บทที่ 2825 ล่อลวงศิษย์ 2
เมื่อครู่เขาลอบทดสอบดูแล้ว เกิดสถานการณ์เดียวกันกับกู้ซีจิ่ว ถอดไม่ออกเลย
หากว่าเป็นคนอื่นที่ส่งของแบบนี้มาเกาะติดบนข้อมือของเขา เขาต้องชักสีหน้าใส่นานแล้ว!
แต่ยามนี้เขามองกำไลที่อยู่บนข้อมือวงนี้แล้ว กลับดูเข้าตาอย่างน่าประหลาด เข้าคู่กันอย่างยิ่ง
กู้ซีจิ่วไหนเลยจะยอมเชื่อเขา “เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
เสี่ยวจินเพิ่งยอมรับผู้อื่นเป็นนาย ก็จงรักภักดีขนาดนี้แล้วหรือ?!
ตี้ฝูอีคล้ายจะเข้าใจว่าเธอคิดอะไรอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะยื่นข้อมือที่สวมกำไลเอาไว้ ออกมาอย่างใจกว้าง “ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ลองดูเองได้”
ลองเองก็ลองเองสิ!
กู้ซีจิ่วยื่นมือออกไปจับแขนเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็รูดกำไลลงมา ผลคือ เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ กำไลวงนั้นถอดไม่ออกจริงๆ
ตี้ฝูอีหลุบตามองมือน้อยๆ ของนางที่กำลังสาละวนอยู่บนข้อมือของตน แววตาแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกนิดๆ
มือน้อยๆ ของนางเนียนนุ่ม นิ้วเรียวเสลา สีสันของเล็บเป็นธรรมชาติ แต่ส่องประกายเงางาม เจือสีชมพูอ่อนไว้ งดงามกว่าน้ำมันเคลือบเล็บใดๆ ซ้ำยังเนียนนุ่มยิ่งกว่ากลีบบุปผาด้วย
สายตาของเขาร่อนลงบนหน้าของนางอีกครั้ง ดวงหน้านั้นนวลเนียนดั่งเกสรดอกท้อใต้ละอองพิรุณ มุมปากที่เม้มเข้านิดๆ นั้นอ่อนนิ่มชมพูระเรื่อ ได้รูปงดงาม…
กู้ซีจิ่วไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของเขาเลย
เธอค้นพบเรื่องที่น่าเศร้าว่า เธอทวงกำไลวงนี้กลับคืนมาไม่ได้แล้ว!
ช่างเถอะ!
วันหน้าเธอค่อยหาทางถอดกำไลวงนี้ที่อยู่บนข้อมือของเธอออกเสียก็พอ!
เธอไม่เชื่อหรอกว่าเทพผู้สร้างโลกที่สูงส่งแบบเธอจะจนตรอกเพราะกำไลผุพังวงหนึ่ง!
เธอปล่อยมือของตี้ฝูอีแล้ว “ช่างเถิด กำไลวงนี้ถือว่าข้ากำนัลให้ก็แล้วกัน!”
ในใจเธอหงุดหงิดอยู่บ้าง มิใช่ว่าเธอเสียดายสมบัติของตน แต่เป็นเพราะแลกเอาสิ่งที่ต้องการมาไม่ได้ เธอไม่อยากใช้ชีวิตที่อยู่ในสภาพเช่นนี้…
เธอมองเขาแวบหนึ่ง เริ่มใคร่ควรว่าจะลงมือปล้นดีหรือไม่
“พระองค์เจ้าต้องการดื่มสุราหรือไม่?” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ล้วงน้ำเต้าสุราลูกหนึ่งออกมา เปิดจุกน้ำเต้าออก กลิ่นสุราชั้นเลิศฟุ้งออกมา กระจายอยู่ในอากาศ
ปกติแล้วกู้ซีจิ่วชอบสุราเป็นที่สุด และประเมินสุราเป็นด้วย ยามนี้ดมแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสุราชั้นเลิศ
เธอละวางความกลัดกลุ้มเอาไว้ชั่วคราว หยิบจอกสุราใบหนึ่งออกมา “เอา!”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ รินสุราให้เธอจอกหนึ่ง ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะยกขึ้นมา ก็ถูกเขากดข้อมือไว้ “ประเดี๋ยวค่อยกินพร้อมกับไข่มังกรประทีป”
ฝ่ามือเขาร้อนผ่าวนิดๆ กู้ซีจิ่วชักมือออก มองเตาใบนั้น “เจ้าเตรียมจะแบ่งไข่ฟองนี้ให้ข้าด้วยหรือ?”
“อืม เป็นการตอบแทนที่ท่านกำนัลกำไลให้แก่ข้า ชีวิตของข้าคนนี้ไม่ชมชอบติดค้างผู้ใด”
“ข้าไม่ต้องการไข่ ต้องการเพียงยาลูกกลอนนั้น หากเจ้าอยากตอบแทนไม่สู้ตอบแทนด้วยโอสถวิญญาณ…”
“โอสถวิญญาณจะต้องใช้กำไลหนึ่งคู่ของท่านมาแลก นี่คือคำสัตย์ที่พระองค์เจ้าเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้ เสี่ยวเซียนมิกล้าทำให้พระองค์เจ้าเสียคำพูด”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย
ตี้ฝูอีพูดไปด้วย เปิดฝาหม้อออกไปด้วย กลิ่นหอมน่าอัศจรรย์ปะทะเข้าหาจมูก!
เขาช้อนไข่ออกมาจากในหม้อ จากนั้นก็ใช้มีดผ่าออกเป็นสี่เสี้ยว ดันเสี้ยวหนึ่งมาไว้ตรงหน้าเธอ “มาเถอะ ลองชิมดู”
กู้ซีจิ่วโกรธไม่ลงเลย ถึงแม้คนผู้นี้จะพูดจากระทำการเล่นแง่ไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่เขาพูดไร้ซึ่งเหตุผล
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะพะวงกับเรื่องนี้ต่อไปแล้ว เธอมองไข่เสี้ยวนั้น ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่าต่อให้เป็นไข่ของมังกรประทีปก็ยังแบ่งเป็นไข่แดงไข่ขาวเช่นกัน เพียงแต่ไข่แดงเป็นสีแดงเข้ม ส่วนไข่ขาวก็เป็นสีฟ้าอ่อน ยังคงงามน่าพิศอยู่
เธอชิมดูคำหนึ่ง รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ถึงแม้จะเป็นเพียงไข่ต้มน้ำเปล่า แต่ในไข่ก็แฝงกลิ่นอ่อนจางของผลไม้ประการหนึ่งเอาไว้ มีรสชาติพิเศษ
ระหว่างที่กินไข่ เธอก็ดื่มสุรานั้นด้วย
ต้องพูดเลยว่า พอกินคู่กับสุราชนิดแล้ว รสชาติยิ่งอร่อยขึ้นกว่าเดิม ทำให้คนกินคำแรกแล้วก็อยากจะกินคำที่สองต่อ
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เธอก็กินไข่สี่ส่วนนั้นเข้าไปจนหมดแล้ว! และดื่มสุราเข้าไปถึงหกจอกเต็ม!
————————————————————————————-
บทที่ 2826 ล่อลวงศิษย์ 3
ตี้ฝูอีก็กินไข่เป็นเพื่อนนางด้วยเสี้ยวหนึ่ง ดื่มสุราเข้าไปสามจอก
มองเห็นนางยังคงรินสุราให้ตัวเองอยู่ เขาพลันโบกแขนเสื้อ เก็บน้ำเต้าสุราลูกนั้นมา “สุรานี้ไม่อาจดื่มมากได้”
กู้ซีจิ่วยังไม่หนำใจ “ข้าคอแข็งมาก ต่อให้ดื่มหลายสิบจอกก็ไม่มีทางเมา! ในเมื่อจะดื่มพวกเราก็ต้องดื่มกันให้ถึงใจหน่อย! เหยาะแหยะเช่นนี้ ไม่สมเป็นชายชาตรีเลย!”
ตี้ฝูอีมองพวงแก้มที่แดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราของนาง เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ท่านยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่อนุญาตให้ดื่มหนักเช่นนี้”
กู้ซีจิ่วดึงมือเขายื้อแย่งน้ำเต้าสุรา “เปิ่นจุนบอกแล้ว แค่หน้าเด็กเท่านั้น…”
เธอค่อนข้างมึนหัวอยู่บ้าง ฝีเท้าซวนเซเล็กน้อย ยืนไม่มั่น แย่งน้ำเต้าสุรามาไม่ได้ ล้มโผเข้าใส่อ้อมแขนของเขา
พฤติกรรมของเธอในตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเมามายแล้ว ในลมหายใจล้วนเคล้ากลิ่นสุราเอาไว้จางๆ
ตี้ฝูอีพยุงนางขึ้นมา “ท่านเมาแล้ว!”
เขานึกเสียใจอยู่บ้างที่ปล่อยให้นางดื่มมากขนาดนี้ เขาหลงนึกว่านางมีร่างเทวา ดื่มสุราหกจอกเช่นนี้ร้อยวันก็คงไม่เป็นไร เขาประเมินด้านนี้ของนางสูงเกินไปแล้ว…
“เปิ่นจุนมิได้เมา!” กู้ซีจิ่วสีหน้าเคร่งขรึม พยายามนั่งให้สง่างามอย่างสุดกำลัง มองเขาอย่างน่าเกรงขามยิ่ง
หากมิใช่เพราะเธอมีใบหน้าอ่อนใสเยาว์วัยเช่นนี้ ท่าทางนี้ของนางคงมีอำนาจยิ่ง แต่ว่า…
ใบหน้านี้ขายนางเสียแล้ว ยามที่วางท่าเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเกรงขามสักเท่าไหร่เลย กลับรู้สึกว่าน่าเอ็นดูยิ่งนักขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ตี้ฝูอีสะกดกลั้นรอยยิ้ม “อืม ท่านไม่ได้เมา”
กู้ซีจิ่วส่ายโงนเงน เอ่ยอย่างภูมิใจยิ่ง “ใช่น่ะสิ ตัวข้าพันจอกไม่เมามาย สุรานี้ของเจ้าเป็นเพียงฝอยพิรุณเท่านั้น เจ้าอย่าหมายจะหลอกข้าได้!”
“อืม ข้าไม่กล้าหลอกท่านหรอก”
ตี้ฝูอีตอบรับอย่างขอไปที ป้อนยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งใส่ปากนาง
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่โอสถวิญญาณชนิดนั้น”
“แน่นอนว่ามันไมใช่ มันคือลูกกลอนสร่างเมา”
“ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่ได้เมา! ไม่จำเป็นต้องกินลูกกลอนสร่างเมา!”
“เด็กดี กินมันเถอะ เดี๋ยวพอเจ้าสร่างเมาแล้ว ข้าจะมอบโอสถวิญญาณที่เจ้าคะนึงหาเม็ดนั้นให้นะ”
ถึงแม้สภาพตอนนางเมาสุราจะพบเห็นได้ยากนัก น่ามองอย่างยิ่งแต่ตี้ฝูอียังคงตัดสินใจว่าจะทำให้นางสร่างเมา เนื่องจากเช่นนั้นนางถึงจะตั้งต้นฝึกฝนได้ จะได้ไม่ผิดต่อไข่มังกรประทีปที่เขาดั้นด้นฟันฝ่าไปหามาอย่างยากลำบาก…
หนนี้กู้ซีจิ่วกลับฟังคำ กลืนยาลูกกลอนเม็ดนั้นลงไป…
ตี้ฝูอีถามอย่างคล้ายจะมีเจตนาและคล้ายจะมิได้เจตนาว่า “พระองค์เจ้ามีชื่อเรียกหรือไม่?”
ชื่อเรียกหรือ?
สมองกู้ซีจิ่วยุ่งเหยิง นึกไม่ออกชั่วขณะ แต่เธอก็ไม่อยากปล่อยไก่ จึงร้องเฮอะคราหนึ่ง “เปิ่นจุนหาได้ต้องการชื่อแซ่ไม่…” เธอดึงแขนเสื้อของเขา พยายามจะเอาน้ำเต้าสุรามาอีกครั้ง “ยังมีสุราอยู่หรือไม่? จะดื่มอีก…”
ชมชอบดื่มสุราถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ตี้ฝูอีมองดูนาง “หากเรียกท่านว่าพระองค์เจ้าตลอด ออกจะห่างเหินเกินไปหน่อย มิสู้ให้เสี่ยวเซียนตั้งนามแก่พระองค์เจ้าสักชื่อเล่า เรียกว่าสีจิ่ว (ชอบสุรา) เป็นอย่างไร?”
“ดี...นามดี ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ด้านการตั้งชื่อด้วย” กู้ซีจิ่วดึงสาบเสื้อของเขาทันที “มิสู้เจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้าเอาไหม?! เป็น…เป็นศิษย์ของเปิ่นจุนแล้ว ก็สามารถตั้งนามให้อาจารย์ได้แล้ว…”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย ทำไมเขารู้สึกว่าเช่นนี้มันสลับบทบาทกันนะ?
สมควรต้องเป็นอาจารย์ที่สามารถตั้งนามให้ศิษย์ได้มิใช่หรือ?
เขามองดวงหน้าน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มทว่าเคร่งขรึมของนาง ตอบกลับอย่างหยอกเล่นว่า “ได้สิ หากว่าท่านยอมให้เรียกนามนี้จริงๆ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นศิษย์ท่าน”
จิตใต้สำนึกของกู้ซีจิ่วชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งนักเสมอมา มีความคิดจะรับเขาเป็นศิษย์
เพียงแต่รู้สึกว่าเขาลึกล้ำเจ้าแผนการทำให้เธอไม่ชอบอยู่บ้าง เรื่องคิดจะรับเป็นศิษย์จึงมีความลังเลอยู่บ้าง อีกอย่างตี้ฝูอีผู้นี้ก็เย่อหยิ่งนัก ต่อให้เธอพูดออกมา ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเห็นด้วย
วรยุทธ์ของคนผู้นี้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ต่อให้ไม่กราบอาจารย์ ความสำเร็จในภายหน้าก็ยังคงไร้ขีดจำกัดอยู่ดี
….
————————————————————————————-