บทที่ 2817 ไปถามตี้ฝูอีดีไหม?
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ตัวเธอเองรู้ดี การประมือกับเยาซิงเย่ในหนนี้ ถึงแม้เธอจะเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบ แต่ชีพจรบนร่างกลับเจ็บปวดรวดร้าว จวบจนยามนี้ก็ยังไม่บรรเทาลงเลย
เธอต้องไปที่แดนน้ำแข็งแห่งนั้นเพื่อกักตนฝึกฝนอีกครั้ง…
….
กู้ซีจิ่วหาแดนน้ำแข็งแห่งนั้นไม่พบเลย!
เธอดินทางไปตามเส้นทางเดียวกับในครั้งก่อนแล้วชัดๆ เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าจดจำเส้นทางในตอนนั้นเอาไว้แล้ว แต่เดินไปเดินมาไม่ว่าจะทำอย่างไรกลับไม่พบแดนน้ำแข็งแห่งนั้นเลย
หรือว่าแดนน้ำแข็งแห่งนั้นจะอยู่ในเขตแดนอะไร?
แล้วเธอก็ส่ายหน้าทันที เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำลายเขตแดน เขตแดนใดๆ ล้วนไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของเธอได้ หากว่าแดนน้ำแข็งแห่งนั้นซุกซ่อนอยู่ในเขตแดน ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะมองไม่ออก
เธออยู่บนเนินเขาแห่งนั้นที่โผล่ออกมาในครั้งก่อน บนล่างซ้ายขวาหน้าหลังล้วนค้นหาดูอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งปานพลิกผืนพรมแล้ว หลังจากยังคงไม่เป็นผลเช่นเดิม ในที่สุดเธอก็ถอดใจแล้ว
หรือแดนน้ำแข็งแห่งนั้นจะเคลื่อนย้ายได้ หรือจะเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ สรุปคือ ความคิดที่ต้องการจะไปบำเพ็ญที่นั่นอีกของเธอล้มเหลวแล้ว
เห็นทีว่าต้องคิดหาวิธีอื่น
ไปถามตี้ฝูอีดีไหม?
แต่เขาจะบอกหรือ? คนผู้นี้จิตใจลึกล้ำเกินไป ในใจของกู้ซีจิ่วไม่อยากพบเขาอยู่บ้าง และไม่อยากจะข้องแวะกับเขาอีก
ส่ายหน้าเล็กน้อย ช่างเถอะ เกวียนเคลื่อนถึงหน้าเขาประเดี๋ยวก็พบทาง[1] ถึงอย่างไรเธอก็เหลือเวลาไม่มากอยู่แล้ว อยู่นานขึ้นวันหนึ่งหรืออยู่น้อยลงไปวันหนึ่งอันที่จริงแล้วล้วนไม่เป็นอย่างไรทั้งสิ้น
การบำเพ็ญมาเนิ่นนานบ่มเพาะให้เธอมีนิสัยอยู่กับปัจจุบัน และไม่ใส่ใจความเป็นความตายถึงเพียงนั้นแล้ว
ทิวทัศน์ภายในภูเขาลูกนี้ไม่เลวเลย กู้ซีจิ่วจึงเดินเตร่เที่ยวเล่นอยู่ที่นี่เสียเลย เดินขึ้นเขาไปชมทิวทัศน์
สถานที่แห่งนี้สงบเงียบยิ่ง มีนกมีสัตว์ผ่านมาเพียงครั้งคราวเท่านั้น ไม่พบเห็นมนุษย์เลย แม้แต่คนตัดฟืนก็ไม่มีเลย
เธอได้พบดงบุปผาแห่งหนึ่งภายในช่องเขาเส้นหนึ่ง
บุปผาแต่ละต้นขาวพิสุทธิ์บานสะพรั่ง เมื่อมองจากที่ไกลๆ แล้ว ราวกับก้อนเมฆที่ร่อนลงมาอยู่ภายในหุบเขา ทิวทัศน์งดงามเป็นล้นพ้น
กู้ซีจิ่วเดินเข้าไป วนเวียนอยู่ภายในดงบุปผา ชื่นชมสีสันดอกไม้ พลันได้ยินเสียงธาราไหลริน เธอเสาะหาไปตามเสียง ไม่น่าเชื่อว่าจะพบลำธารเล็กๆ สายหนึ่งที่ส่องประกายระยับ ภายในสายธารมีกลีบผกาสีขาวพิสุทธิ์ล่องลอยอยู่เต็มไปหมด กระจุกกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ดั่งแดนสุขาวดีในโลกหล้า
สุดปลายของลำธารสายน้อยคือสระลึกแห่งหนึ่ง
จะว่าไปก็แปลก ยามที่บุปผาในลำธารล่องลอยไปถึงสระลึกแล้วไม่น่าเชื่อว่าพวกมันจะรวมตัวกันเป็นวังวนลึก แล้วเคลื่อนตามสายธารเข้าสู่สระลึก
น้ำในสระใสกระจ่าง แวววาวดั่งหยก ปราศจากสิ่งเจือปน
ดวงตากู้ซีจิ่วพลันส่องประกาย เธอชอบแช่น้ำ ยามนี้ย่อมไม่คิดจะปล่อยผ่าน
ซ้ำที่นี่ก็ปลอดคน ถึงขั้นที่แม้แต่สัตว์ป่าก็ไม่เห็นมีเลยสักตัว เป็นสถานที่อาบน้ำที่สมบูรณ์แบบยิ่ง
เธอเปลื้องอาภรณ์แล้วลงน้ำ สระน้ำค่อนข้างเย็นอยู่บ้าง แต่สำหรับเธอแล้ว ความเย็นแค่นี้ไม่นับว่าเป็นอย่างไรเลย
เธอว่ายอยู่ในสระลึก ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางสระน้ำ ลอยคออยู่ครู่หนึ่ง เธอพลันรู้สึกประหลาดใจปนยินดีเมื่อพบว่าในสระนี้มีพลังวิญญาณพรั่งพร้อมสมบูรณ์ยิ่ง แถมยังแกร่งกล้ายิ่งกว่าภายในหุบเขาเสียงสวรรค์ของเธออีก
แช่อยู่ที่นี่ก็เป็นการฝึกฝนที่ไม่เลวเช่นกัน!
เธอมองลงไปใต้น้ำ สระลึกเกินไป มองไม่เห็นก้นเลย
เธอจับสัมผัสดูอีกเล็กน้อย ไม่รู้สึกว่ามีสัตว์ร้ายอันใดอยู่ด้านใน จึงไม่เก็บมาใส่ใจอีก
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเธอโดยเฉพาะชัดๆ!
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือน้ำในสระนี้ใสกระจ่างเกินไป มองจากผิวน้ำก็เห็นด้านล่างแล้ว ร่างกายของเธอที่แช่อยู่ใต้น้ำจึงสุ่มเสี่ยงล่อแหลม…
โชคดีที่ไม่มีใครมาเห็น เธอจึงไม่สนใจอะไรแล้ว
เธอนั่งขัดสมาธิอยู่ในน้ำ มือจรดร่ายเคล็ด เริ่มฝึกฝน
เพิ่งจะตั้งท่าได้ หลับตาลงยังไม่ทันเข้าสู่ภวังค์ด้วยซ้ำ พลันได้ยินเสียงน้ำแว่วขึ้นริมหู ผืนน้ำบริเวณใกล้เคียงพลันสั่นไหวขึ้นมา
เธอสะดุ้งโหยง ลืมตาขึ้น ร่างกายแข็งทื่อไปทันที
คนผู้หนึ่งผุดขึ้นมาจากก้นสระอย่างรวดเร็ว เมื่อมองจากมุมนี้ของกู้ซีจิ่ว เห็นเพียงเส้นผมดกดำที่แผ่พลิ้วของอีกฝ่ายเท่านั้น
คนผู้นั้นคล้ายจะสัมผัสอันใดได้เช่นกัน เงยหน้าขึ้นมา สายตาเฉียบคมสบกับกู้ซีจิ่วที่กำลังมองลงไป…
….
————————————————————————————-
บทที่ 2818 นี่ช่างเป็นวาสนาจริงๆ…
ทั้งสองคนหนึ่งบนหนึ่งล่างประสานสายตากัน ในสมองกู้ซีจิ่วพลันเกิดเสียงดังตูม
ตี้ฝูอี
ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเขาที่นี่
แถมเธอยังเปลือยอยู่ด้วย!
กู้ซีจิ่วตอบสนองไวยิ่ง เงื้อเท้าถีบเข้าไปทันที!
คลื่นน้ำซัดตลบ กดทบลงบนศีรษะตี้ฝูอี ทำให้เขาจมลึกลงไปด้านล่างในทันใด
ส่วนกู้ซีจิ่วก็ฉวยโอกาสเคลื่อนย้ายขึ้นสู่ฝั่ง ทันทีที่อยู่บนฝั่งก็สะบัดมือคราหนึ่ง อาภรณ์ลอยฉิวเข้ามาสวมลงบนร่างเธอด้วยตัวเอง
ความเคลื่อนไหวชุดนี้ของเธอรวดเร็วจนยากจะบรรยายได้ ลื่นไหลยิ่งกว่าเมฆาเคลื่อนคล้อยธาราไหลริน นอกจากยามที่ร่อนลงสู่พื้นแล้ว ที่เหลือยังนับว่างดงามหมดจดยิ่ง
หัวใจเธอเต้นรัวขึ้นมา ถูกผู้อื่นพบเห็นตอนเปิดเปลือยเช่นนี้เธอเก้อกระดากนัก ทำเอาเธอแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว
แต่ยามนี้อีกฝ่ายผุดขึ้นมาจากผิวน้ำแล้ว ดวงตาเย้ายวนเกี่ยวจิตกระชากวิญญาณคู่นั้นกำลังมองเธออยู่
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าถ้าจากไปตอนนี้นั่นก็คือการหลบหนีอย่างสิ้นท่า นั่นมิไม่ใช่วิสัยของเทพผู้สร้างโลกอย่างเธอเลย
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?” กู้ซีจิ่วจ้องตาเขาอย่างเยียบเย็น เพียงแต่พอเห็นสภาพของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว เธอก็เสตาหลบไปอีกครั้ง รู้สึกว่าใบหน้าแก่ๆ ของตนร้อนผ่าว
ตอนนี้เขาเปลือยกายอยู่ ถึงแม้บนผิวน้ำจะเผยออกมาเพียงสองไหล่กับศีรษะของเขา แต่น้ำในสระนี้ใสกระจ่างเกินไป ซ้ำเธอยังสายตาดียิ่ง ดังนั้นจึงมองเห็นทั้งร่างของเขาที่อยู่ใต้น้ำ…
บนร่างของเขาสวมเพียงกางเกงตัวในบางๆ ผืนหนึ่ง ท่อนบนเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์
ยามที่คนผู้นี้สวมเสื้อคลุม ดูสง่างามระหง ดั่งต้นอวี้ท้าสายลม ไม่นึกเลยว่ายามที่เปลื้องผ้าร่างกายจะร้อนแรงปานนี้!
รูปร่างได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบ กล้ามเนื้อเปี่ยมด้วยพละกำลัง ลายเส้นเรียบเนียน เต็มไปด้วยความหนั่นแน่น เขาที่เป็นเช่นนี้มีความงามอันดุดันรุกเร้าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสภาพในปัจจุบันของเขา เรือนผมเปียกชื้นสยายเคลียไหล่ มีความงดงามแบบเกียจคร้านเฉื่อยชาอยู่ด้วย
คล้ายว่าตี้ฝูอีเพิ่งจะจำเธอได้ มุมปากหยักขึ้นนิดๆ “ที่แท้ก็เป็นพระองค์เจ้า นี่ช่างเป็นวาสนาจริงๆ…”
วาสนาเหรอ? ความซวยน่ะสิไม่ว่า
น้ำเสียงกู้ซีจิ่วแฝงอำนาจข่มขู่ไว้ “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของเปิ่นจุนเลย”
ตี้ฝูอีว่ายเข้ามาที่ฝั่งด้วยตัวเอง “พระองค์เจ้า ดูเหมือนข้าจะมาที่นี่ก่อนนะ หากจะถามก็ต้องเป็นเสี่ยวเซียนที่ต้องถามท่านมากกว่ากระมัง?”
นี่ก็ถูก มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีทางโผล่ขึ้นมาจากก้นสระทำให้เธอตกใจได้ ซ้ำยังเห็นเธอเปลือย…
กู้ซีจิ่วเหลือบมองแวบหนึ่ง เขาว่ายมาถึงฝั่งแล้ว เธอถอยหลังไปหลายก้าว ขมวดคิ้ว “เจ้าจะทำอะไร?”
“ขึ้นฝั่งน่ะสิ พระองค์เจ้าคงไม่คิดจะให้ข้าแช่อยู่ที่นี่ไปตลอดกระมัง?” ขณะที่เอ่ยวาจา ตี้ฝูอีก็ขึ้นฝั่งมาแล้ว หยาดน้ำบนกายของเขากลิ้งหยดเป็นสาย ส่องกระทบแสงแดดราวกับมีแสงทรงกลดแผ่ออกมาจากร่าง
มิใช่สิ่งพึงดู
กู้ซีจิ่วหันหลังให้อย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าสวมเสื้อผ้าเถอะ เปิ่นจุนมีเรื่องจะถามเจ้า”
ตี้ฝูอีที่กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ชะงักไปเล็กน้อย สายตาร่อนลงบนแผ่นหลังของนาง แววตาวูบไหวแวบหนึ่ง เชื่อฟังอย่างที่หาได้ยากนัก “ได้”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีก็แต่งกายเรียบร้อยแล้ว กลับมาสวมอาภรณ์แผ่วพลิ้วปลิวตามลมอีกครั้ง ดุจนักพรตผู้งามสง่า
เพียงแต่สีหน้าของเขายังคงซีดเซียวอยู่บ้าง เส้นผมยังคงชุ่มน้ำอยู่ ส่งผลต่อความงดงามของเขาเล็กน้อย
เขาขยับนิ้วร่ายอาคม คล้ายต้องการจะเป่าผมให้แห้ง กู้ซีจิ่วไม่คิดจะให้เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้มาถ่วงรั้งให้ล่าช้า จึงร่ายคาถาชำระล้างใส่โดยตรง ด้วยเหตุนี้ทั้งร่างของตี้ฝูอีจึงแห้งสะอาดอย่างสมบูรณ์
ตี้ฝูอีชะงักไปแวบหนึ่ง เงยหน้ามองนาง
กู้ซีจิ่วเสาะหาโขดหินสูงก้อนหนึ่งแล้วนั่งลงไป “เจ้าไม่ได้อยู่ช่วยเหลือให้ตระกูลถูซานขึ้นครองราชย์ที่ภพปีศาจหรอกหรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงแล่นมาที่นี่ได้เล่า?”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยตอบตรงๆ “พระองค์เจ้ารั้งเสี่ยวเซียนไว้เพื่อถามเรื่องนี้หรือ?”
การตอบอย่างรัดกุมน้ำไม่รั่วสักหยดเช่นนี้ มีคำตอบก็เหมือนกับไม่มีอยู่ดี!
————————————————————————————-
[1] เกวียนเคลื่อนถึงหน้าเขาประเดี๋ยวก็พบทาง หมายถึง ปัญหาทุอย่างย่อมมีทางออก