ดูเหมือนสัตว์ภูตเพิ่งสังเกตเห็นกระบี่ในมือของซูจิ่นซีอย่างชัดเจน
นางค่อยๆ หรี่ตาลง “เจ้าตัวแสบ ยังกล้าพูดอีกหรือว่าเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาคุนหลุน แล้วในมือของเจ้าคือสิ่งใด? ”
“กระบี่เฟิ่งอวี่! ” ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “ทว่า ข้าพูดเมื่อใดว่าข้ากับเขาคุนหลุนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน? ”
สัตว์ภูตรู้แน่นอนว่านั่นคือกระบี่เฟิ่งอวี่ นอกจากนั้น น้ำเสียงของซูจิ่นซีก็มีความยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นสัตว์ภูตจึงเกิดความเดือดดาล
มือทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นกรงเล็บ เล็บมือยาวทั้งห้านิ้วราวกับตะขอ จากนั้นนางก็พุ่งเข้าโจมตีซูจิ่นซีด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์ภูตแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างสมบูรณ์ บรรยากาศรอบด้านพลันเปลี่ยนไป
มันไม่ใช่ธารน้ำบนภูเขา ทว่าเป็นภายในถ้ำมืดแห่งหนึ่ง
“อา อา อา อา… ”
ทันใดนั้น เสียงอันสับสนก็ดังขึ้นรอบทิศทาง ฝูงสัตว์ภูตรูปร่างแปลกประหลาดพุ่งพรวดออกมาจากที่ใดไม่รู้
ที่แท้พวกเขาอยู่ภายในถ้ำสัตว์ภูต ไม่แปลกใจเลยที่พบสัตว์ภูตตนนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาหาทางเข้าถ้ำสัตว์ภูตไม่พบ
ที่แท้ก็เป็นภาพมายา
เมื่อเห็นสัตว์ภูตน้อยเหล่านั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกรำคาญใจอย่างมาก พวกมันน่ารำคาญมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่ซูจิ่นซีกำลังเปิดอาคมกำไลปี่อั้น เสียงโหวกเหวกของพวกมันทำเอาซูจิ่นซีปวดหัวจนแทบระเบิด
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ขณะที่เหล่าสัตว์ภูตน้อยปรากฏตัว เขาก็พุ่งตัวออกมายืนขวางหน้าอย่างรวดเร็ว และรับการโจมตีของเหล่าสัตว์ภูตเพื่อถ่วงเวลาให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเรียกสี่วิญญาณรับใช้ แดง ส้ม เหลือง เขียว บนยอดเขาหลิงอวิ๋นที่นางกำราบได้ออกมาจากอาคมกำไลปี่อัน
ตอนมาถึง สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกน้อยถูกทิ้งให้อยู่ด้านนอก ไม่ได้พาเข้ามา ซูจิ่นซีเดาว่าสัตว์ภูตกลัวไฟอมฤต การใช้วิญญาณทั้งสี่ดวงซึ่งเป็นผู้ดูแลไฟอมฤตจัดการกับสัตว์ภูตน้อยย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก
แน่นอนว่าวิญญาณทูตทั้งสี่ดวง แดง ส้ม เหลือง เขียว เพียงพริบตาเดียวที่ซูจิ่นซีเรียกออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น เหล่าสัตว์ภูตน้อยที่พุ่งมาข้างหน้าพลันถอยหลังด้วยท่าทางหวาดกลัวสุดขีด
ดวงตาของซูจิ่นซีทอประกายอย่างพึงพอใจ “มอบให้พวกเจ้าแล้ว! ”
“เจ้าค่ะ! ”
วิญญาณทั้งสี่ตอบรับพร้อมกัน
นี่เป็นภารกิจแรกที่เจ้านายมอบให้พวกนาง ดังนั้นพวกนางต้องทำให้ดีที่สุด
สัตว์ภูตที่กำลังสู้อยู่กับเยี่ยโยวเหยา เมื่อเห็นวิญญาณทั้งสี่ดวง นางจึงขมวดคิ้วอย่างรุนแรง “เจ้าตัวแสบ เจ้าเล่นโกง”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะรีบเข้าร่วมต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยา และร่วมกันตั้งสมาธิจัดการกับสัตว์ภูต
“หึ! การศึกไม่หน่ายเล่ห์กล! ”
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามาเพื่อจัดการกับสัตว์ภูต ซูจิ่นซีไม่รู้สึกว่ามีอันใดน่าละอายใจ ทั้งยังไม่มีผู้ใดตั้งกฎว่าไม่สามารถใช้พวกมากข่มพวกน้อย!
อย่างไรเสีย นางเป็นสัตว์ภูตโบราณ จัดการได้ยากและคาดเดาไม่ได้
ในช่วงแรก สัตว์ภูตต่อสู้กับซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาด้วยฝีมือแท้จริง ทว่ายิ่งต่อสู้ยิ่งพบว่าตนเองไม่สามารถสู้ทั้งสองได้ นางจึงคิดหาหนทางเล่นกลโกงบ้าง
ทันใดนั้น นางก็หายตัว ผ่านไปครู่หนึ่งก็โผล่มาอยู่ด้านหลังซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา
อย่างไรเสีย สถานที่แห่งนี้เป็นถ้ำสัตว์ภูต ซึ่งเป็นสถานที่ที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไม่คุ้นเคย
ครั้งแรกที่สัตว์ภูตใช้วิธีเช่นนี้ ทำให้พวกเขาเสียเปรียบเล็กน้อย
ทว่าหลังผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีกลับพบว่าทิศทางที่สัตว์ภูตหายตัวและปรากฏตัวทุกครั้ง จะใช้รูปแบบเดิมทั้งหมด เมื่อสัตว์ภูตใช้วิธีนี้อีกครั้งก็ไม่ได้ผลแล้ว
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดสัตว์ภูตก็สู้ไม่ไหว นางนอนหอบอยู่ข้างๆ
“เจ้าตัวแสบ เหตุใดในร่างกายของเจ้าถึงมีพลังของเผ่าสวรรค์? ”
พลังของเผ่าสวรรค์?
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยารู้ว่าภรรยาของตนเองมีพลังประเภทนี้ เขาเหลือบมองซูจิ่นซีด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ซูจิ่นซีส่งสายตาปลอบใจให้เยี่ยโยวเหยา
จากนั้นก็เลิกคิ้วไปทางสัตว์ภูต “เจ้ารู้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย รีบมอบบุตรของท่านเทพออกมาโดยเร็ว! ไม่เช่นนั้น… ”
ซูจิ่นซีใช้น้ำเสียงข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด
สัตว์ภูตเลิกคิ้ว “หากข้าไม่มอบให้เล่า! ”
“เจ้าก็รู้ถึงความเก่งกาจของท่านเทพ หากยังชักช้า เกรงว่าเขาคงทำลายดินแดนลึกลับเสวียนคงแห่งนี้เป็นแน่”
“หึ ทำลายได้ก็ดี! ”
ซูจิ่นซีไม่คิดว่าสัตว์ภูตจะมีท่าทีเช่นนี้ จึงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ขณะที่ซูจิ่นซีต้องการพูดอันใดบางอย่าง สัตว์ภูตก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า “ไอ้แก่ชั่วนั่น เหตุใดจึงไม่มาเอง? ”
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “เขาถูกองครักษ์น้อยสองคนผนึกไว้ที่ตำหนักเทพ ออกมาไม่ได้ชั่วคราว”
เมื่อสัตว์ภูตได้ยิน ดวงตาของนางก็สิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าเด็กเหลือขอสองคน ทำเรื่องดีของข้าเสียหายหมด”
เมื่อซูจิ่นซีเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด นางจึงลดน้ำเสียงลง
“สู้มานานถึงเพียงนี้แล้ว พลังที่แท้จริงของพวกเราทั้งสองฝ่าย เจ้าคงประเมินสถานการณ์ในใจได้แล้วกระมัง หากต่อสู้เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสู้ไปอีกร้อยปีก็ไม่เห็นผลลัพธ์ ไม่เช่นนั้น… เจ้ามอบบุตรของท่านเทพออกมาก่อนเป็นอย่างไร? ”
เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีใช้น้ำเสียงหลอกล่อเด็ก
แววตาของสัตว์ภูตทอประกายเล็กน้อย ทันใดนั้น นางก็เอ่ยกับซูจิ่นซี “หึ นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าใช้พวกมากกว่า หากมีความสามารถ เจ้าก็สู้ตัวต่อตัวกับข้าสิ”
ซูจิ่นซีกลอกตาไปมา ก่อนจะตอบรับอย่างสาแก่ใจ “ตกลง! สู้ก็สู้ ทว่าหากเจ้าแพ้ เจ้าต้องมอบบุตรท่านเทพมาให้ข้า
ระหว่างพวกเจ้ามีบุญคุณความแค้นอันใดต่อกัน พวกเจ้าไปจัดการกันเอง ไม่อาจทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้านนอกหุบเขาหลูเหว่ยต้องเดือดร้อน? ”
“ตกลง แม้เจ้าจะเป็นเพียงร่างมนุษย์ธรรมดา ทว่ากลับมีจิตวิญญาณเทพแห่งเขาคุนหลุน เป็นผู้สืบทอดเผ่าเม้ย ทั้งยังมีพลังของเผ่าสวรรค์ แม้เจ้าจะสู้กับข้าเพียงลำพังก็ใช้เวลาครู่ใหญ่ในการตัดสินแพ้ชนะ ข้าคร้านจะสู้กับเจ้าแล้ว พวกเรามาแข่งกันเถิด”
“แข่ง? ”
ซูจิ่นซีชอบเกมเช่นนี้มากที่สุด “กติกาเป็นอย่างไร เจ้าว่ามาได้! ”
ทันใดนั้น สัตว์ภูตก็ยกมือขึ้น ภาพรอบด้านเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เดิมทีพวกเขาอยู่ภายในถ้ำ ทว่าตอนนี้กลับอยู่ในสถานที่ที่อากาศหนาวเย็น หิมะปกคลุมทั่วพื้นดิน
แม้ไม่มีเกล็ดหิมะโปรยปราย ทว่ารอบด้านเป็นภูเขาหิมะตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ใต้เท้าล้วนเป็นหิมะที่จมลงไปครึ่งขา
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็รู้สึกหนาวสั่น นางรีบกอดสองแขนของตนเองแน่น เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านข้างก็รีบโอบนางเข้าสู่อ้อมแขน
เมื่อสัตว์ภูตเห็นคนแสดงความรักหวานชื่นอย่างเปิดเผยต่อหน้าตนเอง ก็จ้องเขม็ง
“น่าหมั่นไส้! ”
ทว่ายังมีที่น่าหมั่นไส้กว่านี้อีก!
ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีคิดอันใดได้ ทันใดนั้นในมือของนางก็ปรากฏกระถางหงส์สัมฤทธิ์และไฟอมฤตจากอาคมกำไลปี่อั้น
นางใส่ไฟอมฤตเข้าไปในกระถางหงส์สัมฤทธิ์
เป็นจริงดั่งคาด สมแล้วที่เป็นนกเทพอรุณทองที่เคยอยู่ในวังสวรรค์ ในไม่ช้า ซูจิ่นซีก็รู้สึกถึงความอบอุ่น อุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และไม่รู้สึกหนาวเย็นแม้แต่น้อย
สัตว์ภูตเห็นสายตาภาคภูมิใจของซูจิ่นซี จึงเอ่ยกับนางเสียงดัง “โอ้อวด! ”
เหอะเหอะ ก็คนมีความสามารถให้โอ้อวดนี่นา!
เรื่องเช่นนี้ ผู้อื่นต้องการโอ้อวดก็ต้องมีพื้นให้โอ้อวดกระมัง!
ทว่าเรื่องเหล่านี้ ซูจิ่นซีไม่สามารถพูดได้ “คุยเรื่องสำคัญก่อน กติกาเป็นอย่างไร?”