เล่มที่ 27 เล่มที่ 27 ตอนที่ 795 ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้นๆ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาพลันดำทะมึน

ไม่ต้องพูดถึงแม่นางน้อยผู้นี้ แค่ฆ่าคนเขายังไม่ลงมือด้วยตนเองเลย ไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสผู้อื่นนอกจากซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีสังเกตปฏิกิริยาของแม่นางน้อยเงียบๆ และพบว่าชั่วพริบตาที่สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาดำทะมึน ไอเย็นเยือกปะทุออกมาทั่วร่างเยี่ยโยวเหยาไม่น้อย หากเป็นคนธรรมดาคงหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้

อย่างไรก็ตาม เยี่ยโยวเหยาอยู่ใกล้แม่นางน้อยผู้นี้มาก ทว่านางกลับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย

แววตาของซูจิ่นซีทอประกายแปลกประหลาด นางยกยิ้มมุมปากและซ่อนอาคมกำไลปี่อั้นที่มือขวาไว้ด้านหลัง ก่อนจะเดินไปหาแม่นางน้อย

“หนูน้อย พี่ชายไม่ยอมแบกเจ้า ทว่าพวกเรายุ่งกันมาก เช่นนั้น พวกเราไปกันดีกว่า ไม่สนใจเขาแล้ว”

พูดจบ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพื่อกดดัน

แม่นางน้อยราวกับกำลังลังเล ซูจิ่นซีจึงฉวยโอกาสพูด “คงมีเพียงพี่สาวที่ต้องแบกเจ้า นอกจากนั้น พี่สาวเห็นว่าเท้าของเจ้าเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ! ”

พูดจบ เมื่อเห็นเด็กน้อยไม่ได้ร้องไห้โหวกเหวก นางจึงลองขยับข้อเท้าของเด็กน้อย

ในตอนแรกที่ซูจิ่นซีเข้าใกล้ แม่นางน้อยยังคงสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าไม่ได้หลบหนีเหมือนก่อนหน้า

ซูจิ่นซีจับข้อเท้าของแม่นางน้อยมาตรวจดูอย่างละเอียดและพบว่ามันเคล็ด

ดูจากบาดแผลคงร้ายแรงพอสมควร เกรงว่าคงเดินเองไม่ได้แน่

ซูจิ่นซีใช้วิธีเอาเข็มทองเจาะเพื่อระบายเลือดบริเวณที่คลั่งออก หลังจากนั้นก็เลือกยาสมุนไพรจากระบบถอนพิษออกมา และนำไปพอกในตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ ซูจิ่นซีก็ยื่นมือไปหาเด็กน้อย

“ลุกขึ้นเถิด พี่สาวจะแบกเจ้ากลับบ้าน”

เด็กน้อยเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาอย่างน่าสงสาร พอเห็นใบหน้าเย็นชาและท่าทางแน่วแน่ของเยี่ยโยวเหยา นางจึงยื่นมือไปหาซูจิ่นซีอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ซูจิ่นซีแบกแม่นางน้อยขึ้นหลัง นางรู้สึกว่าร่างกายของแม่นางน้อยสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา

เยี่ยโยวเหยาต้องการพูดอันใดบางอย่าง แต่กลับไม่พูดสิ่งใด ทำเพียงเดินตามหลังซูจิ่นซีอย่างระมัดระวัง

“หนูน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าบริเวณบ้านของเจ้ามีลักษณะอย่างไร? ช่วยอธิบายให้พี่ชายกับพี่สาวฟังได้หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีเพียงเอ่ยถาม แม่นางน้อยก็ร้องไห้ตามหามารดา

ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่นนอกจากเดินตรงไปตามเส้นทางนั้นเพื่อตามหาสัตว์ร้ายก่อน

เดินไปได้ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่าแม่นางน้อยบนหลังของนางยิ่งหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

ราวกับว่านางกำลังแบกหินก้อนใหญ่ที่หนักมากอยู่ด้านหลัง ทำให้นางก้าวเท้าไม่ออก นางอดเหลือบมองไปข้างหลังไม่ได้

เด็กน้อยยังคงเป็นเด็กน้อย ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด!

เหตุใดถึงได้หนักเช่นนี้?

เยี่ยโยวเหยาพบความผิดปกติของซูจิ่นซี จึงรีบเดินเข้าไปหานาง

“ไม่สบายที่ใดหรือ? ต้องการพักหรือไม่? ”

หน้าผากของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

“อืม”

ซูจิ่นซีพยักหน้าและเดินไปที่ก้อนหินใหญ่ด้านข้าง

ขณะที่นางกำลังจะวางเด็กน้อยที่อยู่บนหลังลง จู่ๆ ข้างหูพลันเกิดเสียงดัง ‘ชริ้ง’ ราวกับมีอาวุธแหลมคมถูกชักออกมา

เนื่องจากซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้น เสียงนั้นจึงคมชัดอย่างมาก

ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ชั่วพริบตา กระบี่เสวียนหยวนของเยี่ยโยวเหยาก็ปรากฏที่ข้างใบหูของซูจิ่นซี นางเหวี่ยงเด็กน้อยบนหลังออกทันที

เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาและเด็กน้อยกำลังต่อสู้กัน เท้าที่ได้รับบาดเจ็บไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าขยับไม่ได้แต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับคล่องแคล่วอย่างมาก

ซูจิ่นซีไม่คิดให้มากความ นางชักกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมา และพุ่งเข้าไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเยี่ยโยวเหยา

พริบตาเดียว ทั้งสามก็ต่อสู้ไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า วรยุทธ์ของเด็กน้อยแกร่งกล้าอย่างมาก

เด็กน้อยมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางเกลียดชัง และถือโอกาสพูด “เจ้าทราบได้อย่างไร? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เช่นนั้น… เจ้าชนะข้าให้ได้! หากชนะข้าแล้ว ข้าจะบอกเจ้า! ”

เด็กน้อยแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเดือดดาล แม้ตอนที่มองซูจิ่นซี นางจะยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย ทว่ากลับโจมตีซูจิ่นซีอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีท่าทีอ่อนข้อแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่เด็กน้อยเข้าใกล้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจะยื่นอาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาออกมา

เด็กน้อยชะงักถอยไปด้านหลังราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

“เลวทราม ต่ำช้า หน้าไม่อาย! ”

เด็กน้อยสบถคำหยาบคาย

ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “สัตว์ภูตน้อย เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับไม่ตั้งใจทำความดี ลักขโมยบุตรของท่านเทพ เจ้าไม่ได้เลวทราม ต่ำช้า หน้าไม่อายหรอกหรือ? ”

เด็กน้อยผู้นี้คือสัตว์ภูตนั่นเอง

สัตว์ภูตจ้องซูจิ่นซีด้วยท่าทางดุดัน พลางแยกเขี้ยวใส่นาง “นางตัวแสบ ผู้ใดเป็นเด็กน้อยของเจ้า ผู้เฒ่ามีชีวิตมาหลายหมื่นปีแล้ว บอกมาว่าเจ้าพบข้าได้อย่างไร? ”

เอ่อ…

คราวนี้เป็นซูจิ่นซีที่ชะงักงัน

ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่า เด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้านางจะเรียกตนเองว่าผู้เฒ่า ทั้งยังมีอายุหมื่นกว่าปีแล้ว

นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอีกครั้ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือขวา ปรากฏเปลวไฟลุกโชนอยู่กลางฝ่ามือ

เมื่อเห็นเปลวไฟ สัตว์ภูตก็ถอยไปด้านหลังทันที

แม้เหตุผลจะชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าซูจิ่นซียังอธิบาย

“เพราะเจ้าถูกปลุกขึ้นมาด้วยไฟอมฤตของข้า จึงขโมยบุตรของท่านเทพ

ไฟอมฤตของข้าซ่อนอยู่ในอาคมกำไลปี่อั้น ท่าทางที่เจ้าหวาดกลัวเวลาข้าเข้าใกล้ก็ชัดเจนถึงเพียงนั้น หรือว่าเจ้าไม่ได้หวาดกลัวไฟอมฤตของข้า? ”

ดวงตาทั้งสองของสัตว์ภูตค่อยๆ หรี่ลง นางมองไปที่ซูจิ่นซีอีกครั้ง

“เจ้าตัวแสบ เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับเขาคุนหลุน? ”

เขาคุนหลุน?

หมายถึงซีหวังหมู่หรือ?

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถามว่าซูจิ่นซีกับซีหวังหมู่เกี่ยวข้องอันใดกัน

หรือว่านางไม่ใช่เซียนดอกบัวในสระบัวใต้แท่นประทับของซีหวังหมู่?

หรือว่านางยังมีความเกี่ยวข้องอื่นๆ กับซีหวังหมู่?

ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความรู้สึกซับซ้อน นางกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด

“สัตว์ภูตน้อย ดูเหมือนว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีที่มายิ่งใหญ่ เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ความเป็นมาของเพลิงศักดิ์สิทธิ์คืออันใด เหตุใดเจ้าจึงหวาดกลัว แล้วข้าจะบอกความเกี่ยวข้องของข้าและซีหวังหมู่ให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่? ”

สัตว์ภูตกระชากเสียงเย็นชา “เจ้าตัวแสบ หากเจ้ากล้าเรียกข้าว่าเด็กน้อยอีก ผู้เฒ่าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้นๆ ”

เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงเด็กเล็กอายุเพียงสี่ห้าขวบ ทว่ากลับเรียกตนเองว่าผู้เฒ่า ซูจิ่นซีรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาต่อปากต่อคำเรื่องเหล่านี้

ซูจิ่นซีเปลี่ยนคำพูด “ได้ ได้ ได้ ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่าพอใจหรือยัง? เช่นนั้น… ท่านบอกความเป็นมาของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าฟังก่อน! ”

“เพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ เจ้าได้มาจากตำหนักเทพหวงอินบนยอดเขาหลิงอวิ๋นใช่หรือไม่? ” สัตว์ภูตถาม

ซูจิ่นซีพยักหน้า

“ได้มาจากตำหนักเทพหวงอินจริงๆ ”

ใบหน้าของสัตว์ภูตแสดงท่าทางว่าสิ่งที่พูดนั้นต้องใช่แน่นอนอยู่แล้ว

“หึ หลายพันปีแล้ว ไม่คิดว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ที่ตำหนักเทพหวงอิน ดูแล้วหลานของหวงอวี่ นางแพศยาผู้นั้นจะรักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นอย่างดี”