เล่มที่ 27 เล่มที่ 27 ตอนที่ 796 ความเป็นมาของไฟอมฤต

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หวงอวี่…

ซูจิ่นซีครุ่นคิด ต้องเป็นบรรพบุรุษของสกุลหวงเป็นแน่

ดูแล้ว สัตว์ภูตกับบรรพบุรุษของสกุลหวงคงมีความสัมพันธ์กัน

อย่างไรก็ตาม สัตว์ภูตตนนี้เพิ่งพูดว่าตนเองมีชีวิตอยู่มากว่าหมื่นปี ทว่าแคว้นจิ้นโหลวเป็นแคว้นที่มีอยู่ในช่วงต้าโจวเมื่อพันปีก่อน เช่นนั้นจะเกี่ยวข้องกับสัตว์ภูตตนนี้ได้อย่างไร?

หรือว่า… บรรพบุรุษของแคว้นจิ้นโหลวสืบทอดมาตั้งแต่ช่วงเวลาหมื่นปีก่อน

ซูจิ่นซียิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้

นางไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะ เพียงรอให้สัตว์ภูตอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต่อ

จู่ๆ แววตาของสัตว์ภูติก็แปรเปลี่ยนเป็นทอดยาว สายตาเลื่อนลอย

“สมัยโบราณกาล มีตำนานเล่าขานว่าบนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์สิบดวง พลังของดวงอาทิตย์ทั้งสิบราวกับเตาไฟที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า”

เฮ้ย…

ซูจิ่นซีเกือบกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองไม่อยู่ เกินไปแล้ว! นี่เป็นตำนานของโฮ่วอี้ยิงดวงตะวันไม่ใช่หรือ?

หรือว่าไฟอมฤตมีความเกี่ยวข้องกับโฮ่วอี้ยิงดวงตะวัน?

เมื่อสัตว์ภูตเห็นสีหน้าประหลาดใจของซูจิ่นซี จึงจ้องนางเขม็ง

ซูจิ่นซีสงบนิ่ง นางจงใจแสดงท่าทีเชื่อฟังเล็กน้อยเพื่อให้สัตว์ภูตพึงพอใจ

สัตว์ภูตจึงกล่าวต่อ “ในช่วงนั้น ดวงอาทิตย์แผดเผาโลก ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยว ราษฎรทั่วหล้าเดือดร้อนจนไม่อาจดำรงชีวิต… ”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สัตว์ภูตก็หยุดชะงัก ซูจิ่นซีจึงฉวยโอกาสยกประเด็นนี้ขึ้นมา “ในเวลานั้นพลันปรากฏเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ได้ยินมาว่าเขาไม่เพียงมีรูปลักษณ์หล่อเหลา ทว่ายังกล้าหาญทะนงตน และมีทักษะยิงธนูล้ำเลิศ

เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญและหล่อเหลายิงดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงบนท้องฟ้าให้ร่วงลงมา นับตั้งแต่นั้น อุณหภูมิของโลกก็เย็นสบายเหมาะกับการอยู่อาศัย โลกที่เดิมทีต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยว กลับเจริญงอกงามขึ้นมาอีกครั้ง? ”

สัตว์ภูตมองซูจิ่นซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าทราบได้อย่างไร? ”

พอเถิด!

คนทั้งโลกล้วนทราบกันทั้งนั้น!!

เรื่องเล่านี้ ซูจิ่นซีได้ยินคนเล่าให้ฟังตั้งแต่สามขวบ นางฟังตั้งแต่เล็กจนโต ฟังจนหูชาไปหมดแล้ว

ทว่าเรื่องนี้ นางไม่สามารถบอกสัตว์ภูตได้

นางเพียงยกยิ้มมุมปาก

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นด้วยแววตาชื่นชม

สัตว์ภูตคิดว่ารอยยิ้มมุมปากของซูจิ่นซีเป็นเพราะภูมิใจในตนเอง ทันใดนั้น นางจึงกระชากเสียงเย็นชา และเอ่ยถามซูจิ่นซี “ตอนนั้นเด็กหนุ่มยิงอาทิตย์ลงมาเก้าดวงย่อมไม่ผิด ทว่าเจ้าทราบหรือไม่ว่าผู้ใดสั่งให้เขายิง? ”

เรื่องนี้ซูจิ่นซีไม่เคยได้ยินมาก่อน

สัตว์ภูตเห็นท่าทางของซูจิ่นซีที่ไม่รู้เรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด จึงแสดงท่าทางภูมิใจ

“ก็คือดวงอาทิตย์ที่เหลืออีกดวงนั่นไง”

อา ฮ่าฮ่า

ความรู้สึกที่นางได้ยินเรื่องเล่าโฮ่วอี้ยิงตะวันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ กลับกลายเป็นเรื่องวางแผนซ้อนแผนอย่างนั้นหรือ?

ทว่าจากประสบการณ์ที่เห็นสัตว์ภูตมีท่าทีไม่พอใจ ซูจิ่นซีจึงไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก

นางเพียงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “หลังจากนั้นเล่า? ”

“ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าที่ถูกยิงลงมาในตอนนั้น ตกลงไปในภูเขาใหญ่ บ้างก็จมลงสู่ก้นทะเล นับแต่นั้นมาก็ไร้ข่าวคราว บ้างเมื่อตกลงสู่พื้นดินก็สลายกลายเป็นผุยผงในพริบตา มีเพียงดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าที่มีความรู้สึกผูกพันธ์ลึกซึ้งกับดวงอาทิตย์ดวงที่สิบซึ่งเหลืออยู่บนท้องฟ้า เขาจึงถูกกักขังอย่างลับๆ ”

หลายคนเคยได้ยินตำนานเล่าขานโฮ่วอี้ยิงดวงตะวัน ทว่าน้อยคนที่รู้ว่าดวงอาทิตย์ทั้งเก้าบนท้องฟ้าตามตำนานเล่าขานนั้น แท้จริงแล้วเป็นบุตรจักรพรรดิแห่งสวรรค์

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็รู้สึกสนใจมากขึ้นเล็กน้อย

สัตว์ภูตกล่าวต่อ “ความจริงแล้ว ในตอนนั้นที่โฮ่วอี้ยิงดวงอาทิตย์ นอกจากจะได้รับสั่งลับจากดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่ดวงนั้น เขายังได้รับบัญชาจากจักรพรรดิสวรรค์อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเพียงมองดูบุตรของตนสร้างหายนะแก่โลกมนุษย์ เขาต้องการลงโทษเล็กน้อยเพื่อป้องกันปัญหาใหญ่ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าโฮ่วอี้จะเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างมาก ทั้งยังเป็นคนขี้อิจฉา

เขาไม่เพียงยิงดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงโดยไม่พลาดเป้า แม้แต่ดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่ก็ยังอยากยิงให้ร่วงลงมา โชคดีที่ดวงอาทิตย์ดวงสุดท้ายหนีไปถึงวังตงไห่ติงเทียนและพบกับซีหวังหมู่ เพราะได้ซีหวังหมู่โน้มน้าวโฮ่วอี้ เขาจึงไว้ชีวิตดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่ดวงนั้น

ภายหลัง ดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่ก็กลับตัวกลับใจ ไม่ทำร้ายโลกมนุษย์อีก เพียงขึ้นและลงทางทิศตะวันตกในทุกๆ วัน สร้างประโยชน์ให้กับโลกมนุษย์”

เรื่องพวกนี้ซูจิ่นซีรู้ดี ทว่าพูดมาเยอะถึงเพียงนี้ เรื่องพวกนี้เกี่ยวอันใดกับไฟอมฤต?

ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความสงสัยอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าสัตว์ภูตส่งสายตาเหลือบมองซูจิ่นซีราวกับมองคนโง่เง่า

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร ซูจิ่นซีรู้สึกว่าอนาคตของตนยังอีกยาวไกล ไม่จำเป็นต้องต่อปากต่อคำกับคนที่ใกล้จะเดินทางมาถึงดินแดนสุขาวดีแล้ว

นางจึงไม่สนใจอันใดมากนัก

สัตว์ภูตจึงกล่าวต่อ

“ภายหลัง จักรพรรดิสวรรค์ทรงพิโรธและลงโทษโฮ่วอี้ให้อยู่บนโลกมนุษย์ชั่วนิรันดร์ ไม่สามารถขึ้นแดนสวรรค์ได้

ดวงอาทิตย์ดวงที่เหลือกลัวว่าจักรพรรดิสวรรค์จะพบดวงอาทิตย์ดวงที่ห้า จึงแอบมอบเขาให้ซีหวังหมู่

ดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าถูกโฮ่วอี้ยิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายไม่อาจฟื้นฟู จึงอยู่ข้างกายซีหวังหมู่ตลอดไป

ต่อมา จักรพรรดิสวรรค์ต้องกลับคืนสู่แดนว่างเปล่า ซีหวังหมู่จึงได้บรรจุเขาเข้ากับไอเทพขององค์จักรพรรดิสวรรค์บนยอดเขาหลิงอวิ๋น สั่งให้คนสร้างตำหนักเทพหวงอิน และให้เขาคุ้มครองสกุลหวงตลอดไป”

ที่แท้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็มีความเป็นมาเช่นนี้!

สายเลือดไม่เลว ทั้งยังสูงส่งอีกด้วย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นบุตรของจักรพรรดิสวรรค์ในสมัยโบราณ

ได้ยินมาว่า บุตรของจักรพรรดิสวรรค์ทั้งสิบล้วนเป็นนกสีทองสามขาและเป็นนกเทพเพลิงสุริยัน

อื้อหือ…

ซูจิ่นซีรู้สึกว่ามือขวาของตนเองหนักมาก จึงรีบเก็บเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในมือ

สัตว์ภูตเห็นท่าทางของซูจิ่นซี สายตาแสดงออกอย่างเหยียดหยาม

“ตื่นเต้นอันใด? แม้จะมีสายเลือดสูงศักดิ์ เป็นถึงนกสีทองสามขา ทั้งยังเป็นนกเทพ ทว่าเวลานี้เป็นได้เพียงเปลวเพลิงเท่านั้น ไม่สามารถฟื้นฟูร่างเดิมได้ เป็นเพียงของไร้ค่า”

แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกว่าคราแรกที่องค์ซีหวังหมู่นำนกตัวนี้ไปไว้ในตำหนักเทพหวงอินและให้คนสกุลหวงคุ้มครอง พระองค์ต้องมีเหตุผลเป็นแน่

นอกจากนั้น ตามคำบอกเล่าของสัตว์ภูตเฒ่านี้ ดูเหมือนมีเพียงคนข้างกายของซีหวังหมู่ที่สามารถเข้าใกล้เขาได้ หรือว่านี่เป็นอีกหนึ่งวิธีปกป้องตนเองของเขากระมัง!

อย่างไรก็ตาม สัตว์ภูตเฒ่าตนนี้กลับหวาดกลัวไฟอมฤต แปลกประหลาดอย่างมาก

ซูจิ่นซีอดพูดหยั่งเชิงไม่ได้

“เฮ้! สัตว์ภูตเฒ่า เจ้ากลัวไฟอมฤตเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะปล่อยมันออกมาต่อสู้กับเจ้า ดูว่าผู้ใดเก่งกาจกว่ากัน! ”

สีหน้าของสัตว์ภูตพลันเปลี่ยนไป “เจ้าตัวแสบ เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ? ”

ซูจิ่นซีรีบเปลี่ยนคำพูด “อา… ฮ่า ฮ่า ข้าพูดว่า… ท่านผู้เฒ่า แหะแหะ ท่านผู้เฒ่า…

ท่านมองว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์มิใช่หรือ? ท่านจะหวาดกลัวเขาเพื่ออันใด? ”

ซูจิ่นซีพูดพลางนำไฟอมฤตออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้นอีกครั้ง และจงใจเดินเข้าไปใกล้สัตว์ภูต

ทว่าเพียงเข้าใกล้ สัตว์ภูติก็ถอยหลังด้วยความกลัวสุดขีด ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว

“เจ้า… เจ้าอย่าเข้ามา อย่าเข้ามา! ”

ซูจิ่นซีพบว่า แม้สัตว์ภูตจะหวาดกลัวไฟอมฤต ทว่าในแววตากลับมีความเกลียดชังซ่อนอยู่

เกรงว่าในสิบส่วน ความกลัวมีอยู่สามส่วน ความเกลียดชังมีถึงเจ็ดส่วนเป็นแน่ ความหวาดกลัวที่แสดงออกมามากเกินไปคงเป็นการเสแสร้ง!

นางสงสัยยิ่งนัก ระหว่างสัตว์ภูตตนนี้กับไฟอมฤตมีความสัมพันธ์อันใดกัน เหตุใดจึงทำให้การตอบสนองของสัตว์ภูตซับซ้อนเช่นนี้

ทั้งหลอกล่อและหยั่งเชิง ดูท่าแล้วคงไม่เป็นผลอันใด

ซูจิ่นซีตัดสินใจใช้กำลังจัดการสัตว์ภูต จากนั้นค่อยบีบบังคับให้นางพูดออกมา นอกจากนั้นยังเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพื่อให้นางปล่อยบุตรของท่านเทพออกมาอีกด้วย

ซูจิ่นซีครุ่นคิด แววตาพลันปรากฏแสงเย็นยะเยือก นางค่อยๆ ยกกระบี่เฟิ่งอวี่ขึ้นมาและเล็งไปที่สัตว์ภูต