หลิงหยุนสามารถสัมผัสได้ถึงความรักที่เย่ชิงซินมีให้แก่ตนแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวก็ตามมันคือความรักที่ผู้ใหญ่มีให้กับเด็กคนหนึ่ง แม้ว่าทั้งคู่จะเพิ่งเคยพบเจอกันครั้งแรก แต่ก็สามารถถามตอบกันได้อย่างเปิดเผย..
แม้ว่าเย่ชิงซินจะจงใจปกปิดบางเรื่องและไม่ยอมเอ่ยออกมา แต่หลิงหยุนก็พอจะคาดเดาได้ว่า ที่นางปกปิดไม่ยอมบอกแก่ตนนั้น ก็เป็นเพราะความห่วงใยเกรงว่าเขาจะยังแข็งแกร่งไม่พอ และจะเกิดอันตรายได้ เขาจึงไม่คะยั้นคะยอที่จะเอาคำตอบอีก
แม้ว่านี่จะเป็นการพบกันครั้งแรกของหลิงหยุนแต่สำหรับเย่ชิงซินนั้น นี่นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่นางได้พบกับเขา
“หลิงหยุนเจ้าก้าวหน้าได้รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ภายในเวลาเพียงแค่ยี่สิบกว่าวัน แต่เจ้ากลับสามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้ แม้แต่ข้าเองยังตกใจไม่น้อย!”
เย่ชิงซินยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุยทันที..
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปเพราะเมื่อยี่สิบกว่าวันก่อน เขาเพิ่งจะผ่านการประลองกับยอดฝีมือตระกูลซันและตระกูลเฉินไป
“เอ่อ…”
“น้าหญิงเย่ในคืนที่ข้าประลองกับตระกูลซันและตระกูลเฉินนั้น ผู้ที่ไปแอบดูการประลองก็คือท่านเองหรอกรึ”
เย่ชิงซินยิ้มกว้างและตอบกลับไปว่า “ไม่ได้มีเพียงข้าเท่านั้น แต่ยังมีหลงฮ่าวหลานผู้นำตระกูลหลงอีกด้วย!”
“…”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปในขณะที่เย่ชิงซินยังคงพูดต่อ..
“การประลองในคืนนั้นนับว่าน่าสนใจและเยี่ยมยอดนัก!ข้ากับหลงฮ่าวหลานเฝ้าดูการประลองครั้งนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเราเหาะอยู่เหนือพื้นดินราวสามพันเมตรได้..”
“น้าหญิงเย่ไม่ทราบว่าหลงฮ่าวหลานอยู่ในขั้นใดแล้วงั้นรึ” หลิงหยุนไม่ลืมที่จะถามคำถามสำคัญยิ่งกับเย่ชิงซิน
“หากดูผิวเผินอาจคิดว่าเขาอยู่ในระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) แต่นั่นเป็นเพราะเขาจงใจยับยั้งขั้นของตนเองไว้มานานหลายปี ข้าเชื่อว่าหากเขาตัดสินใจไม่ยับยั้งขั้นของตนเองอีก เขาจะแข็งแกร่งและเหนือกว่าหลงฮ่าวเฉียนมากทีเดียว!”
“หลงฮ่าวหลานจัดเป็นบุคคลที่ผู้ใดก็ยากจะหยั่งรู้จิตใจของเขาได้พรสวรรค์ของเขานั้นเหนือกว่าหลงฮ่าวเฉียนมากนัก อีกอย่าง คนตระกูลหลงก็รักใคร่กลมเกลียวกันไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหลิงของเจ้าเลย..”
หลิงหยุนได้ฟังเช่นนั้นก็ได้แต่เอ่ยถามเย่ชิงซินยิ้มๆ“ตระกูลเย่เองก็ไม่ต่างกันไม่ใช่รึ”
เย่ชิงซินหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบหลิงหยุนกลับไปว่า “ตระกูลใหญ่แทบทุกตระกูลในปักกิ่ง สมาชิกภายในตระกูลล้วนแล้วแต่ต้องรักใคร่กลมเกลียวกันทั้งสิ้น หากมัวแต่ทะเลาะกันเองภายใน จะสู้ศึกภายนอกได้อย่างไรกันเล่า”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยดูอย่างหลิงเจิ้นเป็นต้น เพียงแค่ต้องการได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิง ถึงกับยอมหักหลังคนภายในตระกูล ชักศึกเข้าบ้านจนทำให้ตระกูลหลิงเกือบล่มสลายไปจริงๆ
“แต่ไม่ว่าหลงฮ่าวหลานจะฉลาดเจ้าเล่ห์เพียงใดสุดท้ายก็ต้องตกอยู่ภายใต้กฏธรรมชาติอยู่ดี เขามีส่วนทำให้ตระกูลหลิงของเจ้าต้องพินาศ แต่ตอนนี้เจ้ากลับนำพาตระกูลหลิงกลับขึ้นมาผงาดได้อีกครั้ง มิหนำซ้ำยังจะสามารถแข็งแกร่งได้มากกว่านี้อีกด้วย เพราะจากที่เห็นความก้าวหน้าของเจ้าทุกวันนี้ ข้าเชื่อว่าตระกูลหลงต้องมีชะตากรรมที่ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นนับเป็นการแก้แค้นตระกูลหลงไปในตัวด้วย..”
หลิงหยุนยกมือเกาศรีษะด้วยความเก้อเขินเมื่อได้ยินเย่ชิซินเอ่ยชมซึ่งหน้า“น้าหญิงเย่ ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว!”
เย่ชิงซินเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปว่า“หลิงหยุน เมื่อครู่ข้าเห็นว่าเจ้าสามารถดูดซับเอาปราณมังกรของหลงเทียนฟางเข้าไปในร่างได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอีกด้วย และที่เจ้าฟันหลงเทียนฟางจนมีบาดแผลทั่วทั้งตัวแต่ไม่ยอมฆ่าเขานั้น ก็เพราะเจ้าแอบเก็บโลหิตของเขาไม่ใช่รึ หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย..”
“ข้าว่าในวันข้างหน้าเจ้ากับตระกูลหลงจะต้องมีการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเกิดขึ้นแน่ ถึงตอนนั้นเย่ชิงเฟิงก็คงจะเลือกที่จะนิ่งเฉยอีกอยู่ดี เจ้าควรวางแผนรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ขอบคุณน้าหญิงเย่ที่เตือนข้าเรื่องนี้ ข้าจะจำใส่ใจไว้!”
เย่ชิงซินพยักหน้าพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุน“ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำคำพูดของข้าไว้ให้ดี ตระกูลหลงหาใช่มีเพียงแค่หลงฮ่าวหลาน หลงฮ่าวเฉียน หลงเทียนซิน และหลงเทียนฟางเท่านั้น ภายในตระกูลหลงยังมีบรรดาผู้เฒ่าที่วางมือไปนานแล้ว และพวกเขาก็น่ากลัวอย่างมากทีเดียว เจ้าควรต้องระมัดระวังตัวไว้ให้ดี..”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า..
เขาเองก็กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนั่นเพราะในบรรดาสามตระกูลใหญ่นั้น มีเพียงตระกูลหลงตระกูลเดียวเท่านั้น ที่ส่งยอดฝีมือไปเผิงไล๋เมื่อสี่สิบปีก่อน และหลังจากนั้นก็ไม่เคยพบกับความสูญเสียอีกเลย เวลาผ่านมาเนิ่นนานจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าภายในตระกูลหลงจะน่ากลัวสักเพียงใด หลิงหยนุเองก็ไม่กล้าที่จะประมาทเช่นกัน..
“หลิงหยุนเจ้าตามข้ามาทางนี้!”
และจู่ๆเย่ชิงซินก็กระโดดนำหน้าไป ส่วนหลิงหยุนก็รีบกระโดดตามไปทันที
ตอนนี้ก็ได้เข้าสู่เวลาตีสี่ของเช้าวันใหม่แล้วเมฆดำทะมึนที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนทะเลสาบผอหยางก็ได้หายไปแล้ว เวลานี้ดวงจันทร์และดวงดาวต่างก็ค่อยๆลับท้องฟ้าไป ตะวันก็ยังไม่ขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ฟ้ามืดที่สุดก่อนจะถึงคราที่แสงแรกจะสาดส่อง
เย่ชิงซินเหาะนำหลิงหยุนไปหยุดอยู่ที่ด้านบนสุดของทะเลสาบผอหยางซึ่งเป็นบริเวณสามเหลี่ยมปีศาจ และเป็นตำแหน่งที่หลงเทียนฟางกระโดดหายลงไปนั่นเอง
ดวงตาเป็นประกายของเย่ชิงซินนั้นจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำเบื้องล่างครู่หนึ่งในที่สุดก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“เหตุใดเจ้าจึงไม่กระโดดตามหลงเทียนฟางไป”
เย่ชิงซินหาใช่เย่เทียนสุ่ยหลิงหยุนจึงรีบตอบกลับไปตามความจริง “มังกรสีแดงที่ข้าขี่มานั้น เป็นผู้บอกกับข้าเองว่าเบื้องล่างของผืนน้ำบริเวณนี้อันตรายยิ่งนัก แม้แต่ตัวมันเองยังไม่กล้าลงไป ข้าจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะไล่ล่าหลงเทียนฟาง..”
“เจ้าทำถูกต้องแล้ว!”เย่ชิงซิงร้องบอกด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วจึงพูดต่อทันที “ภายใต้ผืนน้ำเบื้องล่างนี้มีอันตรายอย่างยิ่งยวดจริงๆด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเวลานี้ หากลงไปแล้วเกิดอะไรขึ้น เห็นที่คงยากที่จะได้กลับขึ้นมาอีกครั้งเป็นแน่!”
หลิงหยุนได้ฟังเช่นนั้นจึงได้แต่เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย“เช่นนี้แล้วไม่เท่ากับหลงเทียนฟางลงไปรนหาที่ตายหรอกรึ”
เย่ชิงซินส่ายหน้า“ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะข้าเองก็ได้ยินมาว่า จุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของหลงเทียนฟางนั้นมีดวงจิตของมังกรอาศัยอยู่ หากเกิดอันตรายถึงชีวิตจริงๆ แน่นอนว่าดวงจิตมังกรย่อมต้องออกมาปกป้องเจ้านายของมัน!”
หลิงหยุนเผอิญได้ล่วงรู้ความลับของหลงเทียนฟางอย่างไม่ตั้งใจเช่นนี้จึงได้แต่แอบหัวเราะและคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วเขาก็ย่อมสามารถลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างได้เช่นกัน เพราะเมื่อใดที่เขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ก็จะมีหลายสิ่งหลายอย่างออกมาปกป้องเขาไว้เช่นกัน! “เจ้าเด็กเทียนสุ่ยจงใจหลอกเจ้าให้กระโดดลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่างนี้แต่เจ้ากลับปฏิเสธและจับเขาโยนลงไปแทน แสดงว่าเจ้าย่อมรู้ว่าด้านล่างนั้นมีความผิดปกติอยู่”
“ผืนน้ำบริเวณสามเหลี่ยมปีศาจนี้ผู้คนแถวนี้มักจะเรียกขานกันว่า ผืนน้ำวัดเหล่าเอี๋ย..”
เย่ชิงซินหยุดนิ่งเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบผอหยางซึ่งมีอารามเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ อารามนี้ก่อสร้างด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดนัก เพราะสร้างเป็นลักษณะคล้ายภาพสามมิติสามด้าน ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็จะเห็นเป็นด้านหน้าของวัดเสมอง
“เจ้าเห็นอารามเก่าแก่รูปร่างแปลกประหลาดนั้นหรือไม่อารามแห่งนี้มีประวัติยาวนานนับพันปีเลยทีเดียว!”
“ผืนน้ำบริเวณนี้นักท่องเที่ยวต่างรู้จักกันในนามของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาประเทศจีนแต่คนในประเทศนี้จะเรียกกันว่าสามเหลี่ยมปีศาจ!”
“เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่เรือเล็กใหญ่หลายร้อยลำได้จมหายไปภายใต้ผืนน้ำแห่งนี้ แม้กระทั่งเรือสูงกว่าสี่สิบเมตรของชาวญี่ปุ่น ก็เคยจมหายไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน ลูกเรือสองร้อยกว่าชีวิตก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย..”
“เจ้าลองใคร่ครวญดูสิว่าน้ำบริเวณนั้นมีความลึกเพียงแค่ยี่สิบเมตร แต่กลับสามารถจมเรือสูงขนาดสี่สิบเมตรได้ เจ้าไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรืออย่างไร”
“และสิ่งที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องก็คือในคืนที่เรือต่างๆจมหายไปนั้น มันจะเป็นวันที่สภาพอากาศดีมาก ท้องทะเลสาบสงบราบเรียบไร้คลื่นลม หากเป็นกลางคืนก็มีแสงจันทร์และแสงดาวส่องสว่าง แต่เมื่อเรือลำนั้นแล่นมาถึงบริเวณนี้กลับจมลงดื้อๆ แต่ตรงกันข้าม ในวันที่สภาพภูมิอากาศเลวร้าย ฝนตกหนัก หรือลมแรง กลับไม่เคยมีเรืออับปางในบริเวณนี้เลย..” “และทุกครั้งที่มีเรืออับปางและจมลงในบริเวณนี้หน่วยกู้ภัยที่ดำลงไปสำรวจ ก็จะไม่เคยพบเจอซากเรือเลยแม้แต่ลำเดียว!”
“เอาล่ะ..นี่ก็ใกล้รุ่งสางแล้ว ยังมีเรื่องน่าประหลาดอีกสองเรื่องที่ข้าอยากจะเล่าให้เจ้าฟัง”
“เรื่องแรกคือเรื่องของภูเขาที่วัดเหล่าเอี๋ยเก่าแก่ตั้งอยู่ภูเขาลูกนั้นมีชื่อว่าชิงซานหรือเขาดวงดาว ว่ากันว่าเขาลูกนี้เกิดจากอุกกาบาตลูกใหญ่ที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเมื่อสองพันปีก่อน..”
“ส่วนเรื่องที่สองก็คือเรื่องที่เมื่อสี่สิบปีก่อนมีคนพบเห็นวัตถุเรืองแสงรูปร่างทรงกลมลอยอยู่เหนือท้องฟ้าทางด้านตะวันตกของทะเลสาบผอหยางนานกว่าสิบนาที..”
เรื่องแปลกประหลาดทั้งหมดที่เย่ชิงซินเล่าให้หลิงหยุนฟังนั้นเขาสามารถจดจำไว้ได้ทั้งหมด และตั้งใจไว้ว่าหากเขาเข้าสู่ขั้นที่แข็งแกร่งกว่านี้มาก จะต้องออกสำรวจค้นหาคำตอบของเรื่องราวเหล่านี้ให้จงได้ หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งเย่ชิงซินก็หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “หลิงหยุน เจ้าเคยได้ยินชื่อบ่อเมฆากับเขามรกตซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าอสูรบ้างหรือไม่”
หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“เวลานี้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางข้างกายเจ้ายังมีเพียงแค่สี่หางเท่านั้นความทรงจำในสายเลือดของนางจึงยังเปิดไม่เต็มที่ แต่เมื่อใดก็ตามที่นางงอกหางที่หก เขามรกตก็จะจำเป็นสำหรับนาง!”
“ที่ข้าเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังก็เพราะไม่ต้องการให้เจ้าทำอะไรที่ไม่ควรในประเทศนี้ ประเทศจีนของเรามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าห้าพันปี แต่กลับสามารถล่วงรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปได้เพียงแค่สองพันปีเท่านั้น..”
หลิงหยุนได้แต่นึกตกใจไม่น้อย..ห้าพันปี! ไม่แน่ว่ายุคที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้อาจจะเป็นยุคที่มีเซียนเหาะไปมาให้ขวักไขว่หรือมีมาร มีปีศาจวิ่งกันอยู่เต็มไปหมด!
แต่ถึงแม้ว่าคนอื่นๆอาจจะไม่สามารถล่วงรู้เรื่องราวเมื่อก่อนสองพันปีได้แต่หลิงหยุนย่อมต้องสามารถรู้ได้ เพราะเขามีทั้งพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์อยุ่กลางหว่างคิ้ว และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดินอยู่ในจุดตันเถียนของตนเอง
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองเย่ชิงซินพร้อมกับถามขึ้นด้วยความสงสัย“น้าหญิงเย่ จู่ๆท่านเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังมากมาย ท่านต้องการจะบอกอะไรข้ากันแน่”