ถ้าฟ่านจั๋วไม่อธิบายรายละเอียดคงจะดีกว่า คำพูดของเขายิ่งทำให้เฉียวฉู่ตกใจกลัวมากขึ้น
พวกสุ่ยจิงหลานเป็นวิญญาณพืช พวกมันก่อร่างขึ้นมาจากพืช สำหรับมนุษย์ นั่นคือต้นไม้ใบหญ้า แต่สำหรับวิญญาณพืช นั่นคือเผ่าพันธุ์เดียวกัน
การบอกว่าสุ่ยจิงหลานเอาซากพืชที่ตายแล้วมาเป็นสารอาหารก็เหมือนกับบอกว่ามนุษย์กินศพมนุษย์เป็นอาหารไม่ใช่หรือ?
ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบคนหน้าตาดี เฉียวฉู่ตกใจมากกับตัวตนของสุ่ยจิงหลาน
หน้าตาดีขนาดนี้แท้ๆ ทำไม……
“เดี๋ยวนะ เสี่ยวเสีย……ภูติประจำตัวของเจ้า……ไม่มีใครปกติธรรมดาบ้างเลยหรือ?” เฉียวฉู่รู้สึกขึ้นมาเลยว่าโรลลี่ของเขาช่างน่ารักเหลือเกินท่ามกลางภูติประจำตัวพวกนี้ เป็นความบริสุทธ์ที่ไม่สามารถบริสุทธิ์ไปมากกว่านี้ได้แล้ว มันไม่กินเนื้อและไม่กินพวกเดียวกันด้วย แค่ได้แทะไผ่มันก็พอใจแล้ว
ฮัวเหยาเห็นเฉียวฉู่ฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วยสีหน้าหวาดกลัว แล้วเขาก็ได้แต่แอบส่ายหัว
จิตใจอ่อนไหวเหลือเกิน!
“ข้าคิดว่านะ……คนนี้ไม่น่าจะโหดใช่ไหม?” เฟยเหยียนเหลือบมองเด็กหนุ่มผมแดงที่ยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา ภูติประจำตัวตนนี้ดูเด็กมาก เหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบัวเมา ดูไม่เย็นชาเหมือนสุ่ยจิงหลาน และไม่สูงใหญ่กำยำเหมือนดอกซากศพ ดูเป็นคนที่อันตรายน้อยที่สุดในบรรดาภูติใหม่ทั้งสาม
เนื่องจากเฟยเหยียนรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างเป็นมิตรและใกล้ชิดได้ง่าย เขาจึงยื่นมือออกไปเพื่อจะแตะเสื้อผ้าสีแดงเพลิงของเขาโดยไม่รู้เลยว่าบัวน้อยและพวกภูติประจำตัวตนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านข้างพากันมองมาที่เขาอย่างสยดสยองราวกับมองเห็นผี “ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่แตะเขา” เสียงของจวินอู๋เสียดังเข้าหูของเฟยเหยียน มือที่ยื่นออกไปของเฟยเหยียนชะงักค้างกลางอากาศ เขาหันไปมองจวินอู๋เสียที่มีสีหน้าเฉยเมย แล้วถามว่า “เขามีพิษหรือ?”
จวินอู๋เสียส่ายหน้า
“เขากินคน?” เฟยเหยียนเดา
จวินอู๋เสียยังคงส่ายหน้า
เฟยเหยียนไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่ได้กินแล้วก็ไม่มีพิษ แล้วทำไมจวินอู๋เสียถึงห้ามเขา เฟยเหยียนสับสนมาก เขาหันไปมองภูติประจำตัวตนอื่นๆ เหมือนอยากจะหาคำใบ้ แต่พวกบัวน้อยกลับมองไปที่เฟยเหยียนด้วยแววตาสงสาร
สายตาเหล่านั้นเหมือนจะบอกว่า ‘ไปสู่สุคติเถอะนะ’
สายตาของพวกเขาทำให้เฟยเหยียนขนลุก เขาดึงมือของตัวเองกลับมาโดยไม่รู้ตัวและรักษาระยะห่างจากเด็กหนุ่มผมแดงคนนั้นแต่โดยดี เขาแกล้งทำเป็นสงบนิ่งและถามขึ้นว่า “คือว่า……ข้าขอถามชื่อเจ้าได้ไหม?”
เด็กหนุ่มผมแดงส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาที่สดใสกว่าเดิมไปให้เขา “ข้าคือเซวี่ยหรงฮวา”
“เสวี่ยหรงฮวา?” เฟยเหยียนกะพริบตาปริบๆ ชื่อนี้ฟังดูน่ารักมากไม่ใช่หรือ?
“เซวี่ยที่หมายถึงเลือดน่ะ” จวินอู๋เสียช่วยแก้ให้เพื่อนที่เข้าใจผิดว่า ‘เซวี่ย’ (เลือด) เป็น ‘เสวี่ย’ (หิมะ)
“เซวี่ย……เลือด……” เฟยเหยียนรู้สึกว่าพืชที่มีคำนี้อยู่ในชื่อไม่ควรที่จะไปล้อเล่นด้วย
อิงซู่มองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของเฟยเหยียนแล้วอดหัวเราะคิกคักไม่ได้ “จำตอนที่ไปโลกวิญญาณครั้งแรกได้ไหม ที่ข้าบอกเรื่องผู้นำทั้งสามของวิญญาณพืช”
“จำได้ เจ้า, ตู๋เถิง……แล้วก็มีอีกคนที่พวกเราไม่เคย……” คำพูดของเฟยเหยียนขาดหายไปอย่างกะทันหัน เขาหันหน้าช้าๆไปมองเซวี่ยหรงฮวาที่ยืนยิ้มหวาน แล้วชี้นิ้วแข็งทื่อไปที่เขาพร้อมกับพูดว่า
“อีกคนนั่น……คงไม่ใช่เจ้าใช่ไหม?”
เป็นไปได้ยังไง?
ไม่ว่าจะมองยังไง เด็กหนุ่มคนนี้ก็ดูไม่โหดเหมือนตู๋เถิงกับอิงซู่เลยนี่!