ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาพลันดำทะมึน
ไม่ต้องพูดถึงแม่นางน้อยผู้นี้ แค่ฆ่าคนเขายังไม่ลงมือด้วยตนเองเลย ไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสผู้อื่นนอกจากซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีสังเกตปฏิกิริยาของแม่นางน้อยเงียบๆ และพบว่าชั่วพริบตาที่สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาดำทะมึน ไอเย็นเยือกปะทุออกมาทั่วร่างเยี่ยโยวเหยาไม่น้อย หากเป็นคนธรรมดาคงหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
อย่างไรก็ตาม เยี่ยโยวเหยาอยู่ใกล้แม่นางน้อยผู้นี้มาก ทว่านางกลับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย
แววตาของซูจิ่นซีทอประกายแปลกประหลาด นางยกยิ้มมุมปากและซ่อนอาคมกำไลปี่อั้นที่มือขวาไว้ด้านหลัง ก่อนจะเดินไปหาแม่นางน้อย
“หนูน้อย พี่ชายไม่ยอมแบกเจ้า ทว่าพวกเรายุ่งกันมาก เช่นนั้น พวกเราไปกันดีกว่า ไม่สนใจเขาแล้ว”
พูดจบ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพื่อกดดัน
แม่นางน้อยราวกับกำลังลังเล ซูจิ่นซีจึงฉวยโอกาสพูด “คงมีเพียงพี่สาวที่ต้องแบกเจ้า นอกจากนั้น พี่สาวเห็นว่าเท้าของเจ้าเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ! ”
พูดจบ เมื่อเห็นเด็กน้อยไม่ได้ร้องไห้โหวกเหวก นางจึงลองขยับข้อเท้าของเด็กน้อย
ในตอนแรกที่ซูจิ่นซีเข้าใกล้ แม่นางน้อยยังคงสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าไม่ได้หลบหนีเหมือนก่อนหน้า
ซูจิ่นซีจับข้อเท้าของแม่นางน้อยมาตรวจดูอย่างละเอียดและพบว่ามันเคล็ด
ดูจากบาดแผลคงร้ายแรงพอสมควร เกรงว่าคงเดินเองไม่ได้แน่
ซูจิ่นซีใช้วิธีเอาเข็มทองเจาะเพื่อระบายเลือดบริเวณที่คลั่งออก หลังจากนั้นก็เลือกยาสมุนไพรจากระบบถอนพิษออกมา และนำไปพอกในตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ ซูจิ่นซีก็ยื่นมือไปหาเด็กน้อย
“ลุกขึ้นเถิด พี่สาวจะแบกเจ้ากลับบ้าน”
เด็กน้อยเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาอย่างน่าสงสาร พอเห็นใบหน้าเย็นชาและท่าทางแน่วแน่ของเยี่ยโยวเหยา นางจึงยื่นมือไปหาซูจิ่นซีอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ซูจิ่นซีแบกแม่นางน้อยขึ้นหลัง นางรู้สึกว่าร่างกายของแม่นางน้อยสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา
เยี่ยโยวเหยาต้องการพูดอันใดบางอย่าง แต่กลับไม่พูดสิ่งใด ทำเพียงเดินตามหลังซูจิ่นซีอย่างระมัดระวัง
“หนูน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าบริเวณบ้านของเจ้ามีลักษณะอย่างไร? ช่วยอธิบายให้พี่ชายกับพี่สาวฟังได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีเพียงเอ่ยถาม แม่นางน้อยก็ร้องไห้ตามหามารดา
ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่นนอกจากเดินตรงไปตามเส้นทางนั้นเพื่อตามหาสัตว์ร้ายก่อน
เดินไปได้ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่าแม่นางน้อยบนหลังของนางยิ่งหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับว่านางกำลังแบกหินก้อนใหญ่ที่หนักมากอยู่ด้านหลัง ทำให้นางก้าวเท้าไม่ออก นางอดเหลือบมองไปข้างหลังไม่ได้
เด็กน้อยยังคงเป็นเด็กน้อย ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด!
เหตุใดถึงได้หนักเช่นนี้?
เยี่ยโยวเหยาพบความผิดปกติของซูจิ่นซี จึงรีบเดินเข้าไปหานาง
“ไม่สบายที่ใดหรือ? ต้องการพักหรือไม่? ”
หน้าผากของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“อืม”
ซูจิ่นซีพยักหน้าและเดินไปที่ก้อนหินใหญ่ด้านข้าง
ขณะที่นางกำลังจะวางเด็กน้อยที่อยู่บนหลังลง จู่ๆ ข้างหูพลันเกิดเสียงดัง ‘ชริ้ง’ ราวกับมีอาวุธแหลมคมถูกชักออกมา
เนื่องจากซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้น เสียงนั้นจึงคมชัดอย่างมาก
ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ชั่วพริบตา กระบี่เสวียนหยวนของเยี่ยโยวเหยาก็ปรากฏที่ข้างใบหูของซูจิ่นซี นางเหวี่ยงเด็กน้อยบนหลังออกทันที
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาและเด็กน้อยกำลังต่อสู้กัน เท้าที่ได้รับบาดเจ็บไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าขยับไม่ได้แต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับคล่องแคล่วอย่างมาก
ซูจิ่นซีไม่คิดให้มากความ นางชักกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมา และพุ่งเข้าไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเยี่ยโยวเหยา
พริบตาเดียว ทั้งสามก็ต่อสู้ไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า วรยุทธ์ของเด็กน้อยแกร่งกล้าอย่างมาก
เด็กน้อยมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางเกลียดชัง และถือโอกาสพูด “เจ้าทราบได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เช่นนั้น… เจ้าชนะข้าให้ได้! หากชนะข้าแล้ว ข้าจะบอกเจ้า! ”
เด็กน้อยแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเดือดดาล แม้ตอนที่มองซูจิ่นซี นางจะยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย ทว่ากลับโจมตีซูจิ่นซีอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีท่าทีอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ทุกครั้งที่เด็กน้อยเข้าใกล้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจะยื่นอาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาออกมา
เด็กน้อยชะงักถอยไปด้านหลังราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
“เลวทราม ต่ำช้า หน้าไม่อาย! ”
เด็กน้อยสบถคำหยาบคาย
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “สัตว์ภูตน้อย เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับไม่ตั้งใจทำความดี ลักขโมยบุตรของท่านเทพ เจ้าไม่ได้เลวทราม ต่ำช้า หน้าไม่อายหรอกหรือ? ”
เด็กน้อยผู้นี้คือสัตว์ภูตนั่นเอง
สัตว์ภูตจ้องซูจิ่นซีด้วยท่าทางดุดัน พลางแยกเขี้ยวใส่นาง “นางตัวแสบ ผู้ใดเป็นเด็กน้อยของเจ้า ผู้เฒ่ามีชีวิตมาหลายหมื่นปีแล้ว บอกมาว่าเจ้าพบข้าได้อย่างไร? ”
เอ่อ…
คราวนี้เป็นซูจิ่นซีที่ชะงักงัน
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่า เด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้านางจะเรียกตนเองว่าผู้เฒ่า ทั้งยังมีอายุหมื่นกว่าปีแล้ว
นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอีกครั้ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือขวา ปรากฏเปลวไฟลุกโชนอยู่กลางฝ่ามือ
เมื่อเห็นเปลวไฟ สัตว์ภูตก็ถอยไปด้านหลังทันที
แม้เหตุผลจะชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าซูจิ่นซียังอธิบาย
“เพราะเจ้าถูกปลุกขึ้นมาด้วยไฟอมฤตของข้า จึงขโมยบุตรของท่านเทพ
ไฟอมฤตของข้าซ่อนอยู่ในอาคมกำไลปี่อั้น ท่าทางที่เจ้าหวาดกลัวเวลาข้าเข้าใกล้ก็ชัดเจนถึงเพียงนั้น หรือว่าเจ้าไม่ได้หวาดกลัวไฟอมฤตของข้า? ”
ดวงตาทั้งสองของสัตว์ภูตค่อยๆ หรี่ลง นางมองไปที่ซูจิ่นซีอีกครั้ง
“เจ้าตัวแสบ เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับเขาคุนหลุน? ”
เขาคุนหลุน?
หมายถึงซีหวังหมู่หรือ?
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถามว่าซูจิ่นซีกับซีหวังหมู่เกี่ยวข้องอันใดกัน
หรือว่านางไม่ใช่เซียนดอกบัวในสระบัวใต้แท่นประทับของซีหวังหมู่?
หรือว่านางยังมีความเกี่ยวข้องอื่นๆ กับซีหวังหมู่?
ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความรู้สึกซับซ้อน นางกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด
“สัตว์ภูตน้อย ดูเหมือนว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีที่มายิ่งใหญ่ เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ความเป็นมาของเพลิงศักดิ์สิทธิ์คืออันใด เหตุใดเจ้าจึงหวาดกลัว แล้วข้าจะบอกความเกี่ยวข้องของข้าและซีหวังหมู่ให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่? ”
สัตว์ภูตกระชากเสียงเย็นชา “เจ้าตัวแสบ หากเจ้ากล้าเรียกข้าว่าเด็กน้อยอีก ผู้เฒ่าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้นๆ ”
เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงเด็กเล็กอายุเพียงสี่ห้าขวบ ทว่ากลับเรียกตนเองว่าผู้เฒ่า ซูจิ่นซีรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาต่อปากต่อคำเรื่องเหล่านี้
ซูจิ่นซีเปลี่ยนคำพูด “ได้ ได้ ได้ ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่าพอใจหรือยัง? เช่นนั้น… ท่านบอกความเป็นมาของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าฟังก่อน! ”
“เพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ เจ้าได้มาจากตำหนักเทพหวงอินบนยอดเขาหลิงอวิ๋นใช่หรือไม่? ” สัตว์ภูตถาม
ซูจิ่นซีพยักหน้า
“ได้มาจากตำหนักเทพหวงอินจริงๆ ”
ใบหน้าของสัตว์ภูตแสดงท่าทางว่าสิ่งที่พูดนั้นต้องใช่แน่นอนอยู่แล้ว
“หึ หลายพันปีแล้ว ไม่คิดว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ที่ตำหนักเทพหวงอิน ดูแล้วหลานของหวงอวี่ นางแพศยาผู้นั้นจะรักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นอย่างดี”