บทที่ 2812 เท็จกลับจริง จริงกลับเท็จ 4
เขาเอ่ยเสียงเย็น “นึกไม่ถึงเลยว่าตัวปลอมอย่างเจ้าจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเจ้าเป็นตัวปลอมไปไม่ได้ ใครก็ได้ มาจับนางซะ! เปิ่นหวางจะไต่สวนดูให้ดีๆ!”
เขาพลันโบกมือคราหนึ่ง การโบกมือนี้คือสัญญาณลับ ให้กองทหารที่ดักซุ่มอยู่เหล่านั้นลงมือได้เลย…
เขาเกรงว่าตนจะถูกลูกหลงบาดเจ็บไปด้วย ดังนั้นทันทีที่ถอยร่นออกมาก็ได้กางเขตแดนให้ตัวเองทางด้านนี้แล้ว
ผลคือ…
หมื่นศรน้าวยิงที่เขาเฝ้ารอคอยไม่ปรากฏขึ้น ถึงขั้นที่สักดอกเดียวก็ไม่มีพุ่งออกมาเลย
กองทหารที่ซุ่มอยู่ในเส้นทางลับก็ไม่โผล่ออกมาเลย ในอากาศเกิดความเงียบงันอันน่าประหลาดอย่างหนึ่งขึ้น
กู้ซีจิ่วถอยไปอยู่ข้างกายฟั่นเชียนซื่อแล้ว ถึงแม้เธอจะสร้างกำบังคุ้มกันไว้รอบกายฟั่นเชียนซื่อแล้ว แต่ก็ยากจะรับประกันได้ว่าในสังกัดของราชันปีศาจจะไม่มีคนที่สามารถทำลายกำบังแล้วจับตัวคนไปได้ หากว่าฟั่นเชียนซื่อถูกจับไป เธอคงต้องเป็นรองจริงๆ แล้ว
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างฉงนอยู่เช่นกัน เมื่อเธอเห็นราชันปีศาจโบกมือก็ทราบแล้วว่าเขาสั่งการกองทหารให้ออกโรง เธอนึกไปว่าถึงแม้กองทหารที่ดักซุ่มเหล่านั้นจะถูกเธอขู่ขวัญไปไม่น้อยแล้ว แต่ถึงอย่างไรกองทหารก็มีมากมาย เธอไม่สามารถทำให้พวกเขาสยบจำนนได้ทั้งหมด และในบรรดานั้นก็มีผู้ที่ภักดีต่อราชันปีศาจอยู่ หากว่าได้รับคำสั่งจะต้องลงมือแน่
หนนี้อย่างน้อยก็น่าจะมีลูกศรยิงออกมาสักพันดอก มีคนสองสามร้อยคนพุ่งออกมา
กลับคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเลยสักคน
กองทหารที่ดักซุ่มเหล่านั้นพบพานอุบัติเหตุอันใดไปแล้วหรือ?
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เงาร่างของตี้ฝูอีพลันแวบเข้ามาในสมองของเธอ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ‘หรือเขาจะลอบลงมือแล้ว…’
แต่วรยุทธ์ของเขาก็มีขีดจำกัดนะ ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้จะสามารถสยบคนมากมายถึงเพียงนี้อย่างเงียบเชียบได้อย่างไร?
ราชันปีศาจก็ค่อนข้างงุนงงเช่นกัน ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง “ใครก็ได้!”
มีเพียงองครักษ์ข้างกายเขาที่ตอบรับ ในเส้นทางลับยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นเดิม
ความรู้สึกไม่ค่อยดีผุดขึ้นมาในใจของราชันปีศาจ ขณะที่เขากำลังจะส่งคนไปดูในเส้นทางลับ พลันได้ยินเสียงเพชฌฆาตร้องอุทานออกมา
ราชาปีศาจกำลังหงุดหงิดอยู่ “ร้องบ้าอะ…”
ทันใดนั้นเขาพลันแข็งค้างไปปานถูกสายฟ้าฟาด! ดวงตามองตรงไปที่เสาลงทัณฑ์ ที่ถูกล่ามไว้บนเสาคือมังกรเจียวตัวหนึ่งที่ถูกแล่เฉือนจนแทบเหลือเพียงโครงกระดูกแล้ว…
บนศีรษะของมังกรเจียวตัวนี้มีหงอนสีแดงสดอยู่
ต่อให้หงอนนี้ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านราชันปีศาจก็จำได้อยู่ดี
เยาถิงถิง!
นี่คือร่างเดิมของเยาถิงถิงน้องสาวของเขา!
ราชันปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์เจียว และหลังจากเผ่าเจียวบำเพ็ญจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว นอกจากความประสงค์ของตนแล้ว มีเพียงความตายเท่านั้นถึงจะทำให้ร่างเดิมปรากฏขึ้นได้
ในสมองของราชันปีศาจเกิดเสียงดังตูมตาม ว่างเปล่าขาวโพลน แทบจะโผเข้าไปแล้ว “ถิงถิง!”
แต่องค์หญิงผู้นี้สิ้นลมไปแล้ว ย่อมไม่ตอบรับเขาแล้ว
เพชฌฆาตคนนั้นคุกเข่าลงด้านข้างสั่นระริก “ฝ่าบาท ไม่เกี่ยวกับกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกันว่านางคือองค์หญิง…”
“สารเลว!” นัยน์ตาราชันปีศาจแดงฉาน ซัดฝ่ามือใส่
อัคคีโชติช่วงพุ่งออกมาจากฝ่ามือเขา ครอบคลุมเพชฌฆาตไม่กี่คนนั้นเอาไว้พร้อมกัน พริบตาเดียวก็เผาจนกลายเป็นลูกไฟไม่กี่กองแล้ว รับเคราะห์จากเพลิงพิโรธของราชันปีศาจ
“ใครเป็นคนทำ? นี่เป็นฝีมือของผู้ใด?!” ราชันปีศาจคำราม สั่นสะเทือนทั้งแท่นจนเกิดเสียงดังกึกกึก
เขาสัมผัสซากมังกรเจียวร่างนั้นอย่างรวดเร็ว สังเกตเห็นว่าบนร่างมันมีผนึกสายหนึ่งอยู่ ผนึกนี้ได้ยับยั้งไม่ให้เยาถิงถิงกลับสู่ร่างเดิมได้ในช่วงเวลาคับขัน…
หากว่าเยาถิงถิงกลับคืนร่างเดิมในช่วงที่ถูกควบคุมตัวไว้ ราชันปีศาจก็ไม่มีทางทำผิดพลาดครั้งมหันต์…
ดุเหมือนคนที่วางหลุมพรางเขาเช่นนี้จะคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมดเอาไว้แล้ว!
ในที่สุดราชันปีศาจก็นึกถึงตัวการร้ายออกแล้ว สั่งการเสียงกร้าว “ใครก็ได้ ไปที่ตำหนักวิจิตรแล้วจับตัวไอ้นักบวชคนนั้นมาให้ผู้เฒ่าซะ!”
“ไม่จำเป็น!” เสียงหัวเราะแผ่วเบาสายหนึ่งแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียงหัวเราะนี้ใสกระจ่างปานสายลม ล่องลอยเข้าสู่ใบหูคน
ราษฎรชาวปีศาจที่มีสีหน้างุนงงหันมองไปตามเสียง
….
————————————————————————————-
บทที่ 2813 เปิดโปง
มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากมุมมืดราวกับจู่ๆ ก็โผล่ทะลุออกมาจากความว่างเปล่า คนเหล่านี้แต่งกายเครื่องแบบทหารปีศาจ บนร่างสวมเกราะแวววาว พวกเขาแบกเกี้ยวสองหลังเอาไว้ หนึ่งแดงหนึ่งฟ้า เกี้ยวสองหลังนี้ดูแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าประณีตอย่างยิ่ง บนม่านของเกี้ยวสีแดงปักลายสุริยันดวงหนึ่งไว้ ส่วนม่านของเกี้ยวสีฟ้าปักลวดลายหมู่ดาวนับไม่ถ้วนไว้
ไม่ว่าจะเป็นดวงตะวันบนเกี้ยวสีแดงหรือว่าหมูดาวบนเกี้ยวสีฟ้าล้วนคล้ายจะโอบล้อมไว้ด้วยประกายหมอก ดูมีชีวิตชีวาสมจริง
ดวงตะวันร้อนแรงจนทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ หมู่ดาวก็ลึกล้ำไกลโพ้น ราวกับถ้ามองมากไปสักหน่อยก็หลุดหายเข้าไปในนั้น
ราชันปีศาจหน้าเปลี่ยนสีแล้ว
ขุนพลปีศาจเหล่านั้นเขารู้จัก นั่นคือส่วนหนึ่งของขุนพลที่สมควรจะซุ่มอยู่ในเส้นทางลับ
เมื่อครู่นี้เขาเรียกพวกเขาให้ออกมา พวกเขาไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ยามนี้กลับแบกเกี้ยวพิลึกพิลั่นสองหลังนี้ออกมา…
คนในเกี้ยวเป็นใคร?
เสียงหัวเราะที่ได้ยินเมื่อครู่นี้คล้ายจะเป็นของนักบวชคนนั้น…
แล้วในเกี้ยวอีกหลังเล่าเป็นผู้ใด?
เนื่องจากการปรากฏตัวขึ้นของคนกลุ่มนี้ ศึกนี้ย่อมก่อขึ้นไม่ได้แล้ว
กู้ซีจิ่วถอยไปอยู่ข้างกายฟั่นเชียนซื่อแล้ว เขายังบาดเจ็บอยู่ กู้ซีจิ่วเพียงจัดการให้เขาอย่างง่ายๆ เท่านั้น บัดนี้แม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืนก็ไม่มีอยู่เลย
เมื่อกู้ซีจิ่วเข้ามา ดวงตาของเขาพลันส่องประกายแวบหนึ่ง จากนั้นก็หม่นหมองลงอีกครั้ง “อาจารย์ เป็นศิษย์ไม่ได้เรื่อง…”
กู้ซีจิ่วทาบนิ้วหนึ่งจรดปากส่งเสียงชู่ว “อย่าได้ละทิ้งตัวเอง เจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน…”
พูดไปด้วยพลางถ่ายเทพลังวิญญาณรักษาบาดแผลให้เขาไปด้วย จากนั้นก็เงยหน้าชมเรื่องครื้นเครง
ราชันปีศาจเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “หยางจิ่นเทียน เจ้าคิดจะก่อกบฏรึ?!”
หยางจิ่นเทียนก็คือหัวหน้าของขุนพลปีศาจกลุ่มนี้ เขาเหลือบมองราชันปีศาจอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยวาจา แต่หยิบสังข์กักเสียงชิ้นหนึ่งออกมา ออกแรงกดเล็กน้อยก็มีบทสนทนาของคนสองคนแว่วออกมาจากภายในสังข์กักเสียง…
บทสนทนานี้ชัดเจนยิ่งนัก แทบจะได้ยินกันทั่วทั้งจัตุรัส
กู้ซีจิ่วฟังไปสองสามประโยคก็เบิกตานิดๆ แล้ว
ทุกคนล้วนได้ยินกันทั่ว ในสองคนนี้คนหนึ่งคือราชันปีศาจ อีกคนหนึ่งคือตี้ฝูอี
บทสนทนานี้เป็นตอนที่ราชันปีศาจขอให้ตี้ฝูอีช่วยเหลือน้องสาวของตน รวมถึงวิธีการที่เขาสมควรใช้ด้วย
ในบทสนทนาสื่อชัดเจนยิ่งนักว่าราชันปีศาจต้องการใช้กลยุทธ์หลี่สิ้นแทนท้อ
เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากนักบวช ราชันปีศาจถึงขั้นที่บอกเล่าถึงภาพรวมของแผนการในวันนี้ด้วย บอกว่าจะตามล่าเทพผู้สร้างโลก พอได้มาถึงมือและเล่นสนุกเต็มที่แล้ว เขาจะแบ่งเนื้อสักชิ้นให้นักบวชด้วยก็ได้…
แน่นอน สำหรับเรื่องราวเหล่านั้นที่เยาถิงถิงกระทำ ราชันปีศาจก็ทราบความในส่วนใหญ่ด้วย แต่เขาเหิมเกริมนัก พูดจาทำนองว่าเขาใส่ใจเพียงน้องสาวคนนี้ ในใจของเขาแล้วคนอื่นๆ ในเผ่าปีศาจเป็นเพียงข้าไพร่กลุ่มหนึ่งที่มีไว้ใช้สอยเท่านั้น ชีวิตของข้าไพร่ย่อมย่ำยีได้ตามอัธยาศัย จะสังหารไปมากน้อยปานใดล้วนไม่เป็นไรทั้งสิ้น…
เมื่อถ้อยคำเหล่านี้หลุดลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นข้างบนแท่นหรือข้างล่างแท่นล้วนเกิดเสียงฮือฮา แทบทุกคนต่างขุ่นเคืองคั่งแค้น!
กู้ซีจิ่วมองใบหน้าที่เขียวคล้ำไปในชั่วพริบตาของราชันปีศาจ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
ราชันปีศาจผู้นี้สมองกลับไปแล้วหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยความในใจมากมายเช่นนี้ออกมาจนหมด ปล่อยให้ผู้อื่นจับจุดได้มากขนาดนี้
ตี้ฝูอีคนนี้ช่างเป็นอัจฉริยะบุคคลโดยแท้ ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาใช้วิธีไหนถึงทำให้ราชันปีศาจเปิดไส้เปิดพุงให้เช่นนี้ กล่าววาจาก่อความเคียดแค้นชิงชังมากมายขนาดนี้ออกมา
ความคิดจิตใจของคนผู้นี้ละเอียดลออลึกล้ำเกินไปแล้ว!
น่าหวาดหวั่นโดยแท้! ไม่คล้ายเด็กอายุยี่สิบสามเลยจริงๆ…
ราชันปีศาจเพิ่งฟังไปได้สองประโยคก็หน้าเขียวคล้ำแล้ว “ของปลอม! เป็นของปลอม! เปิ่นหวางมิเคยพูดเลย ต้องเป็นเล่ห์กลของนักบวชผู้นี้แน่นอน ใส่ไคล้เปิ่นหวาง!” ร่างพลันโผกระโจน พุ่งเข้าใส่สังข์กักเสียงในมือของหยางจิ่นเทียน คิดจะชิงของสิ่งนี้มาทำลายให้ป่นปี้
ความเคลื่อนไหวของเขากล่าวได้ว่าว่องไว แต่ความเคลื่อนไหวของกู้ซีจิ่วว่องไวกว่า
————————————————————————————-