ภายในสวนอันเงียบสงัดแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา
“พลั่กๆๆ” มือหนึ่งถือไหสุรา มือหนึ่งถือจอกสุรารินให้กับตนเองอย่างสบายใจ
‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้สวมอาภรณ์สีทองงามหรูตลอดร่าง ศีรษะสวมมงกุฎกำลังนั่งขัดสมาธิ รินเองดื่มเองอยู่ เขากำลังดื่มสุราอย่างตั้งอกตั้งใจ สัมผัสกับรสชาติของสุรา
ทันใดนั้นกลางอากาศด้านข้างก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ก็คือ ‘บรรพชนแมลง’ แมลงมีปีกบินที่ดูคล้ายกับรูปร่างมนุษย์นั่นเอง
“บรรพชนแมลงหรือ” ราชันย์อนธการอมตะดวงตาเป็นประกายแล้ววางจอกสุราลงพลางเอ่ยถามว่า “มาหาข้าถึงที่นี่ เจ้าพร้อมแล้วหรือไร”
“สิ่งของที่ข้าต้องการเล่า” บรรพชนแมลงหยิบเอาวัตถุกึ่งโปร่งแสงที่ดูราวกับอำพันชิ้นหนึ่งออกมา ด้านในก็มี ของเหลวเจ็ดสีที่หายากเป็นที่สุดไหลเวียนอยู่ เขาส่งวัตถุประหลาดชิ้นนี้ตรงไป
เมื่อราชันย์อนธการอมตะได้เห็นแล้วก็เผยสีหน้ายินดี ก่อนจะตรวจสอบโดยละเอียดพลางเอ่ยว่า ”วางใจเถิด เจ้ากับข้าลั่นสัตย์สาบานเอาไว้แล้ว ข้าจะตระบัดสัตย์ได้อย่างไรกัน โอ้ หนึ่งร้อยหยด ไม่เกินมาเลยแม้แต่หยดเดียว เจ้านี่ช่างใจแคบเสียจริงเชียว แต่ว่าค่อนข้างบริสุทธิ์เลยทีเดียวนะ ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลง มิเสียแรงที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้น จักรพรรดิกลืนโลกาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ ให้เจ้าได้สืบทอดต่อจากเขา แม้กระทั่ง ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ นี่ ก็สามารถเอาออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยหยดเลยทีเดียว”
“พรึ่บ” ราชันย์อนธการอมตะพลิกมือ ในมือก็มีกำไลข้อมือวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วโยนออกไป “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ ได้เตรียมเอาไว้ให้เจ้าก่อนแล้วล่ะ”
“ดี”
หลังจากบรรพชนแมลงรับมาแล้วก็ตรวจตราดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งพลางเผยสีหน้ายินดีออกมา
“เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”
“ฮ่าฮ่า ถ้าหากเจ้ายังต้องการสมบัติล้ำค่าอันใดก็มาหาข้าได้เลย ล้วนสามารถใช้น้ำทิพย์กลืนโลกามาแลกเปลี่ยนได้ทั้งสิ้น” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยวาจา
“หากมีความต้องการก็จะมาหาฝ่าบาทราชันย์อนธการอย่างแน่นอน” บรรพชนแมลงพูดจบแล้วปีกแก้วผลึกทั้งคู่ที่อยู่ด้านหลังก็ขยับไหวน้อยๆ แล้วเขาก็หายลับสายตาไป
“หึๆ สามารถเอาออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยหยด เกรงว่าผลประโยชน์มหาศาลที่จักรพรรดิกลืนโลกาเหลือทิ้งเอาไว้ในตอนนั้นคงตกอยู่ในมือของเขาจนหมดเลยทีเดียวกระมัง” ราชันย์อนธการอมตะมองดูบรรพชนแมลงหายลับไปแล้วก็พึมพำกับตนเอง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มพลางก้มหน้าลงมองดูวัตถุประหลาดในมือ นัยน์ตาเปล่งประกายค่อนข้างตื่นเต้น “ในที่สุดก็รวบรวมมาได้แล้ว หลังจากกลับมาแล้วก็สิ้นเปลืองเวลาไปยาวนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็รวบรวมทั้งหมดมาได้เสียที”
น้ำทิพย์กลืนโลกาเป็นสิ่งที่ในตอนนั้นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ อาศัยสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงเก็บรวบรวมมาจากห้วงมิติคละถิ่นระดับสูงกว่า
การรวบรวมทุกหยาดหยดนั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือ ‘ส่วนผสม’ ที่ดีที่สุดที่จักรพรรดิกลืนโลกาใช้เพาะเลี้ยงแมลงอสูร ให้เหล่าแมลงอสูรกิน แมลงอสูรอยกจะไปถึงพลังรบระดับเทพจักรวาล น้ำทิพย์กลืนโลกานั้นมีประสิทธิผลดีที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งแต่จักรพรรดิกลืนโลกาตกต่ำไป…น้ำทิพย์กลืนโลกานี้ก็กลายเป็นตำนานเล่าขานไปเสียแล้ว! ถึงแม้ว่าตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาจะถูกล้อมสังหาร แต่ก่อนที่จะตายก็ได้ซ่อนเร้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเอาไว้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูก ‘บรรพชนแมลง’ แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นลูกน้องของจักรพรรดิกลืนโลกาผู้นี้ครอบครองเอาไว้เสียแล้ว! บรรพชนแมลงก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน จึงกล้าเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา!
“ราตรีนิรันดร์เพาะเลี้ยงวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดออกมาสามตน โลหิตดั้งเดิมของนิจรัตติกาล ‘ศิลาอัคคีทิพย์’ ที่เจ้าเมืองอัคคีทิพย์ส่งมา บวกกับ ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ ของจักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้น ยังมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์แบบที่ข้าได้มาก่อนหน้านี้อีกร่างหนึ่งด้วย” ราชันย์อนธการอมตะดวงตาเปล่งประกาย ตื่นเต้นหาใดเปรียบ “ตอนนี้ขาดเพียงแค่การบูชาสุดท้ายให้พลังเพียงพอเท่านั้นก็จะสำเร็จได้ในคราวเดียว หลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้สำเร็จแล้ว”
“ตอนนั้นข้าหลอมผู้ท่องมรณะร่างหนึ่งออกมาอย่างลำบากยากเข็ญ น่าเสียดายที่ข้าล้มเหลวในการต่อสู้ครั้งนั้น ให้ผู้ท่องมรณะไปต้านทานศัตรูตัวฉกาจ แล้วข้าจึงได้หนีกลับมา” ราชันย์อนธการอมตะระลึกวันเวลาในอดีตแล้วโลหิตก็พลุ่งพล่าน
เขาเหยียบย่างบนวิถีของการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่น
เส้นทางสายนี้
มิใช่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น มีผู้แกร่งกล้าของโลกกำเนิดคนอื่นๆ ที่เริ่มต้นมุ่งหน้าเหยียบย่างบนเส้นทางของการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นภายใต้การช่วยเหลือและชี้แนะอยู่ เพิ่งเริ่มต้น เขาก็ยังได้รับการช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่พอล้มเหลวอย่างต่อเนื่องสามครั้งก็ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ อีกต่อไป เริ่มต้นดิ้นรนอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกับผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อีกมากมายที่ล้มเหลวเช่นเดียวกัน
เขาสามารถสละ ‘ผู้ท่องมรณะ’ หนีกลับดินแดนจิตโลกาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
“โชคดีที่ข้ายังมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ร่างหนึ่ง เมื่อใดที่หลอมได้สำเร็จ ก็เป็น ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว นี่จึงจะเป็นเคล็ดวิชาลับที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า อาศัยสิ่งนี้ข้าก็มีความมั่นใจในการไปบุกหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะเผยรอยยิ้มออกมา “อาศัยโอกาสบางอย่างของหุบเขาเขี้ยวหัก บางทีการใช้พลังทำลายกฎของข้าก็อาจมีหลักประกันขึ้นมาบ้าง”
เส้นทางสายนี้ช่างยากเหลือเกิน เพียงแค่สามารถได้รับความช่วยเหลือมาได้ เขาก็ย่อมคิดหาทุกวิถีทางอยู่แล้ว
“พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าข้าแกร่งกล้ากว่าเมื่อก่อนพอสมควรแล้ว แต่ก็แค่แกร่งกล้ากว่าอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ข้าประสบกับการเกิดและตายอย่างหนักหน่วงมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้จนศึกษาวิธีการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้ จึงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ
ตอนนั้นผู้ร่วมทางจำนวนหนึ่งบนเส้นทางนั้นของเขา มีบางคนที่ตายตกไป แล้วก็มีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศน่าอัศจรรย์บางคนที่เดินบนวิถีทางที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าเส้นทางจะผิด แต่ก็ทำให้ตนสำเร็จเป็น ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ได้
ราชันย์อนธการอมตะมิได้เลือกทำเช่นนั้น
เพราะว่าเมื่อใดที่เดินไปถึงก้าวนั้น เส้นทางของการ ‘สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ก็จะถูกตัดขาดเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำให้เคล็ดวิชาการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ในอดีตของเขาสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง รวบรวมเคล็ดวิชาของผู้ร่วมทางคนอื่นๆ มากมาย หรือแม้กระทั่งวัสดุบางอย่างไปทดสอบ ก็ทำให้เขายกระดับวิธีการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ไปจนถึงขั้นที่สูงกว่าได้ในที่สุด
อาศัยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเป็นพื้นฐาน ‘ผู้ท่องมรณะ’ ที่หลอมออกมาจึงจะกล้าแกร่งพอ!
ราชันย์อนธการอมตะประสบกับทุกสิ่งอย่างเหล่านั้นแล้วจึงเข้าใจว่าความแตกต่างระหว่าง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ นั้นช่างยิ่งใหญ่ อย่างเช่นผู้ที่บำเพ็ญขึ้นมาจากขั้นอ่อนแอที่สุดมาตลอดทางก็สามารถควบคุมการใช้ประโยชน์จากวิถีได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด ถึงขนาดที่มีโลกกำเนิดแห่งหนึ่งเป็นพื้นฐาน! นั่นจึงจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง! ส่วนสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแต่กำเนิดจำนวนหนึ่งนั้น การใช้ประโยชน์จากวิถีล้วนงุ่มง่ามเป็นอย่างยิ่ง อาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ ผู้อ่อนแอจำนวนหนึ่งในบรรดานั้น… ถ้าหากเขามีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงแล้วมาต่อสู้กัน ก็ย่อมตกเป็นรองอย่างแน่นอน!
“ดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่หยวนสรรสร้างขึ้น”
“หยวนเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ที่จุดสูงสุดที่โบร่ำโบราณที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองหลัวผู้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ประสบความสำเร็จด้วยการใช้พลังทำลายกฎเลย”
ราชันย์อนธการอมตะมีประสบการณ์อยู่ข้างนอกมากมายถึงเพียงนั้นจึงได้เข้าใจสถานะของหยวนและเจ้าเมืองหลัว
“ได้ยินว่าซากงูใหญ่อันน่าหวาดหวั่นซากหนึ่งที่ทำให้แม้แต่หยวนยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจะฆ่าให้ตายได้ในตอนนั้นก็ถูกหยวนโยนเอาไว้ในโลกสักแห่งหนึ่งในหุบเขาเขี้ยวหัก” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะมีความมุ่งมาดปรารถนา สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของหุบเขาเขี้ยวหักก็คือชิ้นส่วนของซากงูใหญ่ซากนั้น ‘มณีอสรพิษเขี้ยวหัก’ อะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญอันใดของงูใหญ่ตนนั้นเท่านั้นเอง
……
หุบเขาเขี้ยวหักอันตรายเกินไป
ยิ่งเป็นสถานที่สำคัญก็ยิ่งอันตราย! ถึงแม้ว่าราชันย์อนธการอมตะจะเคยเข้าไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็มิกล้าบุกเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามจำนวนหนึ่ง ถ้าหากมี ‘ผู้ท่องมรณะ’ เขาก็มีความมั่นใจแล้ว
รัตติกาลลึกล้ำยิ่งนัก
ที่ชายขอบของดินแดนจิตโลกา ณ ภูเขาร้างอันแห้งแล้งไร้นามแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎเข้ามายังที่แห่งนี้
“มาแล้ว ช่วงเวลาวิกฤติมาถึงแล้ว”
ราชันย์อนธการอมตะโบกมือคราหนึ่ง
ปัง ปัง ปัง!!!
เสาสำริดต้นแล้วต้นเล่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ เสาสำริดมากถึงสิบหกต้นเจาะลึกเข้าไปในแผ่นดิน พวกมันมีขนาดใหญ่ขึ้นและหนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็คล้ายกับว่าเสาสูงเสียดฟ้าสิบหกต้นกระจายตัวไปอยู่ทุกหนแห่งของภูเขาร้างแห่งนี้
“โครม” แล้วราชันย์อนธการอมตะก็โบกมือคราหนึ่ง ซากศพของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบร่างหนึ่งเอนอยู่บนภูเขาร้าง บนร่างของมันมีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโคจรอยู่ บนแขนขาทั้งสี่ล้วนมีโซ่ตรวนพันธนาการอยู่ ตอนนี้โซ่ตรวนเหล่านี้เชื่อมต่อ ‘เสาสำริด’ ที่ราวกับเสามหึมาสูงเสียดฟ้าสิบหกต้นนั้นอย่างรวดเร็ว บนโซ่ตรวนก็มีลวดลายลับโคจรอยู่เช่นกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกันกับลวดลายลับบนพื้นผิวซากศพ ก่อตัวเป็นผนึกขนาดมโหฬารขึ้นมา กดดันทั้งซากศพเอาไว้
“ส่วนอื่นๆ ของบรรพชนนิจรัตติกาล โลหิตดั้งเดิมของมันหาได้ยากยิ่ง แข็งแกร่งกว่าพลังชีวิตของหยาดโลหิตภายในกายผู้แกร่งกล้าทางสายหลอมกายไม่รู้ตั้งกี่เท่า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยชื่นชม
ถึงอย่างไรร่างจริงของบรรพชนนิจรัตติกาลก็คือทะเลโลหิตแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าของราชันย์อนธการอมตะมีเตาใหญ่อันหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในเตาใหญ่มีศิลาอัคคีทิพย์อันล้ำค่าอยู่เก้าชิ้น กระตุ้นเล็กน้อยก็มีเพลิงสีขาวซีดลุกโชติช่วงขึ้นมาแล้ว
จากนั้นราชันย์อนธการอมตะก็ควบคุมอย่างระมัดระวัง เห็นเพียง ‘ทรงกลมหยาดโลหิต’ ที่มีขนาดประมาณศีรษะของคนธรรมดากกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ด้านบนของเตาใหญ่อันนี้ ถูกเปลวเพลิงสีขาวซีดนี้เผาไหม้
พรึ่บๆๆ ลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวของทรงกลมหยาดโลหิตกะพริบวาบไหลเวียน ภายในก็ถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความว่างเปล่า ภายในของเหลวค่อยๆ เริ่มปรากฏประกายสีเขียวอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ
เผาไหม้มาจนถึงท้ายที่สุดก็เปลี่ยนแปรกลายเป็นแก้วผลึกสีเขียวขนาดเท่านิ้วมืออันหนึ่งที่รวมตัวเข้าด้วยกัน
ราชันย์อนธการอมตะกลั้นหายใจ
“ไป”
ชี้ไปยังที่ไกลๆ
แก้วผลึกสีเขียวอันนี้ก็ลอยไปทางซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมานั้น
…………………………………………..