ตอนที่ 801 การชุมนุมที่คฤหาสน์เจียงหยาง 1
ภายในหนึ่งในตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบ นิกายหยางจิ หัวหน้านิกายคนปัจจุบันนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงกลางห้องโถงหรูหรา เบื้องล่างที่ชายสูงอายุหลายคนนั่งเรียงแถว ทั้งหมดเป็นเซียนผู้คุมกฎ
แม้ทั้งหมดจะไม่ได้ทรงพลังที่สุดในนิกาย แต่ก็เป็นสมาชิกระดับสูง ทั้งนิกายถูกปกครองโดยคนเหล่านี้ มีอำนาจเหมือนกับขุนนาง
“เรารู้มาว่าหยางยู่เทียนนั้นจริง ๆ แล้วคือเจี้ยนเฉิน บ้านของมันอยู่เมืองลอร์ อาณาจักรเกอซุน มันมาจากตระกูลเล็ก ๆ ชื่อตระกูลเจียงหยาง ชื่อในตระกูลคือเจียงหยางเซียงเทียน” หัวหน้านิกายพูดขึ้นจากบนบัลลังก์พร้อมมองไปรอบ ๆ
“อะไรนะ ? ตระกูลเจียงหยาง? ตระกูลเจียงหยางที่เป็นหนึ่งในตระกูลผู้พิทักษ์นะหรือ ? ” สิ้นคำพูดของหัวหน้านิกาย ทั้งคนที่ฟังอยู่ต่างส่งเสียงตกใจออกมา
หัวหน้านิกายยิ้มบาง ๆ “ตระกูลเจียงหยางในสิบผู้พิทักษ์นั้นมี 3 สาขา สาขาซู สาขาหยวน สาขาฉิง เซียงไม่ใช่หนึ่งในนั้น ข้าคิดว่าตระกูลเจียงหยางในเมืองลอร์นั้นเพียงแค่บังเอิญใช้แซ่เดียวกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเจียงหยางที่เป็นตระกูลผู้พิทักษ์”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ทวีปเทียนหยวนใหญ่ขนาดไหน การที่ตระกูลบางตระกูลจะใช้แซ่เหมือนกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ท่านหัวหน้านิกายวิเคราะห์มาไม่น่าจะผิด ตระกูลเจียงหยางแห่งเมืองลอร์น่าจะเพียงแค่บังเอิญเหมือนก็เท่านั้น” คำพูดของหัวหน้านิกายทำให้ทุกคนเห็นด้วยไปโดนปริยาย
ทันใดนั้นชายสูงอายุคนหนึ่งก็ลุกขึ้น ก่อนพูดพร้อมประสานมือทำความเคารพ “เรียนท่านหัวหน้านิกาย ไม่กี่วันก่อน ยามที่สำนักเราออกจากการปิดด่านเก็บตัว มีศิษย์จากนิกายสาขาภายนอกมาแจ้งข่าวว่านิกายสาขานั้นถูกทำลายโดยใครบางคน คน ๆ นั้นคือเจี้ยนเฉินกับพยัคฆ์ปีกเทวะ”
แววตาของหัวหน้านิกายเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วมองตรงไปยังชายแก่คนนั้น “จริงหรือ ผู้อาวุโสหลิงหยวนซี ? “
ผู้อาวุโสหลิงหยวนซีประสานมือก่อนตอบอย่างมั่นใจ “เรียนท่านหัวหน้านิกาย ข้าส่งคนออกไปตรวจสอบมาแล้ว ทุกอย่างที่พูดมาเป็นความจริง ไม่มีความเท็จแม้แต่น้อย”
ทันทีที่ได้ยินหัวหน้านิกายหัวเราะลั่น “สวรรค์เป็นใจให้กับนิกายหยางจิของข้าแล้ว สวรรค์เป็นใจจริง ๆ ก่อนหน้านี้ปัญหาเรื่องคนที่ควรได้สิทธิ์ทำสัญญากับพยัคฆ์ปีกเทวะนั้นแก้กันไม่ตกภายในสิบตระกูล แต่การที่เจี้ยนเฉินทำลายนิกายสาขาของเรา มันเท่ากับว่าเรามีสิทธิ์ทุกประการที่จะจับมัน การที่เราจับตัวเจี้ยนเฉินได้ก็เท่ากับเราได้พยัคฆ์ปีกเทวะมาเช่นกัน”
“ต่อให้ตระกูลจะจับมันไปได้ก่อน แต่การที่มันทำลายสาขานิกายของเราก็เพียงพอจะใช้เป็นเหตุผล หากข้าแค่ใช้เส้นสายอีกนิดหน่อย โอกาสที่จะได้พยัคฆ์ปีกเทวะมาในครอบครองก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว”
แววตาของหัวหน้านิกายเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนเร่งออกจากห้องโถงประชุม “รอช้าไม่ได้แล้ว ข้าจะเร่งไปติดต่อกับเหล่าบรรพชน หาทางดูว่าเราจำเป็นต้องจัดการอะไรกับครอบครัวและคนสนิทของเจี้ยนเฉินหรือไม่ ผู้อาวุโสทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมออกเดินทางให้เร็วที่สุด”
..
คนหลายสิบคนกำลังเหาะทะยานบนท้องฟ้าเหนืออาณาจักรเกอซุน สองคนนำหน้าเป็นหญิงสาวที่ดูอายุน่าจะอยู่ในช่วงยี่สิบปีกับชายหนุ่มที่ดูมีอายุกว่านิดหน่อย ชายหนุ่มนับว่ารูปงาม ส่วนหญิงสาวเองก็งดงามไม่แพ้กัน เพียงแค่ดูก็รู้ว่าทั้งสองอยู่ในตระกูลใหญ่ แค่บุคลิกภาพก็ดีกว่าคนทั่วไปหลายขุม เพราะใบหน้าและท่าทางที่ไม่ค่อยแตกต่างกันนัก จึงดูท่าทางน่าจะเป็นพี่น้องกัน
ตามมาด้วยชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำอีกสิบสองคน ทั้งหมดมีสีหน้าไร้อารมณ์แต่ดวงตาแฝงไว้ดวงความเย็นชา
“มันมีตระกูลเล็ก ๆ ที่ใช้แซ่เจียงหยางจริง ๆ ด้วย มันกล้ามากนัก ! เหตุใดแซ่เจียงหยางของเราถึงถูกคนอื่นเอาไปใช้ร่วมได้ง่ายดายเพียงนี้ ? คราวนี้เราต้องลงโทษคนพวกนั้นให้หมด” หญิงสาวพูดเสียงกร้าว นางกำลังโกรธเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มข้าง ๆ ยิ้มแห้ง ๆ “น้องสาว อย่าไปใส่ใจเรื่องพวกนี้ให้มากนักเลย ทวีปเรากว้างใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตา ชื่อแซ่ต่างบังเอิญเหมือนกันกลาดเกลื่อนไป ไม่แปลกหรอกที่จะมีตระกูลอื่นใช้ชื่อแซ่เดียวกับเรา เราแค่ทำให้พวกมันเปลี่ยนแซ่ตนเองไปก็เพียงพอแล้ว อย่าให้มากเกินไปเลย”
อารมณ์ของหญิงสาวสงบลงเล็กน้อยจากคำพูดของพี่ชาย หลังจากลังเลครู่หนึ่ง นางจึงพูดขึ้น “พี่ชายพูดถูกแล้ว ตกลง แค่ทำให้พวกมันเปลี่ยนแซ่ของตัวเองก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงโทษ”
“อีกอย่างนะน้องสาว ภารกิจครั้งนี้คือตามหาข้อมูลพยัคฆ์ปีกเทวะ อย่าสนใจเรื่องราวข้างทางให้มากมายนัก ดูสิ ตั้งแต่เราออกมาจากตระกูล เจ้าเอาแต่ไปสนใจนู้นนี้ตลอดทาง นี่เจ้าได้ใส่ใจสนใจภารกิจของเราบ้างหรือไม่ ? ” ชายหนุ่มพูดอย่างหนักใจ แววตาที่มองน้องสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูผสมกับความเหนื่อยใจ
หญิงสาวสงวนท่าทีขึ้นมา ก่อนพูดงึมงำ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่ไม่ต้องพูดอะไรอีก ตลอดทางแม้ข้าสนใจนู่นนี่นั่นข้างทาง แต่ข้าก็ตามหาเบาะแสของพยัคฆ์ปีกเทวะอยู่ด้วย ท่านไม่เห็นหรือ ? “
ทั้งสองพูดคุยกันพร้อมกับมุ่งหน้าไปเมืองลอร์ แม้จะเป็นเพียงแค่เซียนสวรรค์ แต่ความเร็วของทั้งคู่นั้นเร็วกว่าเซียนสวรรค์ธรรมดาไปมาก จึงถึงเมืองลอร์ในเวลาไม่นานนัก
ยามนี้ทหารกว่าครึ่งล้านคนจากกองทัพดาบเทพตะวันออกได้กลับไปยังอาณาจักรฉินหวงหมดแล้ว
“น้องสาว ข้างล่างเราคือคฤหาสน์ตระกูลเจียงหยาง ลงไปกันเถอะ” ชายหนุ่มชี้ไปยังคฤหาสน์เบื้องล่าง
หญิงสาวขมวดคิ้วยามมองคฤหาสน์เบื้องล่าง แววตาปรากฏความหงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนแสยะยิ้มแล้วร่อนตัวลง
เซียนสวรรค์สิบกว่าคนร่อนลงมาท้องฟ้าตรงเข้ามากลางคฤหาสน์ แรงกดดันจากพลังนั้นมากพอที่จะทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นตื่นตัว
ทันทีที่ลงมาถึงทหารยามกลุ่มใหญ่มายืนล้อมรอบจากทุกทิศทางทันควัน ทหารทั้งหมดจ้องมองอาคันตุกะทั้งหมดอย่างดุดันไม่หวั่นเกรง
“กล้าดียังไงถึงมาบุกรุกคฤหาสน์เจียงหยาง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ ? บอกมาว่าพวกเจ้าเป็นใคร” หัวหน้าทหารตะโกนก้อง ต่อให้ต่อหน้ามีเซียนสวรรค์ถึง 14 คน แต่หัวหน้าทหารไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะนายน้อยสี่ของตระกูลนั้นเป็นเซียนสวรรค์
“ฮือฮืม พวกแกเองซะมากกว่าที่ไม่อยากมีชีวิตถึงได้กล้าใช้ชื่อเจียงหยางโดยไม่ขออนุญาต แล้วยังกล้าทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าข้า ! คิดหรือว่าข้าไม่กล้าตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสียตรงนี้ ? ” หญิงสาวเอามือท้าวสะเอวพร้อมมองตรงไปที่หัวหน้าทหารยามอย่างโกรธเคือง ยามนี้นางหัวเสียถึงขั้นสุดแล้ว
หัวหน้าทหารหน้าเครียดขึ้นมา แต่ก่อนที่จะพูดโต้ตอบ เขาเห็นเจียงหวูจี่กำลังเดินตรงมา สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบ ก่อนพูดขึ้น “ข้าคารวะท่านผู้ดูแล”
เจียงหวูจี่เดินมาจากเบื้องหลังระหว่าง เขามองสำรวจเซียนสวรรค์ทั้งสิบสี่ที่พึ่งมาถึงอย่างละเอียดระหว่างที่เดิน ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสัญลักษณ์คล้ายพระอาทิตย์บนอกเสื้อคลุมของคนทั้งหมด สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายอย่างเห็นได้ชัด
สองพี่น้องเองก็เห็นเจียงหวูจี่ที่พึ่งมาถึง ก่อนจะเบนความสนใจไปทางฉางหวู่จี้แทน ก่อนที่หญิงสาวจะพูดขึ้นอย่างไร้มารยาทอีกครา “นำผู้นำตระกูลของพวกเจ้าออกมา”
เจียงหวูจี่มองหญิงสาวท่าทีหยาบคาบกับชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมด้วยแววตาวุ่นวายสับสน ก่อนถาม “พวกเจ้าชื่ออะไร ? ” น้ำเสียงของเจียงหวูจี่สั่นเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หญิงสาวไม่ไหวติง เพียงแค่จ้องมองลุงฉาง ก่อนพูด “ฮืมมม เจ้าไม่มีสิทธ์จะรู้ชื่อของข้า พาผู้นำตระกูลของเจ้าออกมา ข้าไม่มีเวลา…”
ก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ นางถูกหยุดด้วยมือจากชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดอย่างจนอกจนใจ “น้องสาวพอได้แล้ว หยุดเล่นไปทั่วได้แล้ว จะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ? ยังสนุกไม่พออีกหรือไง ? “
ท่าทียโสของหญิงสาวหายไปทันที “ท่านพี่ ปล่อยให้ข้าทำอย่างที่ข้าต้องการอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ ? ข้าได้ยินมานานมากแล้วว่าในทวีปเทียนหยวน ตราบใดที่เจ้ามีพลัง จะข่มเหงใครก็ได้ไม่ต้องกังวล ในที่สุดข้าได้ออกมานอกตระกูล ท่านปล่อยข้าอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ ? “
“น้องสาว ! เรามาจัดการธุระ ไม่ใช่มาเล่น” ชายหนุ่มพูดอย่างสิ้นหวัง ต่อหน้าน้องสาวเขาไม่สามารถทำอะไรได้
“ตกลง ข้าเข้าใจ” หญิงสาวหันไปทางอื่นอย่างหดหู่ ไร้ความสุข
ชายหนุ่มไม่สนใจน้องสาวตัวเองอีก ก่อนหันไปหาเจียงหวูจี่ “ผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่ ? “
“ผู้นำตระกูลเพิ่งจากไปยังไม่ได้แต่งตั้งผู้นำคนใหม่ ยามนี้เรื่องราวต่าง ๆ ตาแก่คนนี้เป็นคนดูแลเป็นการชั่วคราว” ลุงเจียงพูดขึ้นมา
“เอาล่ะ เช่นนั้นแล้วข้าขอพูดตรง ๆ เลยละกัน พวกเจ้าไม่สามารถใช้ชื่อตระกูลเจียงหยางเป็นชื่อตระกูลของพวกเจ้า พวกเจ้าควรเปลี่ยนมันซะ” ชายหนุ่มพูดอย่างสงบ
ทหารยามทั้งอยู่โดยรอบตกตะลึงทันทีที่ได้ยินคำพูด ก่อนจะมองทั้งชายหนุ่มราวกับจ้องมองคนบ้า
“ไอ้พวกเด็กบ้า พวกเจ้าเป็นคนแรกที่กล้ามาบอกพวกเราให้เปลี่ยนแซ่ของตัวเองตั้งแต่ตระกูลเจียงหยางของเราก่อตั้งขึ้น” น้ำเสียงมีอายุดังขึ้นอย่างโกรธเคือง สมาชิกในตระกูลหลายคนเริ่มเดินออกมาพร้อมจ้องมองทั้งสองอย่างโกรธแค้น
คิ้วของหญิงสาวขมวด ก่อนที่นางจะทันได้พูดขึ้น ลุงเจียงกลับทำให้ทั้งสองตกใจด้วยคำถาม
“ข้าอยากรู้นักเจ้าสองคนมาจากสาขาไหนกัน ซู หยวน หรือ ชิง ? ” ลุงเจียงพูดด้วยเสียงที่สั่นเบา ๆ
หลังจากตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ หญิงสาวตาเบิกกว้างจ้องมองลุงฉางอย่างไม่อยากเชื่อ “เป เป็ เป็นไปไม่ได้ ทะ ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องราวภายในตระกูลเจียงหยางของเราได้”
“เจ้าเป็นใครกัน ? หรือว่าบางทีเจ้าจะเป็นสมาชิกตระกูลเจียงหยางของข้า ? ” ชายหนุ่มเองก็ดูตกใจไม่น้อย
ตระกูลเจียงหยางเป็นหนึ่งในตระกูลผู้พิทักษ์ที่อยู่ภายในมิติแยกและปิดผนึกตัวเองตลอดมา น้อยคนในโลกภายนอกที่จะรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ แต่ชายแก่ตรงหน้าเป็นแค่เซียนสวรรค์ธรรมดา กลับพูดถึงเรื่องภายในตระกูลสาขาทั้งสามทันทีที่เริ่ม ทำให้ชายหนุ่มตกใจไม่น้อย นอกจากตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบที่คอยคุ้มกันทวีปเทียนหยวนแล้ว น้อยคนนักที่รู้
ลุงเจียงถอนหายใจเบา ๆ ภาพเบื้องหน้าซ้อนทับกับใครบางคนในความทรงจำ ก่อนถามขึ้น “ข้าอยากรู้ว่าเจียงหยาง ซูอวี้หยวนเป็นอะไรกันกับพวกเจ้าทั้งสอง”
“เจียงหยาง ซู อวี้หยวน นั้น นั้นชื่อของท่านย่าเย่ เจ เจ้ เจ้า ทำไมเจ้าถึงรู้ชื่อของท่านย่าเย่ของข้า ? ” หญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างโตราวกับไข่ห่านจ้องมองลุงเจียงอย่างตกตะลึง
ท่าทีสุขุมนุ่มลึกของชายหนุ่มเองก็เริ่มหายไป เขาจ้องมองลุงฉางอย่างไม่อยากเชื่อ สีหน้าตกตะลึงจนลืมคำพูดไปหมด