ซูจิ่นซีพยักหน้า
ทั้งสองเดินตามแผนที่ที่เด็กน้อยให้มา เพื่อค้นหาตำแหน่งของสัตว์ภูต
หากเด็กน้อยไม่ได้บอกว่าที่นี่คือดินแดนลึกลับเสวียนคง ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาคงไม่รู้แน่ว่าพวกเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
เพราะทุกสิ่งที่นี่ อาทิ ภูเขา แม่น้ำ ทิวทัศน์ที่งดงาม สายน้ำไหล ดอกไม้ และต้นไม้ ทั้งหมดล้วนคล้ายกับโลกภายนอก เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่มีบ้านเรือนของผู้คนอาศัยอยู่เหมือนกับโลกภายนอกเท่านั้น
ทั้งสองค้นหาอยู่เป็นเวลาสามวันเต็ม ในที่สุด หากดูตามแผนที่ พวกเขาก็มาถึงทางผ่านช่องเขาที่อยู่ใกล้กับถ้ำของสัตว์ภูตแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ
ทันใดนั้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กหญิงตัวเล็กก็ดังมาจากระยะไกล
หรือว่าในดินแดนลึกลับเสวียนคงมีมนุษย์?
ไม่รู้!
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ถามเด็กน้อยทั้งสอง
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นเรื่อยๆ
ซูจิ่นซีเหลือบมองเยี่ยโยวเหยา ส่งสัญญาณให้เข้าไปดูเหตุการณ์ จากนั้นนางจึงเดินนำหน้าไปก่อน
เยี่ยโยวเหยารีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซูจิ่นซี “ระวังตัวด้วย”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พยายามกลั้นหัวเราะ
“เยี่ยโยวเหยา คนอย่างโยวอ๋องกลัวเด็กด้วยหรือ”
แน่นอนว่าโยวอ๋องไม่ได้กลัว ทว่าเขาเป็นห่วงซูจิ่นซีมากกว่า
“อย่าลืมว่าที่นี่คือดินแดนลึกลับเสวียนคง”
ซูจิ่นซีพยักหน้า จากนั้นจังหวะก้าวเดินของนางก็ระมัดระวังมากขึ้น
ไม่นานนัก ทั้งสองก็แหวกต้นกกริมแม่น้ำออก และเห็นเด็กน้อยกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
เด็กสาวอายุประมาณสี่ถึงห้าขวบ สวมชุดสีแดงปักลายนกโบยบิน ไว้ผมเปียสองเส้นบนศีรษะ
ดูจากเสื้อผ้าและลวดลายปักบนเสื้อ ตลอดจนเนื้อผ้า นางคงเป็นบุตรของตระกูลที่ร่ำรวย เด็กน้อยมาอยู่ในภูเขาแห่งนี้ได้อย่างไร?
เด็กหญิงตัวน้อยกำลังร้องไห้ กำปั้นเล็กๆ ของนางยกขึ้นขยี้ที่เบ้าตา ขณะที่เด็กน้อยเห็นซูจิ่นซี นางก็รีบวิ่งไปหาซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว
“ฮือ ฮือ ฮือ พี่สาว ช่วยข้าด้วย”
ทว่าเพิ่งเดินไปได้สองก้าว เด็กน้อยอยู่ห่างจากซูจิ่นซีพอสมควร แต่ดูเหมือนนางจะกลัวซูจิ่นซีเล็กน้อยจึงตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบวิ่งไปหาเยี่ยโยวเหยา “พี่ชายช่วยข้าด้วย… ”
มีสตรีจำนวนมากที่ชื่นชอบเยี่ยโยวเหยา และมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่ชอบเช่นกัน ทั้งหมดเป็นเพราะไอสังหารบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ พวกเขาทำได้เพียงชื่นชมเยี่ยโยวเหยาจากระยะไกลเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีพบกับสตรีประเภทนี้ที่กระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา ทั้งนางผู้นั้นยังมีอายุเพียงห้าหกขวบ
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก นางมองเด็กหญิงตัวน้อยที่วิ่งเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาสนใจ
ปฏิกิริยาของเยี่ยโยวเหยานั้นเร็วกว่าซูจิ่นซีมาก เขาขมวดคิ้วเกือบจะทันทีที่เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาหา จากนั้นสายตาของเขาก็แสดงถึงความรำคาญ
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เด็กหญิงกำลังจะโผเข้ากอด จู่ๆ เขาก็หลบไปด้านข้าง
‘วืด… ’ เด็กหญิงตัวน้อยลื่นไถลล่มกลิ้งกับพื้น
“โอ๊ย… ฮือ… คนเลว พวกเจ้าเป็นคนเลว… ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยด้วย… ช่วยด้วย… ”
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาแสดงท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติ และคิ้วก็กระตุกไม่หยุด
ท่านอ๋อง ท่านใจดำยิ่งนัก นางเป็นเพียงเด็กน้อยตาดำๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือ?
กล้าปกป้องบุปผางามแห่งมาตุภูมิหรือไม่?
ไม่เป็นไร!
ซูจิ่นซีลืมไปว่าในสายตาของโยวอ๋อง นอกจากซูจิ่นซีแล้ว แม้แต่บุรุษและสตรีก็ไม่เว้น นับประสาอันใดกับการแบ่งแยกผู้ใหญ่หรือเด็ก?
ซูจิ่นซีเดินไปหาเด็กหญิงด้วยสีหน้าอับจนหนทาง นางคิดจะพยุงเด็กน้อยขึ้นมา “หนูน้อย อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้! บอกพี่สาวและพี่ชายสิว่าเจ้าเป็นบุตรของผู้ใด พวกเราจะส่งเจ้ากลับบ้าน! ”
ทว่าทันทีที่ซูจิ่นซีเข้าใกล้ ก่อนที่มือของนางจะสัมผัสร่างของเด็กน้อย เด็กน้อยก็กรีดร้องเสียงแหลม… จากนั้นก็รีบวิ่งหลบไปด้านข้างด้วยร่างกายสั่นเทา
แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความสิ้นหวัง นางมองมือตนเองอย่างครุ่นคิด หลังจากนั้นไม่นานก็ยื่นมือขวาออกไปและพยายามจะสัมผัสตัวเด็กน้อยอีกครั้ง ทว่าเด็กน้อยกลับยิ่งหดตัวหลบมากขึ้น
ซูจิ่นซีตกตะลึงพลางมองมือของตนเองด้วยความสงสัย ครู่หนึ่งจึงยื่นมือขวาออกไปสัมผัสเด็กน้อยผู้นั้นอีกครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยตัวสั่นเทาและหลบหนีตลอดเวลา
แววตาของนางปรากฏความคิดลึกซึ้งที่ผู้อื่นไม่สามารถรับรู้ได้
เพราะมือขวาของซูจิ่นซีสวมอาคมกำไลปี่อั้น
“ท่านอ๋อง ดูเหมือนวันนี้เด็กน้อยต้องพึ่งท่านแล้ว ข้าเข้าใกล้นางไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงหวาดกลัวข้ายิ่งนัก ข้าเห็นขาขวาของนางบาดเจ็บ บางทีอาจต้องขอให้ท่านอ๋องแบกนาง
เช่นนั้น ท่านอ๋องลองปลอบนางก่อนเถิด”
ให้เยี่ยโยวเหยาปลอบเด็กน้อยผู้นี้หรือ?
ซูจิ่นซี เจ้ากำลังล้อเล่น หรือเจ้าอยากตายด้วยวิธีนี้
เยี่ยโยวเหยาส่งสายตาแสดงการตักเตือนไปทางซูจิ่นซี
ภายในหัวของซูจิ่นซีปรากฏภาพที่นางกำลังถูกเยี่ยโยวเหยากระทำภารกิจบนเตียงจนคางเหลืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนางยังกลัวว่าเขาจะระเบิดอารมณ์และชำระแค้นครั้งนี้ นางจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีออดอ้อน
“ท่านอ๋องดูสิ เด็กน้อยผู้นี้อยู่เพียงลำพังในภูเขาและป่าไม้รกชัฏ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก! พ่อแม่ของนางต้องเป็นห่วงอย่างมาก ทั้งพวกเรายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกด้วย พวกเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้กระมัง? ”
คำพูดเช่นนี้ ใช้กับโยวอ๋องของเราไม่ได้แม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีเปลี่ยนวิธีพูดอีกครั้ง “ท่านอ๋องดูเถิด หากในอนาคตเราสองคนมีพระธิดา เมื่อโตขึ้นนางจะต้องน่ารักและงดงามเหมือนเด็กน้อยผู้นี้แน่นอน ใช่หรือไม่? ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีใช้วิธีพูดเช่นนี้ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดของนาง แววตาของเยี่ยโยวเหยาก็ทอประกาย เขามองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาให้กำลังใจ
แท้จริงแล้ว เยี่ยโยวเหยาเป็นคนช่างคิด การยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือหัวใจแม่พระอันใดพวกนี้ เป็นสิ่งที่พระชายาอย่างนางพึงกระทำ
โดยเฉพาะการรับมือกับเด็กน้อยที่ไม่เชื่อฟัง นางจะพยายามครุ่นคิดทุกวิถีทาง แม้กระทั่งใช้วิธีบังคับให้เขาเชื่อฟัง
นางไม่มีทางผลักปัญหาที่ยากลำบากเช่นนี้ให้เขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ชอบใกล้ชิดผู้อื่นนอกจากนางคนเดียว
เมื่อมีเรื่องผิดปกติย่อมมีเรื่องเลวร้าย
เขารู้สึกว่าพระชายาของเขาผู้นี้ ต้องคิดแผนการอันใดบางอย่างเป็นแน่
หลังจากขบคิดอยู่นาน ในที่สุดท่านอ๋องของเราก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว และเดินเข้าไปใกล้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเชื่องช้า พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระงับท่าทีกดดันที่มีอยู่เป็นปกติ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำเล็กน้อย “หนูน้อย… หนูน้อย อย่าร้องไห้ บอกพวกเราสิว่าเจ้าเป็นคนที่ใด? อาศัยอยู่ที่ใด? ”
แม้ซูจิ่นซีจะรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เพื่อทำให้เสียงของตนเองนุ่มนวลและไม่น่ากลัว
ทว่าเพราะเหตุใด เสียงนี้ฟังดูคล้ายกับ… ตอนที่เขาสอบปากคำผู้ร้ายที่ถูกพาไปวิหารวิญญาณ?
“ครอบครัวของข้า… ครอบครัวของข้าอาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ฮือ… ฮือ… ”
พูดแบบนี้กับไม่พูด ฟังแล้วไม่ต่างกันเลย
เยี่ยโยวเหยาถามอย่างอดทน “เจ้าชื่ออันใด”
“ไป๋ไจ๋! ”
ไป๋ไจ๋…
แค่ก แค่ก
ซูจิ่นซีพยายามควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าและรักษารอยยิ้มให้เป็นปกติ ทว่านางไม่สามารถยับยั้งความคิดที่พลุ่งพล่านภายในใจของนางได้
ไป๋ไจ๋ ทำไมคำนี้ฟังดูคล้ายสถานที่ที่สองพี่น้องนางพญางูขาวอาศัยอยู่ในเรื่อง ‘นางพญางูขาว’ ?
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” เยี่ยโยวเหยาถาม
“ข้าก็ไม่รู้ หลังจากตื่นนอน ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ฮือ… ข้าอยากไปหาท่านแม่… ข้าอยากไปหาท่านแม่… ”
เอาล่ะ!
เรื่องนี้ทำให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร?
เมื่อซูจิ่นซีเห็นว่าเวลาใกล้ค่ำแล้ว นางจึงพูดด้วยใบหน้าเป็นกังวล “เราอยู่ที่นี่มาสามวันเต็มแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นนอกดินแดนลึกลับเสวียนคงบ้าง เราจะชักช้าแบบนี้ไม่ได้! ไม่รู้ว่าบ้านของไป๋ไจ๋ เด็กคนนี้อยู่ที่ใด? เยี่ยโยวเหยา ท่านแบกเด็กน้อยไว้บนหลังดีกว่า! เราจะได้เดินทางได้เร็วกว่านี้”
อันใดกัน?
ให้เยี่ยโยวเหยาแบกเด็กน้อยผู้นี้ไว้บนหลัง?
เยี่ยโยวเหยาจะเต็มใจหรือ?