“อื้อ……” ภูติประจำตัวที่ปากถูกแช่แข็งทำสีหน้าไร้เดียงสาและหันไปมองภูติประจำตัวชุดขาวที่ไม่รู้ว่าลงมือเมื่อไร เขาชี้ไปที่น้ำแข็งบนปากของตน ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“หุบปาก” ภูติประจำตัวชุดขาวขมวดคิ้ว ดูค่อนข้างหงุดหงิด
ภูติประจำตัวที่สูงใหญ่ตนนั้นห่อไหล่คอตกและถอยไปด้านข้างอย่างสลด แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษขอโพยเฉียวฉู่
ตอนนี้เองเฉียวฉู่ถึงได้กล้าหายใจ กลิ่นเน่าเมื่อกี้มันเหลือทนจริงๆ!
แม้ว่าพวกหรงรั่วจะอยู่ห่างกว่าหน่อย แต่พวกเขาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่านั้นเช่นกัน ถ้าหลับตา พวกเขาคงคิดว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในป่าช้าที่มีซากศพเน่าเปื่อยถูกโยนทิ้งไว้ทุกหนแห่ง “อย่าตำหนิเสี่ยวยู่ยู่ เขา……ไม่ได้ตั้งใจ……” บัวน้อยก้าวออกมาและเขย่งปลายเท้าใช้มือเล็กๆของเขาตบมือของภูติประจำตัวร่างสูงเบาๆ ราบกับพยายามปลอบโยนอีกฝ่าย
“เสี่ยว……เสี่ยวยู่ยู่?” เฉียวฉู่มองบัวน้อยด้วยสีหน้าประหลาดใจ ชายร่างสูงใหญ่กำยำที่สูงกว่าเขาหนึ่งช่วงหัว ถูกเรียกว่า……เสี่ยวยู่ยู่?
การตั้งชื่อของพวกวิญญาณพืชนี่มัน……อัศจรรย์เกินคำบรรยาย!
“เขาคือดอกบุกยักษ์ จะเรียกว่าดอกซากศพก็ได้ เขาเกิดมาพร้อมกลิ่นศพเน่า” ตู๋เถิงที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจเบาๆ แล้วอธิบาย
“ดอก……ซากศพ……” เฉียวฉู่เบิกตากว้าง
ดอกซากศพที่พวกเขาเคยเห็นมีขนาดใหญ่และเป็น ‘พืชกินสัตว์’ ของแท้ มันจะปล่อยกลิ่นที่เหมือนกลิ่นศพเน่าเพื่อดึงดูดแมลงและสัตว์ขนาดเล็กให้เข้ามาใกล้ จากนั้นก็กลืนลงไป
มิน่าล่ะ ตอนที่ดอกซากศพอ้าปาก เฉียวฉู่ถึงเกือบตาย ต้องรู้ว่าดอกซากศพนั้นมี ‘ชื่อเสียงโด่งดัง’ ว่าเป็นพืชที่มีกลิ่นเหม็นที่สุดในโลก!
เมื่อดอกซากศพได้ยินตู๋เถิงแนะนำเขา เขาก็ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเขินอาย เห็นท่าทางซื่อๆแบบนี้แล้ว ไม่มีทางที่คนจะเชื่อมโยงเขากับดอกไม้นักฆ่าที่โหดร้ายนั้นได้เลย
“แล้วคนนี้คือ……” กว่าเฉียวฉู่จะย่อยข้อมูลเรื่องตัวตนของดอกซากศพได้ ช่างสมกับเป็นภูติประจำตัวของเสี่ยวเสียจริงๆ นอกจากบัวน้อยแล้ว ไม่มีใครปกติธรรมดาเลยจริงๆ เขามองไปที่ภูติประจำตัวชุดขาวที่ลงมือได้ทันเวลา ตอนที่ดอกซากศพกำลังจะอ้าปากพูดอีกรอบ ภูติประจำตัวชุดขาวได้ปิดปากของดอกซากศพ ทำให้เฉียวฉู่ไม่ต้องทรมานอีกครั้ง
ตอนนั้นเฉียวฉู่กำลังมึนหัวตาลายจากกลิ่นเหม็นที่โจมตีเข้ามาอย่างกะทันหัน จึงไม่ทันได้มองว่าภูติประจำตัวชุดขาวลงมืออย่างไร
“สุ่ยจิงหลาน” ตู๋เถิงพูด
เฉียวฉู่มองเหม่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อพืชชนิดนี้มาก่อน
แต่ฟ่านจั๋วที่อยู่ข้างหลังเขาเบิกตากว้าง และมองไปที่ใบหน้าเย็นชาของสุ่ยจิงหลานที่ดูไม่เหมือนมนุษย์
“สุ่ยจิงหลาน? ที่ลือกันว่าเป็นดอกไม้แห่งความตายจากปรโลกน่ะหรือ?” ฟ่านจั๋วมองสุ่ยจิงหลานอย่างสงสัยใคร่รู้
“มา……มาจากปรโลก……เสี่ยวจั๋ว อย่าทำให้ข้ากลัวสิ” เฉียวฉู่ลูบแขน เขาขนลุกขนพองไปหมดแล้ว
รูปร่างหน้าตาของสุ่ยจิงหลานนั้นงดงามมาก เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพมายา ผิวที่ขาวจนเกือบโปร่งแสงนั้นสวยจนทำให้ละสายตาไม่ได้ แต่ภูติประจำตัวที่งดงามเช่นนี้จะเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘ปรโลก’ ได้อย่างไร? ฟ่านจั๋วกระแอมในลำคอ แล้วมองไปที่เฉียวฉู่พร้อมอธิบายว่า “นี่……เป็นแค่คำอุปมาเท่านั้น ว่ากันว่าสุ่ยจิงหลานไม่ต้องการแสงแดด มันเติบโตในที่มืด สามารถเรืองแสงจางๆในความมืดได้ ราวกับว่าเป็นดอกไม้ที่นำทางไปสู่ประตูปรโลก แล้วก็……มันขึ้นบนซากเน่าของพืชชนิดอื่นๆและใช้มันเป็นสารอาหารเลี้ยงตัวเอง”