไว้ในเครื่องเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
  แต่หลิงหยุนเป็นใครอย่างนั้นหรือหากคิดที่จะเล่นไม่ซื่อกับคนเช่นหลิงหยุน ย่อมเท่ากับรนหาที่ตาย!
  “อ่อ..หากแต้มของผู้ใดเหลืออยู่ในเครื่องน้อยจนเกินไป ข้าก็จะพิจารณาตัดแขน หรือว่าตัดขาของพวกมันชดเชยแทน แต่พวกเจ้ายังพอมีเวลา.. ผู้ใดมีสหาย หรือว่าเครือญาติ ก็จงรีบติดต่อพวกเขาให้โอนแต้มให้กับพวกเจ้าเสีย จะได้ไม่ต้องถูกตัดแขนตัดขาทิ้ง..”
  ทุกคนต่างก็หันไปมองหน้ากัน..และดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เพียงเปลี่ยนใจไม่โอนแต้มออก แต่กลับรีบติดต่อขอให้สหาย หรือเครือญาติของตนโอนแต้มเข้ามาให้ด้วย
  เย่เทียนสุ่ยที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านบนถึงกับร้องอุทานออกมา“นี่มันแก๊งตบทรัพย์หรืออย่างไรกัน ข้าชักอยากจะเข้าแก๊งนี้บ้างแล้วสิ! ดูเหมือนจะร่ำรวยได้รวดเร็วเหลือเกิน!”
  เย่เทียนสุ่ยได้แต่คิดอยู่ในใจว่าเขาเปิดบ่อนคาสิโนมาหลายปีเพื่อหาเงิน หากเทียบกับวิธีการของหลิงหยุนแล้ว ตัวเขากลับเหมือนเด็กเล่นขายของไปเลยทีเดียว..
  “พี่เทียนสุ่ยท่านกล้าพูดออกมาได้ ช่างน่าอายนัก!”   เย่เทียนตูร้องบอกเย่เทียนสุ่ยพร้อมกับบังคับกระบี่เหินของตนเองให้เหาะออกห่างจากเย่เทียนสุ่ยทันที
  หลิงหยุนยิ้มออกมาด้วยความภูมิอกภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของตนเองจากนั้นจึงกระโดดกลับเข้าไปหาหลี่เจี้ยนกังพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านหลี่..เห็นหรือไม่ว่าข้ามีความยุติธรรมมากเพียงใด! ข้าปฏิบัติกับทุกคนเช่นเดียวกับท่าน..”
  หลี่เจี้ยนกังดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของหลิงหยุนได้กระจ่างเขารู้สึกชาไปทั่วทั้งร่างในขณะที่ถามออกไปว่า
  “หลิงหยุน..ท่านหมายความว่าหลังจากศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนทุกคนทิ้งอาวุธและสมบัติที่นำติดตัวมา ก็จะสามารถลงเขาไปได้เลยใช่หรือไม่”
  หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปทันที“ไม่ใช่แค่นั้น! ทุกคนยังต้องซื้อชีวิตของตนเองด้วย..”   “…”
  หลี่เจี้ยนกังถึงกับพูดไม่ออกและแทบอยากร้องไห้ออกมา..
  ศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนอีกสิบแปดคนที่เหลือแต่ละคนล้วนอยู่ในขั้นเซียงเทียน-8 ขึ้นไป และมีแต้มของหน่วยนภาอยู่มากกว่าหนึ่งแสนแต้ม เวลานี้แต้มของพวกเขากลับถูกหลิงหยุนยึดไปต่อหน้าต่อตา..
  หลังจากศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนปลดอาวุธและสมบัติในตัวกองไว้กับพื้นพร้อมกับโอนแต้มให้กับหลิงหยุนแล้ว ทั้งหมดก็ได้แต่ยืนก้มหน้าคอตก..
  “คราวนี้พวกเจ้าได้ลิ้มรสของการเป็นผู้แพ้แล้วสินะ!จงจำไว้ให้ดีว่า.. อย่าคิดทำเช่นนี้กับข้าอีก!”
  หลิงหยุนยิ้มอกมาและจงใจที่จะพูดเย้ยหยัน เพื่อให้ชาวยุทธทุกคนในที่นี้ได้สังวรไว้ว่า อย่าได้ริอาจที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่คิดจัดการกับตน หรือเย่ซิงเฉินเช่นนี้อีก!   ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากหรือแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่คนเดียวเพราะทุกคนต่างก็หวาดกลัวหลิงหยุนที่สามารถสังหารคนได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้รู้ตัว..
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็จัดการเรียกอาวุธและสมบัติต่างๆของศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนที่กองอยู่กับพื้นเข้าไปในแหวนพื้นที่
  “หลิงหยุน..พวกเราลงเขาได้หรือยัง”
  หลี่เจี้ยนกังที่ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เพราะแม้แต่กระบี่เหินของเขาก็ถูกหลิงหยุนยึดไปด้วย
  “เชิญ!”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปยิ้มให้กับหลี่เจี้ยนกังพร้อมกับพูดขึ้นอย่างท้าทายว่า“หลี่เจี้ยนกัง วันหน้ายังมี.. ข้าหวังว่าเจ้าจะจัดงานชุมนุมชาวยุทธเช่นนี้ขึ้นมาอีกโดยเร็ว!”
  หลี่เจี้ยนกังได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าซีดเผือดและรีบหันไปบอกศิษย์คนอื่นๆว่า “ศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนตามข้ามา!”   แล้วคนของสำนักกระบี่คุนหลุนทั้งหมดต่างก็ลงจากหุบเขาหลงเฟิงไปอย่างรวดเร็ว!
  อย่างน้อยคนของสำนักกระบี่คุนหลุนก็ยังสามารถรอดชีวิตเดินลงจากเขาไปได้ต่างจากหลวงจีนวัดเส้าหลินและนักบวชสำนักเขาหลงหู่..
  –หลี่เจี้ยนกัง..ที่เจ้ามีชีวิตรอดกลับไปในคืนนี้ ต้องขอบหลี่เคิ่นวู๋!-
  ขณะที่หลี่เจี้ยนกังเดินออกจากหุบเขาหลิงเฟิงนั้นคำพูดประโยคนี้ก็ดังขึ้นในหูของเขา!
  นั่นเพราะการที่หลิงหยุนยอมปล่อยคนของสำนักกระบี่คุนหลุนไปง่ายๆเช่นนี้ต้องยอมรับว่าหลี่เคิ่นวู๋ได้สร้างความรู้สึกดีให้กับหลิงหยุนไม่น้อย!
  หลี่เจี้ยนกังถึงกับชะงักไปเล็กน้อยหลังจากนั้นจึงรีบเร่งออกจากหุบเขาหลงเฟิงไปทันที!
  ……  หลังจากที่จัดการกับสำนักกระบี่คุนเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนจึงหันไปทางสำนักเอ้อเหมยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ข้าได้ยินมาว่าสำนักเอ้อเหมยของพวกเจ้าก็ชอบทำตัวน่ารังเกียจเช่นเดียวกับอารามจิ้งซินใช่หรือไม่”
  หลิงหยุนยืนเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าสำนักเอ้อเหมยและเวลานี้กระบี่กังฉีของเขาก็กำลังจ่ออยู่ที่ศรีษะของนาง
  “เมื่อสิบแปดปีก่อนสำนักเอ้อเหมยของเจ้าได้ส่งศิษย์ทั้งหมดหกคนไปบุกตระกูลหลิงเวลานี้ ใครคือหกคนนั้นจงลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้!”
  เจ้าสำนักเอ้อเหมยผู้นี้เป็นแม่ชีที่มีอายุราวหกสิบปีและมีนามว่าเฉวียนเจิ้นจื่อ เป็นผู้เอ่ยออกมาว่า
  “หลิงหยุนครั้งนั้นเป็นข้าเองที่สั่งพวกนางทั้งหกคนให้ไปตระกูลหลิงของเจ้า หากจะฆ่าก็ฆ่าข้าเถิด!”
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ข้าต้องการแก้แค้นผู้ที่บุกเข้าไปตระกูลหลิง เจ้าอย่าได้แสร้งทำเป็นคนดีต่อหน้าข้าเลย เพราะข้าไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความดีนัก!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงดุดัน“ข้าจะให้โอกาสเจ้าโอนแต้มหน่วยนภาให้กับข้าเพื่อแลกกับชีวิตของศิษย์เจ้า ส่วนเจ้ากับศิษย์สำนักเอ้อเหมยทั้งหกคนที่บุกไปตระกูลหลิงต้องตายเท่านั้น!”
  “ไม่เช่นนั้น..ข้าจะสังหารพวกเจ้าทุกคน!”
  เฉวียนเจิ้นจื่อได้ฟังก็ถึงกับโกรธเกรี้ยวอย่างมากนางร้องตะโกนออกไปอย่างเดือดดาล “หลิงหยุน.. เจ้ามันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
  หลิงหยุนจ้องมองแม่ชีเฉวียนเจิ้นจื่อด้วยแววตาเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“งั้นรึ เมื่อครั้งที่พวกเจ้าบุกตระกูลหลิงของข้านั้น ได้ไตร่ตรองถึงเหตุผลดีแล้วงั้นรึ?”
  ฟิ้ว..  ตราหยกจักรพรรดิเหาะมาลอยอยู่เหนือศรีษะของแม่ชีสำนักเอ้อเหมยทั้งยี่สิบสี่คนแล้วค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นกว่าสามเมตร และพร้อมที่จะกดทับลงมาได้ตลอดเวลา!
  “ความรู้สึกของการถูกข่มเหงรังแกโดยไร้เหตุผลเหมือนที่คนตระกูลหลิงเคยได้รับเมื่อสิบแปดปีก่อนพวกเจ้าได้ลิ้มรสกันบ้างแล้วสินนะ!”
  “ตอนนี้เจ้าหมดโอกาสตัดสินใจแล้วเพราะข้าได้ตัดสินใจเจ้าแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดต้องตายพร้อมกัน!”
  เฉวียนเจิ้นจื่อและบรรดาศิษย์สำนักเอ้อเหมยต่างก็พากันนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึงเพราะรู้ตัวว่าพวกตนทั้งยี่สิบสี่คนคงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่..
  แต่ในเวลานั้นเองจู่ๆ เย่ชิงซินก็เหาะลงมายืนข้างเฉวียนเจิ้นจื่อ พร้อมเอ่ยกับหลิงหยุนว่า
  “หลิงหยุน..ฉู่ซานของข้ากับสำนักเอ้อเหมยมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เจ้าจะเห็นแก่หน้าข้า ปล่อยพวกนางไปสักครั้งได้หรือไม่”
  หลิงหยุนจ้องมองเย่ชิงซินพร้อมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง“น้าหญิง.. ท่านหมายถึงหน้าฉู่ซาน หรือหน้าตระกูลเย่ หรือว่าหน้าของตัวท่านเองกันล่ะ”
  เย่ชิงซินถอนหายใจแต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “เห็นแก่หน้าข้าเอง!”
  หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังทันที“ฮ่าๆๆ ในเมื่อท่านเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ข้าก็จะเห็นแก่หน้าท่านสักครั้ง ไม่สังหารพวกนางทั้งหมด แต่ต้องทำตามข้อเสนอครั้งแรกของข้าเท่านั้น..”
  เย่ชิงซินได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนแล้วก็ได้แต่นึกประหลาดใจที่หลิงหยุนยอมเห็นแก่หน้าของนาง แต่ถึงกระนั้นก็รู้ดีว่าไม่อาจต่อรองกับหลิงหยุนได้มากไปกว่านี้แน่ เพราะหลิงหยุนกับหลิงเสี่ยวพ่อของเขานั้น ช่างมีบุคลิกและอุปนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากคนเช่นหลิงหยุนตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดแล้ว ก็ยากที่ผู้ใดจะสามารถทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้นได้!
  เย่ชิงซินรู้ว่าถึงอย่างไรสำนักเอ้อเหมยก็ต้องทำตามข้อเสนอแรกของหลิงหยุนนางจึงได้แต่หันไปมองเฉวียนเจิ้นจื่อเพื่อให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเอง
  ใบหน้าของเฉวียนเจิ้นจื่อแดงก่ำขณะที่กัดฟันตอบกลับไปว่า“พวกเราจะทำตามข้อเสนอแรกของเจ้า!”
  นั่นเพราะหากพวกนางทุกคนถูกสังหารตายบนหุบเขาหลงเฟิงแห่งนี้สำนักเอ้อเหมยคงต้องสิ้นชื่อไม่ต่างจากอารามจิ้งซินเป็นแน่!
  เจ็ดคนตาย..ย่อมดีกว่าถูกหลิงหยุนสังหารตายพร้อมกันทั้งหมดยี่สิบสี่คน!
  จากนั้น..ทุกคนในสำนักเอ้อเหมยก็จัดการโอนแต้มหน่วยนภาให้กับหลิงหยุน และทำการปลดอาวุธและสมบัติที่นำติดตัวมาด้วยลงกองกับพื้น
  หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับเรียกสิ่งของทั้งหมดเข้าไปในแหวนพื้นที่ของตนทันที..
  “พวกเจ้าตายได้แล้ว!”
  กระบี่ในมือของหลิงหยุนเงื้อขึ้นและฟาดลงเพียงดาบเดียว ศรีษะของเฉวียนเจิ้นจื่อและลูกศิษย์อีกหกคนก็ร่วงลงกับพื้นทันที
  การที่หลิงหยุนไม่ยอมไว้ชีวิตผู้ที่บุกไปตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีที่แล้วแม้แต่คนเดียวรวมทั้งทำการยึดแต้มหน่วยนภา อาวุธ และสมบัติต่างๆของชาวยุทธที่มาร่วมงานชุมนุมในคืนนี้นั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อแก้แค้นให้กับคนตระกูลหลิงที่เสียชีวิตไปเมื่อสิบแปดปีก่อน และเพื่อเป็นการล้างความอัปยศที่หลิงเสี่ยวและหยินชิงเฉวียนเคยได้รับ
  ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลคือเพื่อสร้างความหวาดกลัวและความหวาดผวาให้กับชาวยุทธที่เหลือ เพื่อให้พวกเขาไม่กล้าจัดงานชุมนุมชาวยุทธในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก
  และจากการกระทำที่เด็ดเดี่ยวของหลิงหยุนในครั้งนี้เชื่อว่าหลังจากนี้ไปอีกร้อยปี คงไม่มีชาวยุทธคนใดกล้าเอ่ยคำว่า ‘มาร’ อีกเป็นแน่!