บทที่ 2797 นี่คือรูปโฉมร่างเทวาของเจ้าหรือ?
กู้ซีจิ่วโต้ตอบอะไรไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่มีคนสั่งสอนเธอเหมือนเด็กเล็กๆ นี่ช่างแปลกพิกลนัก
คนผู้นี้ย่อมเป็นเฟิงเจี่ยอีเขาวนรอบกู้ซีจิ่วอยู่สองรอบใช้คาถาอาคมสองสามอย่างต่อเนื่องกันหมายจะละลายน้ำแข็งให้เธอ ถึงขั้นที่แปะร่มวิเศษคันนั้นไว้เหนือหัวเธอแล้วก็ยังไม่เป็นผล เขานวดคลึงหว่างคิ้ว ถอนหายใจแล้วเอ่ย “จะช่วยเทพผู้สร้างโลกสักคนก็ยุ่งยากขนาดนี้เชียวหรือ! ข้าช่างแส่หาเรื่องโดยแท้…”
กู้ซีจิ่วยังคงโต้ตอบอะไรไม่ได้…
หากว่าเขาไม่พาเธอมาที่นี่โดยไม่อธิบายอะไรเลย เธอคงไม่กลายเป็นหุ่นน้ำแข็งกระมัง!
เฟิงเจี่ยอีหลุบตาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันหลังก้าวออกไปอีกครั้ง
ไปไหนแล้ว? ไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วมองเห็นแผ่นหลังเขาค่อยๆ เลือนหายไป หัวใจที่นิ่งสงบดุจวารีมาโดยตลอดพลันมีฟองแห่งความโกรธผุดพรายขึ้นมาอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก!
เขาวางแผนจะทิ้งให้เธอกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งอยู่ที่นี่แบบนี้หรือ?!!
สารเลว!
สถานที่แห่งนี้อีกหลายสิบปีก็ยังไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดย่างกรายมา เช่นนั้นเธอมิต้องกลายเป็นยอดเขาหิมะลูกหนึ่งอยู่ที่นี่หรอกหรือ? ไม่แน่ว่าจวบจนถึงวันที่เธอดับขันธ์ก็อาจจะยังละลายน้ำแข็งไม่ได้ด้วยซ้ำ!
เธอไม่กลัวความตาย แต่ภารกิจของเธอยังไม่ลุล่วง…
เธอหลับตาลง เริ่มร่ายอาคมดึงดวงวิญญาณออกจากสังขารร่างนี้ คิดจะถอดวิญญาณออกไป…
นี่คือทางเลือกสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์คับขันจริงๆ เธอก็ไม่อยากใช้เลย
ความรู้สึกของการถอดวิญญาณไม่น่าอภิรมย์เลย โดยเฉพาะในสภาพแช่แข็งแบบนี้ ยิ่งเพิ่มความลำบากเข้าไปอีก
เธอเพิ่งจะถอดวิญญาณออกมาได้ครึ่งเดียว เงาสีม่วงพลันวาบขึ้นมาไกลๆ คนผู้หนึ่งเหินเข้ามา
กู้ซีจิ่วหยุดการกระทำ มองบุรุษที่เข้ามาใกล้ตน ผงะไปแวบหนึ่ง
ชายคนนี้สวมอาภรณ์สีม่วงพราวระยับ เรือนผมยาวดุจแพรไพรปล่อยลู่จรดเอว กลางหน้าผากคาดแถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกสีแดงเส้นหนึ่งไว้ ขนงเนตรงดงามอย่างที่ยากจะพรรณนาออกมาได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือ กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่รางๆ ว่าคนผู้นี้ค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง…
คนผู้นี้คือใคร?
คนผู้นี้หยุดลงตรงหน้าเธอ สูงกว่าเธอครึ่งช่วงตัว ยามที่ก้มมองเธอ ทำให้เธอสัมผัสถึงความรู้สึกกดข่มประการหนึ่งได้อย่างน่าประหลาด
เขาหลุบตามองเธอ แววตายากจะคาดเดา ถอนหายใจแผ่วเบา “เจ้าเป็นคนแรกที่ได้เห็นร่างจริงของข้า…”
กู้ซีจิ่วตะลึงไปเล็กน้อย
ในที่สุดเธอก็จำเขาได้แล้ว
เฟิงเจี่ยอี! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเฟิงเจี่ยอี!
เขาวิ่งออกไปรอบหนึ่งเพื่อเปลี่ยนรูปโฉมแล้วกลับมาทำไม?
เธอเพ่งพิศเขาให้ละเอียดอีกครั้ง หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมา
หลังจากเขาเปลี่ยนรูปโฉมแล้ว พลังวิญญาณก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย! รอบกายคล้ายมีแสงมงคลโอบล้อมอยู่เลือนราง แสงมงคลนี้คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น แต่กู้ซีจิ่วสามารถมองเห็นได้
ทำไมบนร่างของเขาถึงมีแสงมงคลแห่งเทพอยู่ล่ะ?!
แสงมงคลนี้เธอมี ฟั่นเชียนซื่อเองก็มี เพียงแต่สีสันอ่อนจางยิ่งนัก ถ้าไม่สังเกตให้ละเอียดจะมองไม่เห็นเลย
กู้ซีจิ่วก็เคยใช้จุดนี้มาพิสูจน์ยืนยันว่าฟั่นเชียนซื่อคือกุมารเทพที่ถือกำเนิดจากการฟูมฟักของฟ้าดิน
ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าบนร่างเฟิงเจี่ยอีที่ไม่เป็นที่รู้จักผู้นี้ก็มีแสงมงคลชนิดนี้อยู่เช่นกัน ถึงขั้นที่แสงมงคลของเขาบริสุทธิ์กว่าของฟั่นเชียนซื่อมากนัก หรือว่าเขาจะเป็นกุมารเทพที่ถือกำเนิดจากการฟูมฟักของฟ้าดินด้วย?
คำถามนับไม่ถ้วนกวาดผ่านเข้ามาในใจของกู้ซีจิ่ว เพียงจนใจที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้เลยสักประโยค
“ล่วงเกินแล้ว” เฟิงเจี่ยอีกล่าว ไม่รอให้กู้ซีจิ่วทันมีปฏิกิริยาตอบสนองว่าเขาจะทำสิ่งใด สองมือเขาก็จรดร่ายเคล็ดอาคมแล้ว มือข้างหนึ่งทาบลงบนจุดเหนือสะดือของเธอ ส่วนอีกข้างทาบลงบนตำแหน่งหลังหัวใจของเธอมีกระแสความอบอุ่นไหลผ่านเข้าสู่สองจุดนี้
….
ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม
กู้ซีจิ่วถือร่มสีแดงคันนั้นไว้ มองเขาอย่างเฉื่อยชา “เจ้ายังคงเป็นเฟิงเจี่ยอีอยู่กระมัง? ว่ามาเถอะ สรุปแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่?”
“ข้าแซ่ตี้ ตี้ฝูอี” ชายชุดม่วงผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ “เฟิงเจี่ยอีเป็นเพียงนามของอวตารร่างหนึ่งของข้า”
กู้ซีจิ่วกระจ่างในทันใด เพ่งพิศเขาจากบนจรดล่างแวบหนึ่ง “นี่คือรูปโฉมร่างเทวาของเจ้าหรือ?”
————————————————————————————-
บทที่ 2798 เด็กหนุ่มผู้ลึกลับ
กู้ซีจิ่วกระจ่างในทันใด เพ่งพิศเขาจากบนจรดล่างแวบหนึ่ง “นี่คือรูปโฉมร่างเทวาของเจ้าหรือ?” แล้วเอ่ยถามอีกประโยค “อวตารร่างหนึ่งหมายความว่าอย่างไร?”
“อวตารนอกร่าง” ตี้ฝูอีอธิบาย
ดวงตากู้ซีจิ่วฉายแววประหลาดใจ
การอวตารนอกร่างพูดกันอย่างง่ายๆ ก็คือคนผู้หนึ่งฝึกฝนจนแบ่งแยกออกมาได้หลายร่าง ส่วนใหญ่แล้วร่างแยกเหล่านี้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนร่างต้นทุกประการ แต่คุณสมบัติและพลังวิญญาณกลับห่างชั้นกับร่างต้นมากนัก
ตอนที่กู้ซีจิ่วอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ก็แบ่งร่างอวตารได้เช่นกัน แต่หลังจากเธอหลับไปงีบใหญ่ ร่างอวตารเหล่านั้นก็สลายหายไปพร้อมการหลับใหลของเธอ
ส่วนตอนนี้พลังยุทธ์ของเธออ่อนแอ ไม่อาจบำเพ็ญการอวตารนอกร่างได้อีกแล้ว
ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะเป็นเคล็ดวิชานี้ด้วย! แถมยังสามารถทำให้รูปโฉมของร่างอวตารต่างกันออกไปได้ด้วย เขาเป็นใครกันแน่?!
เธอพลันคว้าข้อมือเขาไว้ทันที!
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วแวบหนึ่ง ปล่อยให้เธอกุมไว้ “อะไร?”
กู้ซีจิ่วค่อยๆ ปล่อยมือมองดูเขา “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะมีอายุแค่ยี่สิบสองปี…”
เธอใช้วิชาคำนวณกระดูก วัดอายุคนได้ไม่เคยพลาด
ตี้ฝูอีมองนางแวบหนึ่ง ชักข้อมือกลับไป “สมกับเป็นเทพผู้สร้างโลกโดยแท้ ล้วนมองออกทุกอย่าง”
“เล่าฐานะความเป็นมาของเจ้าซะ!” สายตาของกู้ซีจิ่วจับจ้องเขา
ตี้ฝูอีพลันหัวเราะขึ้นมา “พระองค์เจ้า พวกเราเพียงบังเอิญพบปะกันอย่างผิวเผิน ท่านมาซักไซ้ประวัติความเป็นมาของข้าอย่างละเอียดเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง?”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยินยอม แต่กู้ซีจิ่วกลับต้องถามให้ได้ “เจ้าถือกำเนิดจากฟ้าดินใช่ไหม? ไร้บิดามารดากระมัง?”
แปลก โลกนี้ให้ความสำคัญต่อเด็กที่ถือกำเนิดขึ้นจากการบ่มเพาะของฟ้าดินเป็นที่สุด เมื่อปรากฏออกมาสักคนก็จะแย่งชิงกันประหนึ่งสุนัขแย่งกระดูก ทำไมตี้ฝูอีผู้นี้กลับไม่เป็นที่รู้จักเล่า?
กู้ซีจิ่วไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเขามาก่อนเลย…
สายตาตี้ฝูอีเยียบเย็นลง เขาไม่ได้ตอบคำถามของกู้ซีจิ่ว เพียงโยนผ้าคลุมสีแดงสดใสที่พับไว้ให้เธอผืนหนึ่ง “คลุมมันซะ สามารถปกป้องให้อยู่ท่ามกลางพายุพลังวิญญาณได้โดยปลอดภัย” แล้วหันหลังจากไปเลย
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ ด้วยวรยุทธ์ของเธอในตอนนี้ ไม่อาจจับตัวอีกฝ่ายมาคาดคั้นให้เขาพูดความจริงได้…
เธอเก็บคำถามที่สุดแน่นอยู่ในหัวใจไว้ คลี่ผ้าคลุมสีแดงพับอยู่ออก ทันทีที่สัมผัสถูกเนื้อผ้าหัวใจพลันวูบไหว
นี่คือไหมแสงสุริยัน เล่าขานกันว่าชาวเงือกใช้โลหิตสดๆ ในร่างตนผสมผสานกับแสงตะวันแล้วถักทอขึ้นมา สามารถต้านพายุทราย สกัดไอหนาวทุกอย่างได้
เห็นทีว่าที่เขาจากไปก่อนหน้านี้ก็คือไปเอาสมบัติชิ้นนี้มา
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้รู้จักที่นี่ดีอย่างยิ่ง หรือว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้?
เธอส่ายหน้า ไม่คิดมากอีกต่อไป คลุมผ้าคลุมสีแดงผืนนั้น ราวกับมีแสงตะวันคลี่ห่มทั้งร่างไว้ จากนั้นก็ไล่ตามพายุหมุนลูกหนึ่งไป มุดเข้าไป
มีผ้าคลุมไหมแดงพลิ้วไหวผืนนี้คุ้มกายแล้ว สายลมอันรุนแรงในตาพายุก็ทำอะไรเธอไม่ได้จริงๆ ถึงขั้นที่เธอรู้สึกได้ว่าลมหนาวไม่บาดหน้าเลย สูดดมได้เพียงไอวิญญาณอันเปี่ยมล้น
กู้ซีจิ่วอยู่ที่แดนน้ำแข็งแห่งนี้ถึงหนึ่งเดือนเต็ม! ดูดซับไอวิญญาณในกลุ่มพายุเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ ตี้ฝูอีไม่เคยโผล่มาเลยสักครั้ง คล้ายจะทอดทิ้งเธอไว้บนยอดเขาเพียงลำพังแล้ว
หนึ่งเดือนให้หลังในช่วงพลบค่ำของวันหนึ่ง กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้น ยืนขึ้นในตาพายุ ย่างเท้าก้าวออกมา
ลมหนาวในแดนน้ำแข็งพัดหวีดหวิว ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลย
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนนี้ พลังยุทธ์ของเธอฟื้นฟูกลับมาสองส่วนแล้ว!
มีพลังยุทธ์สองส่วนนี้อยู่ในร่าง ความเหน็บหนาวของดินแดนนี้เธอย่อมไม่เก็บมาใส่ใจแล้ว
ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?
ในหนึ่งเดือนมานี้กู้ซีจิ่ววนสำรวจทั้งนอกในของสถานที่นี้มาแล้ว ไม่พบเส้นทางออกไปเลย ราวกับที่นี่คือโลกอีกใบหนึ่ง ไม่มีพรมแดนเชื่อมต่อกับดินแดนอื่นๆ
ในใจเธอพะวงถึงฟั่นเชียนซื่อศิษย์ของตนกับเชียนอูเหยียนผู้เป็นสาวใช้ หลังจากเธอรับตัวสองคนนี้ไว้ ยังไม่เคยจากมานานถึงขนาดนี้มาก่อนเลย!
กู้ซีจิ่ววนรอบยอดเขาหิมะอีกรอบหนึ่ง คิดจะตามหาตี้ฝูอีคนนั้น ผลคือยังคงไร้วี่แวว ทว่าจู่ๆ ก็พบว่าบนยอดเขามีไอหมอกสายหนึ่งแผ่ลงมาจากฟากฟ้า เชื่อมต่อกับยอดเขา
ไอหมอกนั้นกลิ้งตลบ เชื่อมตรงขึ้นสู่นภา มองไม่เห็นปลายเลย
เธอใจเต้นแวบหนึ่ง กระโจนเข้าสู่ไอหมอก คิดจะดูว่าในไอหมอกนี้มีกลไกสำหรับออกไปหรือไม่
ผลคือเพิ่งจะเข้าสู่ด้านใน ร่างกายพลันเบาหวิว หลังจากหมุนติ้วจนเวียนหัวลายตาอยู่พักหนึ่ง เมื่อเธอยืนได้มั่นคงอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ทิวทัศน์รอบข้างไม่แปลกใหม่เลย
เธอมองพิศแวบเดียวก็จำที่นี่ได้แล้ว เป็นเขตชายแดนของภพปีศาจ
มีระยะทางห่างจากสถานที่ที่เธอเคยไปดื่มกินถึงพันลี้เต็มๆ และห่างจากหุบเขาเสียงสวรรค์ของเธอเพียงหนึ่งร้อยลี้
“อาจารย์!”
ขณะที่กู้ซีจิ่วพิจารณารอบข้างอยู่ เสียงหนึ่งก็แว่วมาไม่ไกล เธอเงยหน้าขึ้น มองเห็นฟั่นเชียนซื่ออ้อมออกมาจากด้านหลังโขดหินก้อนหนึ่ง สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีระคนไม่อยากจะเชื่อ เท้าสะดุดหินก้อนหนึ่งจนซวนเซ เขาก็คล้ายจะไม่รู้สึกตัว สาวเท้าก้าวเข้ามา “อาจารย์?!”