ณหุบเขาหลงเฟิง บนเขาหลงหู่..
เวลานี้เป็นเวลาตีสองของเช้าวันใหม่ภายในหุบเขาหลงหู่มีเพียงความเงียบสงัด และเหลือคนเจ็ดคนกับร่างไร้วิญญาณอีกยี่สิบเอ็ดร่างที่นอนเรียงกันอยู่บนพื้น
ทั้งเจ็ดคนนั้นก็คือหลิงหยุนเย่ซิงเฉิน และเย่ชิงซิน เย่เทียนสุ่ยกับเย่เทียนตูแห่งตระกูลเย่ ยังมีหลวงจีนเจี๋วยหยวนแห่งเส้าหลิน และนักพรตชงซวีแห่งบู๊ตึ๊ง
ส่วนร่างไร้วิญญาณทั้งยี่สิบเอ็ดร่างนั้นก็คือร่างของอาวุโสทั้งสามแห่งวัดเส้าหลิน กับสิบแปดอรหันต์เส้าหลินนั่นเอง!
ก่อนหน้านี้ราวครึ่งชั่วโมงหลิงหยุนได้จัดการสะสางความแค้นของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนจนเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ที่ควรฆ่าก็ฆ่าแล้ว ผู้ที่ควรปล่อยก็ปล่อยแล้ว และผู้ที่รอดชีวิตก็กลับออกจากหุบเขาหลงเฟิงไปหมดแล้วเช่นกัน งานชุมนุมชาวยุทธเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เวลาสามทุ่มของคืนก่อนและสิ้นสุดในเวลาตีสองของวันใหม่ รวมแล้วเป็นเวลากว่าห้าชั่วโมง
แต่ศัตรูของหลิงหยุนล้วนถูกสังหารตายไปตั้งแต่สามชั่วโมงแรกและสองชั่วโมงหลังเวลาเที่ยงคืนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการทำลายขุมกำลังของศัตรู
งานชุมนุมชาวยุทธในคืนนี้หลิงหยุนนับว่าได้รับชัยชนะอย่างสวยงาม!
เหล่าชาวยุทธที่มารวมตัวกันในงานชุมนุมชาวยุทธคืนนี้มีมากกว่าหกร้อยคนแต่เหลือจำนวนผู้ที่รอดชีวิตออกจากหุบเขาแห่งนี้ได้ไม่ถึงสองร้อยคน
ครั้งนี้..หลิงหยุนไม่เพียงสามารถแก้แค้นศัตรูของตนได้หมด แต่ยังได้ประโยชน์กลับไปอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งก็คืออาวุธและแต้มของหน่วยนภาจำนวนมากที่รีดไถมาได้นั่นเอง!
และจำนวนแต้มหน่วยนภาที่หลิงหยุนรีดไถจากเหล่าชาวยุทธมาได้นั้นก็เป็นจำนวนที่น่าตกใจไม่น้อย!
ตัวหลิงหยุนรีดไถมาได้120 ล้านแต้ม ในขณะที่ตี้เสี่ยวอู๋กับหวังชงเซียวรีดไถมาได้ราว 20ล้านแต้ม รวมกับแต้มที่ได้จากการประมูลโอสถในคืนก่อนอีก 6 ล้านแต้ม เรียกได้ว่าเวลานี้หลิงหยุนมีแต้มของหน่วยนภาอยู่ในมือเกือบ 150 ล้านแต้ม
โจวเหวินอี้ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภายังมีเพียงแค่100 ล้านแต้ม ส่วนอาวุโสหน่วยนภาคนอื่นๆอีกสิบคนนั้น แต่ละคนรวมกันยังไม่ถึง 50 ล้านแต้ม..
นี่ย่อมหมายความว่าเวลานี้แต้มของหลิงหยุนมากกว่าทั้งโจวเหวินอี้และอาวุโสคนอื่นๆทั้งหมด
แต่เนื่องจากโจวเหวินอี้อยู่ฝ่ายหลิงหยุนหาใช่คู่แข่งเช่นนี้แล้วหากนับรวมโจวเหวินอี้ไปด้วย ย่อมเท่ากับว่าหลิงหยุนมีแต้มอยู่ในมือถึง 250 แต้ม!
เนื่องจากหน่วยนภาไม่ต้องการให้เกิดภาวะแต้มคะแนนล้นยุทธภพจนกลายเป็นสิ่งไร้ค่าหน่วยนภาจึงได้กำหนดให้มีแต้มของหน่วยนภาหมุนเวียนอยู่ในยุทธภพเพียงแค่หนึ่งพันล้านแต้มเท่านั้น!
นอกจากจะได้แต้มหน่วยนภาไปจำนวนมหาศาลแล้วหลิงหยุนยังได้อาวุธ สมบัติล้ำค่า ยันต์ และโอสถต่างๆกลับไปอย่างมากมายด้วย
ในงานชุมนุมชาวยุทธคืนนี้มียอดฝีมือถูกสังหารตายไปมากกว่าสี่ร้อยคนแน่นอนว่าย่อมต้องมีทั้งอาวุธและสมบัติติดตัวพวกเขามากมาย อีกทั้งยังมีที่รีดไถได้จากยอดฝีมืออีกกว่าสองร้อยที่รอดชีวิตด้วยเล่า เพราะพวกเขาล้วนลงเขาไปอย่างหมดเนื้อหมดตัว เรียกได้ว่าเหลือเพียงแค่ร่างกายกับเสื้อผ้าที่ติดตัวมาเท่านั้น
เย่เทียนสุ่ยเฝ้ามองหลิงหยุนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันมากมายมหาศาลนี้ด้วยความอิจฉา!
นั่นเพราะเพียงแค่งานชุมนุมชาวยุทธเพียงคืนเดียวหลิงหยุนก็สามารถหาสมบัติมากมายให้กับตนเองและตระกูลหลิงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ และสิ่งที่หลิงหยุนได้ไปทั้งหมดในคืนนี้คืนเดียว ก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเย่ต้องใช้เวลานับสิบปีในการหามาเลยทีเดียว!
เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เย่เทียนสุ่ยอิจฉาหลิงหยุนจนแทบคลั่งได้อย่างไรกันเล่า
แต่เย่เทียนสุ่ยก็ทำได้เพียงแค่อิจฉาเท่านั้นเพราะเขาไม่สามารถแย่งชิงสิ่งของเหล่านี้มาจากหลิงหยุนได้ และต่อให้สามารถแย่งชิงมาได้ เขาก็ไม่มีแหวนพื้นที่ที่จะขนของมากมายเหล่านี้กลับไปได้ หากเป็นเขา.. เขาคงเลือกหยิบเฉพาะโอสถล้ำค่า และสิ่งที่ตระกูลเย่ยังไม่มีไปเท่านั้น!
ฉะนั้นแล้ว..ทั้งเย่เทียนสุ่ยและเย่เทียนตูจึงทำได้เพียงแค่ยืนมองหลิงหยุนเก็บกวาดสนามประลอง และเรียกสิ่งของต่างๆกลับเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที่เท่านั้น!
หลังจากสิ้นสุดภารกิจสะสางความแค้นของหลิงหยุนในคืนนี้แล้วหลิงหยุนเชื่อว่าจะไม่มีชาวยุทธไม้เลื้อยคนใดกล้ามาร่วมงานชุมนุมชาวยุทธเช่นนี้อีกเป็นแน่!
แม้เหล่าชาวยุทธไม้เลื้อยจะเดินลงเขาไปด้วยปาดน้ำตาไปด้วยก็ตามแต่พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองโชคดีกว่าอีกสี่ร้อยชีวิตที่ต้องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ในหุบเขาหลงเฟิงแห่งนี้..
ถึงแม้หลิงหยุนจะรู้ว่าในกลุ่มของชาวยุทธไม้เลื้อยเหล่านี้ย่อมต้องมีคนของตระกูลหลงและตระกูลเย่แทรกซึมอยู่ด้วย แต่หลิงหยุนคร้านที่จะมานั่งเค้นถามทีละคน จึงได้แต่ปล่อยๆไป
หลังจากที่ชาวยุทธไม้เลื้อยกลับออกไปจนหมดแล้วหลิงหยุนจึงสั่งให้หวังชงเซียว ตี้เสี่ยวอู๋ และแวมไพร์ทั้งห้า ช่วยกันนำศพทั้งหมดภายในหุบเขาและที่อยู่รอบๆ ไปกำจัดด้วยผงละลายศพ
แวมไพร์ทั้งห้าล้วนแล้วแต่ใช้เวทย์มนต์ได้ทั้งหมดแล้วการจัดการเคลื่อนย้ายและทำลายซากศพจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ละคนสามารถขนศพได้มากกว่าสิบศพในคราวเดียว และในเวลาเพียงไม่กี่นาทีศพทั้งหมดก็มากองรวมอยู่ในที่เดียวกัน หลังจากจัดการเทผงละลายศพลงไป ศพทั้งหมดก็เริ่มละลายกลายเป็นน้ำสีเหลืองอย่างรวดเร็ว
มีเพียงร่างไร้วิญญาณทั้ง21 ร่างของเหล่าหลวงจีนวัดเส้าหลิน ที่หลวงจีนเจี๋ยวหยวนไม่ยอมให้ทำลาย และได้ขอหลิงหยุนที่จะนำไปจัดการเอง และหลิงหยุนก็ยินยอม
หลังจากจัดการเรื่องศพภายในหุบเขาหลงเฟิงเสร็จแล้วหลิงหยุนก็ได้สั่งให้ไป๋เซียนเอ๋อ หวังชงเซียว แวมไพร์ทั้งห้า และคนอื่นๆเดินทางไปพร้อมกับฉินตงเฉี่วย และแม่ชีอารามจิ้งซินทั้งยี่สิบเอ็ดคนที่ถูกทำลายวรยุทธไป และให้ทั้งหมดเดินทางไปพักที่ตัวเมืองอินถางหนึ่งคืนก่อนเพื่อความปลอดภัย
เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเขาหลงหู่ซึ่งเป็นที่อยู่ของนักบวชสำนักเขาหลงหู่หลิงหยุนจึงเกรงว่าจะมีนักบวชทั้งฝ่ายชางจิงกง และเทียนชี่ฝูออกมาสะสางความแค้นกับตน และที่สำคัญในคืนนี้ทั้งตระกูลหลงที่อยู่เบื้องหลังการปลุกปั่นใส่ไฟ และสำนักกระบี่เทียนซานก็ยังไม่มีผู้ใดปรากฏตัว..
ด้วยเหตุนี้กลุ่มของหลิงหยุนทั้งสิบหกคนเวลานี้ จึงเหลือเพียงแค่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินเพียงสองคนเท่านั้น!
ก่อนที่หวังชงเซียวจะจากไปนั้นหลิงหยุนได้มอบโอสถหลงหู่ให้กับเขาหนึ่งขวด นั่นเพราะจากเหตุการณ์ในคืนนี้ หวังชงเซียวได้ทำให้หลิงหยุนเห็นแล้วว่า เขาสามารถไว้วางใจหวังชงเซียวได้!
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้แนะนำเย่ซิงเฉินให้ทุกคนรู้จัก ต่างฝ่ายต่างก็แนะนำตัวซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างก็รู้ว่าเย่ซิงเฉินก็คือธิดาพรรคมารคนปัจจุบัน!
เย่ชิงซินนั้นเพียงแค่พยักหน้าเมื่อหลิงหยุนแนะนำเย่ซิงเฉินให้รู้จักนางรู้สึกสับสนในใจอย่างมาก และไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเพียว!
เย่ซิงเฉินเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเย่ชิงซินหลังจากทักทายเพียงแค่คำเดียว นางก็ไม่เอ่ยอะไรอีกเลยเช่นกัน!
“หลิงหยุน..ผู้นำตระกูลหลิงขอขอบคุณน้าหญิงเย่ที่ช่วยเหลือในครั้งนี้!”
หลิงหยุนเอ่ยขอบคุณเย่ชิงซินโดยใช้ฐานะของผู้นำตระกูลหลิงในการเจรจากับนาง
เย่ชิงซินเห็นหลิงหยุนทำตัวมีมารยาทจนเกินไปเช่นนี้จึงได้แต่เอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“เจ้าผิดแล้ว!ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยแม้แต่น้อย และเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยเจ้าด้วย!”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงหยุนจึงได้เรียกโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญออกมา ก่อนจะบรรจงใส่ไว้ในขวดหยกสีเขียว แล้วยื่นให้กับเย่ชิงซินพร้อมกับบอกไปว่า
“น้าหญิงเย่..ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งนี้ของเรา!”
เย่ชิงซินถึงกับชะงักนางจ้องมองขวดหยกสีเขียวในมือหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“แต่นี่มันคือโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญที่ล้ำค่าไม่ใช่รึ”
และแน่นอนว่าตระกูลเย่ย่อมต้องส่งคนของตนมาสืบข่าวในคืนงานประมูลแน่เย่ชิงซินจึงได้รับรู้ถึงอานุภาพของโอสถทั้งสองชนิดนี้เป็นอย่างดี..
“ถูกต้อง!”หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับยิ้มๆ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเย่ชิงซินจึงยื่นมืออกไปรับขวดหยกในมือหลิงหยุนมา พร้อมกับพูดเย้าแหย่หลิงหยุนว่า
“หลิงหยุน..อย่าบอกนะว่าโอสถที่ต้องใช้เวลาอีกสามสิบปีข้างหน้าถึงจะหลอมได้อีกครั้ง เจ้าสามารถหลอมเสร็จได้ภายในคืนเดียว”
“น้าหญิงเย่..ท่านอย่าล้อข้าสิ!” หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะ
“หลิงหยุน..ข้าก็อยากได้บ้าง!” เย่เทียนสุ่ยเห็นหลิงหยุนมอบโอสถล้ำค่านี้ให้เย่ชิงซินก็รีบร้องขอหลิงหยุนไปบ้างทันที แต่หลิงหยุนกลับตอบปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“สำหรับเจ้า..ข้าไม่ให้!”
เย่เทียนสุ่ยรีบร้องบอกหลิงหยุนทันที“หลิงหยุน.. หากเจ้ามอบโอสถนั่นให้ข้า ข้ารับรองว่าจะตอบแทนเจ้ากลับคืน เอาเป็นว่าหากคนตระกูลหลงมา ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับพวกเขาเอง!”
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าคนตระกูลหลงจะมาที่นี่จริงๆอย่างนั้นรึ ดูท่าหลงฮ่าวหลานคงจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ช้าเร็วเขาก็คงเลี่ยงที่จะประมือกับตระกูลหลงไม่ได้แน่!
การที่หลิงหยุนจงใจพูดกับเย่ชิงซินในฐานะผู้นำตระกูลหลิงและมอบโอสถทั้งสองให้กับนางนั้น เป็นความตั้งใจของหลิงหยุนทั้งสิ้น เพราะถึงแม้ว่าเย่ชิงซินจะยังไม่ได้ช่วยอะไรหลิงหยุนเลยในครั้งนี้ แต่การที่บุคคลสำคัญของตระกูลเย่ปรากฏตัว และแสดงตัวอยู่ข้างหลิงหยุนเช่นนี้ ย่อมเป็นการบ่งบอกถึงท่าทีของตระกูลเย่ไปนัยๆด้วย
เย่ชิงซินอาจจะปรากฏตัวด้วยเหตุผลส่วนตัวได้แต่หลิงหยุนรู้ว่าการที่เย่เทียนสุ่ยกับเย่เทียนตูซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักของตระกูลเย่ในรุ่นถัดไปปรากฏตัวด้วยนั้น หากไม่ได้รับการยินยอมจากผู้นำตระกูลเย่ ย่อมไม่มีทางที่ทั้งสองคนจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้แน่!
ถึงแม้ระหว่างตระกูลเย่กับตระกูลหลิงจะยังมีบางเรื่องราวที่ยังไม่ถูกสะสางแต่ที่นี่ก็หาใช่สถานที่ที่เหมาะสมจะเจรจาเรื่องเหล่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงหันไปยิ้มให้กับเย่เทียนสุ่ยพร้อมกับถามขึ้นว่า “เรื่องที่เจ้าจะประมือกับคนตระกูลหลงนั้น ข้าไม่ขัด.. เพียงแต่เจ้าจะประมือกับพวกเขาในฐานะอะไร”
เย่เทียนสุ่ยยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปทันที“ฐานะสหายของเจ้า.. พอจะได้หรือไม่”
“ย่อมได้!” ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลิงหยุนย่อมไม่ปฏิเสธและตอบเย่เทียนสุ่ยกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าจะมอบโอสถให้กับเจ้าหลังประลองเสร็จ!”
เย่เทียนสุ่ยร้องตะโกนโวยวายใส่หน้าหลิงหยุนทันที“หลิงหยุน.. เจ้านี่มันขี้เหนียวชะมัดเลย!”
หลิงหยุนคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงเรื่องนี้กับเย่เทียนสุ่ยจึงเปลี่ยนไปถามว่า “ตระกูลหลงจะส่งผู้ใดมางั้นรึ”
แต่ยังไม่ทันที่เย่เทียนสุ่ยจะได้ตอบคำถามของหลิงหยุน..
ร่างสามร่างก็เหาะมาด้วยกระบี่เหินและมาหยุดอยู่เหนือศรีษะของพวกเขาขึ้นไปราวแปดร้อยเมตรอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มือมิด
หลงเทียนฟางที่เป็นผู้เหาะนำมานั้นก็ได้ร้องตะโกนท้าทายเสียงดัง “หลิงหยุน.. ข้าหลงเทียนฟางแห่งตระกูลหลงมาแล้ว เจ้ากล้าประมือกับข้าหรือไม่เล่า” เสียงร้องตะโกนนั้นดังราวกับเสียงอสุนีบาตและทรงพลังอำนาจไม่ต่างจากมังกรคำราม ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งหุบเขาหลงเฟิง!