บทที่ 2829 ล่อลวงศิษย์ 6
นางช่างไม่ถ่อมตัวสักนิดเลย!
เดิมทีตี้ฝูอีนึกว่านางจะสร่างเมาบ้างแล้ว แต่ดูจากท่าทางของนางในยามนี้เห็นได้ชัดว่ายังคงเมามายอยู่…
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลอกล่อคนเมาผู้หนึ่งไม่สำเร็จ!
ตี้ฝูอีรู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งนัก!
เขามองนางที่งามแฉล้มปานบุปผา พลันนึกถึงฟั่นเชียนซื่อขึ้นมา เขาเคยเห็นปฏิสัมพันธ์ของศิษย์กับอาจารย์คู่นี้ที่ภพมารด้วยตาตนเองมาแล้ว ฟั่นเชียนซื่อมองนางด้วยสายตาที่ลุ่มหลงคลั่งไคล้ยิ่ง…
ในใจของตี้ฝูอีอึดอัดยิ่งกว่าเดิม จึงใช้แขนโอบเอวบางของนางไว้เสียเลย “เด็กน้อย ที่แท้เจ้าก็ชอบแบบนี้ เจ้ารับข้าเป็นศิษย์เพราะคิดจะให้ข้าเป็นเช่นเดียวกับฟั่นเชียนซื่อ ลุ่มหลงคลั่งไคล้เจ้า…”
วาจานี้ลามปามยิ่งนัก!
ตอนนี้สมองของกู้ซีจิ่วประมวลผลช้าอยู่บ้าง ดวงตาคู่โตที่มองดูเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “หือ?”
เธอขยับคราหนึ่ง ทว่าเท้าซ้ายกลับสะดุดเท้าขวาเข้า ร่างกายพลันพุ่งไปด้านหน้า ริมฝีปากที่ราวกับกลีบบุปผาทาบทับลงบนกลีบปากของเขาพอดี…
การสะดุดหนนี้ของเธอสะดุดอย่างรุนแรงอยู่บ้าง ดังนั้นริมฝีปากของทั้งสองคนจึงกระแทกเข้าหากันอย่างจริงจังยิ่ง…
ถึงขั้นที่ตี้ฝูอีได้รสคาวโลหิตเล็กน้อย
เขาตะลึงงัน กำลังจะผลักนางออก ทว่านางกลับเคลื่อนย้ายถอยหลังไปทันที ถอยห่างออกไปไกลถึงสามจั้ง!
ตี้ฝูอีนิ่งค้าง
ระดับความเร็วนี้ของนางจะว่องไวเกินไปหน่อยแล้ว!
เขาเงยหน้ามองนางขณะที่กำลังจะหยอกเย้าสักสองสามประโยค กลับได้เห็นนางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าถูปากอยู่…
ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีครึ้มลงเล็กน้อยแล้ว
ยังไม่เคยมีสตรีนางไหนเข้าใกล้เขาได้ขนาดนี้ เอาเปรียบเขาได้เช่นนี้มาก่อนเลย!
เอาเปรียบเขาก็แล้วไปเถิด ไม่นึกเลยว่านางจะยังรังเกียจกันอีก…
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าหัวใจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหมุดเพชรของตนได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง…
ด้วยความฉุนเฉียวเขาจึงเอ่ยโพล่งออกไปประโยคหนึ่ง “พระองค์เจ้าปฏิบัติต่อศิษย์เช่นนี้ตลอดเลยหรือ? ทำเหมือนปฏิเสธแต่กลับเชิญชวน…”
วาจาท่อนหลังเขาไม่ได้เอ่ยออกไปอีก เนื่องจากกู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขาแล้ว กำลังจ้องเขาอยู่
นัยน์ตาคู่นั้นใสกระจ่าง ไหนเลยจะยังมีความเมามายอยู่อีก?
นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเฉื่อยชา เชิดคางขึ้นนิดๆ ดุจราวกับจิ้งจอกน้อยที่หยิ่งผยองตัวหนึ่ง “ตี้ฝูอี ในเมื่อยอมรับเปิ่นจุนเป็นอาจารย์แล้ว เช่นนั้นก็ตั้งใจเสียเถิด เป็นเด็กดีเชื่อฟังคำอาจารย์ อย่าได้คิดเป็นอื่นอีกเลย”
ตี้ฝูอีมองนางอย่างนิ่งเฉย รู้สึกได้รางๆ ว่าตนคล้ายจะตกหลุมพรางอันใดของนางเข้าให้แล้ว…
“ความเมามายของท่านคือการเสแสร้งสินะ?”
กู้ซีจิ่วเพียงยิ้มอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่งไม่เอ่ยวาจา
ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนหน้านี้เธอเมาจริงๆ เพียงแต่ร่างกายของเธอมีความพิเศษ เมาเร็วสร่างเร็ว
ผู้อื่นอาจเมามายอยู่ครึ่งวัน แต่เธอเมามายเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น…
ประกอบกับลูกกลอนสร่างเมาของตี้ฝูอียังคงมีประสิทธิภาพนัก ทำให้ไม่ถึงครึ่งเค่อเธอก็สร่างเมาแล้ว…
เธอก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเมาจนได้ลูกศิษย์มาคนหนึ่ง อืม น่ายินดีนัก!
เธอยื่นมือไปหาเขา “ศิษย์คนดี มอบโอสถวิญญาณนั้นของเจ้าให้อาจารย์สักเม็ดสิ”
น้ำเสียงของเธอดุจวารีไหลเอื่อยริน หลังจากที่ตี้ฝูอีทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ก็ราวกับถูกสะกดจิต หยิบโอสถวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ ส่งมอบให้จริงๆ
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ได้ยามาแล้ว!
“ท่านทำอะไรกับข้า?” ตี้ฝูอีถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เป็นอาคมที่ทำให้เจ้าเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์ เจ้าก็เห็นแล้วนี่ มันได้ผลยิ่งนัก”
ตี้ฝูอียกมือลูบริมฝีปากที่ยังคงร้อนผะผ่าวอยู่บ้าง “การล้มก่อนหน้านั้นของท่านอันที่จริงแล้วเป็นการลงอาคมข้าสินะ?”
“ใช่!”
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว เพียงแต่รอยยิ้มแฝงความเยียบเย็นเอาไว้ “ข้าทำเพื่อท่านมากมายขนาดนี้ ท่านกลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้หรือ?”
กู้ซีจิ่วผงะไป เธอใช้แผนซ้อนแผนเพราะว่าจนปัญญาแล้วจริงๆ…
เดิมทีเธอไม่ได้คิดจะลงอาคมเขา แต่พอเขาบอกว่าประทุษร้ายอาจารย์เอย ฆ่าคนที่จะรับเลี้ยงเอย ช่างทำให้คนรู้สึกไม่วางใจเลยจริงๆ…
โชคดีที่อาคมนี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย วันหน้าเธอก็คงไม่ใช้ออกมาง่ายๆ เช่นกัน เว้นแต่เขาจะลงมือกับเธออย่างรุนแรง…
….
————————————————————————————-
บทที่ 2830 ข้ากระทำการใดล้วนคร้านจะแจกแจง
เธอยัดยาใส่ปาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกว่าโอสถในหนนี้ค่อนข้างขมขื่นฝาดเฝื่อนอยู่บ้าง
แต่โอสถเป็นโอสถชนิดนั้นจริงๆ ข้อนี้กู้ซีจิ่วยังคงจดจำได้
หรือว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายของตนไม่เหมือนเดิม?
เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าระยะนี้รสนิยมของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้าง…
พอเงยหน้าขึ้น เห็นตี้ฝูอีนั่งเฉื่อยชาอยู่ตรงกันข้าม กำลังมองเธออย่างเฉยเมยอยู่ สายตาเยียบเย็นอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้…
“พระองค์เจ้า เรื่องที่ภพปีศาจ ถึงแม้ข้าจะให้ประโยชน์จากท่านไปบ้างเช่นกัน แต่ก็ช่วยเหลือสาวใช้ของท่านไว้จริงๆ ข้อนี้ท่านยอมรับหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง ตอบรับอย่างซื่อตรงยิ่ง “ยอมรับ ดังนั้นข้าจึงไม่ถือโทษเจ้า”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เอ่ยต่อไปว่า “แต่ข้ายังคงรู้สึกว่าติดค้างพระองค์เจ้าอยู่บ้าง ดังนั้นถึงได้ดั้นด้นดำดิ่งลงสู่ส่วนลึกของสมุทรโลกาอย่างยากลำบาก เสี่ยงตายขโมยไข่มังกรประทีปฟองนี้ออกมา เพียงเพื่อจะบำรุงร่างกายของพระองค์เจ้า ข้ายังไม่ทันได้อธิบายสรรพคุณของไข่มังกรประทีปให้ท่านฟังเลย ทั้งร่างของมังกรประทีปล้วนล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเกล็ดหรือว่ากระดูกเลือดเนื้อล้วนบำรุงเลือดลมได้มหาศาล หล่อเลี้ยงกระดูกเส้นเอ็นของผู้คนอย่างสมบูรณ์ แต่มังกรประทีปเป็นกายหยาง ทว่าพระองค์เจ้ากลับมีกายหยินสุดขีด หากใช้กระดูกเลือดเนื้อของมังกรประทีป ไม่เพียงแต่จะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของพระองค์เจ้าเท่านั้น อาจจะส่งผลเสียด้วย ดังนั้นข้าถึงเลือกใช้ไข่มังกรประทีปแทน ไข่ยังไม่แบ่งแยกหยินหยาง เหมาะจะบำรุงหล่อเลี้ยงพระองค์เจ้า…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง ที่แท้เขาก็ขโมยไข่มังกรประทีปมาให้เธอโดยเฉพาะหรือ?!
เพียงแต่เธอยังคงไม่เชื่อถืออยู่มากนัก “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าออกมาแล้วจะได้พบกับเปิ่นจุน?”
ตี้ฝูอีหยักมุมปากนิดๆ “เดิมทีข้าวางแผนไว้ว่าหลังจากหนีรอดจากสมุทรโลกาได้สำเร็จ จะไปที่หุบเขาเสียงสวรรค์ หาทางดึงดูดท่านมาที่แดนน้ำแข็งแห่งนี้ แล้วใช้ไข่ใบนี้ตอบแทนท่าน”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกอยู่บ้าง “…ทำไมต้องกินไข่ใบนี้ที่นี่เท่านั้น?”
“เพราะว่าต้องอยู่ท่ามกลางกลุ่มพลังวิญญาณของที่นี่เท่านั้น ถึงจะทำให้ไข่ใบนี้แสดงผลออกมาได้แข็งแกร่งที่สุด”
กู้ซีจิ่วพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ…
ที่แท้เธอเข้าใจเขาผิดไป…
“ทำไมเจ้าไม่บอกแต่แรก?” หากรู้เช่นนี้แต่แรก เธอก็คงไม่ลงอาคมควบคุมเขา
“ข้ากระทำการล้วนคร้านจะแจกแจง! เพียงต้องการทำให้ดีที่สุดเท่านั้น ให้ค่าต่อมโนธรรมของตนก็พอแล้ว ไม่ต้องการจะร้องขอความชอบต่อหน้าผู้คน!”
นี่คล้ายจะเป็นนิสัยของเขาจริงๆ…
ในใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างสำนึกเสียใจแล้ว “ความหมายของเจ้าคือ หลังจากข้ากินไข่มังกรประทีปใบนี้เข้าไปก็จะสามารถเข้าไปฝึกฝนในกลุ่มพลังวิญญาณได้? ไม่ต้องใช้โอสถนี้จากเจ้าแล้วใช่ไหม?”
“แน่นอน! โอสถนั้นมีประโยชน์ต่อคนที่เข้าไปฝึกฝนในกลุ่มพลังวิญญาณเป็นครั้งแรกเท่านั้น ท่านเข้ามาเป็นครั้งที่สองแล้ว โอสถไม่มีประโยชน์แล้ว! มิเช่นนั้นเหตุใดข้าต้องเสี่ยงชีวิตไปชิงไข่มังกรประทีปด้วยเล่า?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!
พอนึกถึงโอสถวิญญาณที่ตัวเองเพิ่งกินเข้าไป มิน่าเล่าถึงรู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไป ที่แท้ก็ไม่มีผลแล้วนี่เอง
หากว่าเขาพูดให้กระจ่างตั้งแต่แรก เธอก็คงไม่ใช้แผนการแบบนี้หรอก…
ตอนนี้…นึกเสียใจก็สายไปแล้ว!
ดวงตาของตี้ฝูอีจับจ้องนาง “พระองค์เจ้า ยามนี้ข้าได้อธิบายไปกระจ่างแล้ว พระองค์เจ้าจะถอนโองการรับศิษย์คืนไปได้หรือยัง?”
ยากนักที่เขาจะยอมอธิบายต่อผู้อื่นอย่างกระจ่างแจ้งเช่นนี้ หัวใจของกู้ซีจิ่วหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เธอสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ส่ายหน้าให้ “ไม่ได้!”
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ดวงตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ “ยังไม่ได้อีกหรือ?! นี่พระองค์เจ้าไม่เชื่อข้าหรือไง?”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า แต่ตอนที่เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์เจตจำนงสวรรค์ได้เป็นพยานแล้ว เช่นนี้…หากว่ากลับคำ พวกเราจะได้รับทัณฑ์สวรรค์กันทั้งคู่…”
ตี้ฝูอีหรี่ตาลง “ทัณฑ์สวรรค์? ทัณฑ์สวรรค์อันใด?”
“ทัณฑ์อัสนีสวรรค์เก้าสายผ่าเศียร!”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ สุ้มเสียงเด็ดเดี่ยว “ทัณฑ์อัสนีสวรรค์เก้าสายเท่านั้น! เสี่ยวเซียนทนรับไหวอยู่แล้ว! หาได้กริ่งเกรงทัณฑ์สวรรค์นี้ไม่!”
เดิมทีนี้ก็เป็นพันธะที่เกิดขึ้นจากการกล่าวล้อเล่นอยู่แล้ว จะคลี่คลายยังต้องเผชิญทัณฑ์สวรรค์อีกหรือ? นี่คือนางหลอกลวงเขาหรือเห็นว่าเขาเป็นคนโง่งมกันแน่?
————————————————————————————-