เย่ชิงซินจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนท่าทีของเธอดูอึกอักลังเลอย่างชัดเจน แต่แล้วในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ช่างเถิด!ข้าไม่อยากถามเจ้าแล้ว!”
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกให้เจ้าได้รู้ไว้แซ่ของแม่เจ้านั้นหาใช่มีแค่คำว่า ‘หยิน’ เท่านั้น แต่แซ่ของนางเต็มๆนั้นคือ..”
“หยินชาง..”
ครั้งนี้หลิงหยุนตกใจมากกว่าครั้งใดๆเพราะหยินชางก็คือชื่อของราชวงศ์ชาง หรือเรียกอีกชื่อว่าราชวงศ์หยิน เป็นราชวงศ์ที่สองต่อจากราชวงศ์เซี่ย
“ไม่เพียงแค่นั้นนะ..ตระกูลหลิงของเจ้าเองก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว แต่ข้าเองก็รู้ไม่กระจ่างชัดนัก ข้าว่าเจ้าค่อยๆสืบเอาเองจะดีกว่า” หลิงหยุนรีบร้องถามขึ้นทันที“เกี่ยวข้องกับคุนหลุนหรือไม่”
เย่ชิงซินพยักหน้าแต่แล้วก็ส่ายหน้า“จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเกี่ยวข้องอย่างมากมายนัก..”
หลิงหยุนรู้เพียงแค่ว่าบรรพชนตระกูลหลิงนั้นมาจากวังมังกรเขาเคยคิดว่าดินแดนนี้เกี่ยวข้องกับคุนหลุน แต่เย่ชิงซินกลับบอกว่าไม่มากมายนัก
หากวังมังกรมิใช่คุนหลุนแล้วมันคือสถานที่แห่งใดกัน
เย่ชิงซินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับขมวดคิ้ว“ข้าสนทนากับเจ้าจนกระทั่งฟ้าสางเชียวรึ”
จากนั้นเย่ชิงซินก็เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าแสนไกลก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “เจ้ายังต้องพบเจอกับปัญหาอีกมากมายนัก!”
…..
ฟิ้ว.. เย่เทียนตูเหาะกลับมาหาคนทั้งคู่พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว“น้าหญิง ท่านต้องจัดการเทียนสุ่ยให้ข้า เวลานี้เขาคลุ้มคลั่งไปแล้ว!”
คงไม่อาจตำหนิเย่เทียนตูที่โมโหโทโสเช่นนั้นได้เพราะตั้งแต่ที่หลิงหยุนกับเย่ชิงซินเริ่มสนทนากันมาจนถึงตอนนี้ เย่เทียนสุ่ยก็เอาแต่เหาะไล่ล่าเขากลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้เป็นระยะทางมากกว่าร้อยกิโลเมตรแล้ว เวลานี้เย่เทียนตูโมโหจนแทบจะอยากจะประมือกับเย่เทียนสุ่ยจริงๆ
“เทียนตูเจ้าใช้กระบี่เหินไล่แทงข้าก่อน เหตุใดจึงไม่เล่าด้วยเล่า”
เย่เทียนสุ่ยที่เหาะตามมาติดๆรีบร้องตะโกนแก้ต่างทันทีเขาหายใจแรงด้วยความเหนื่อยหอบ และขอบตาทั้งสองข้างก็แดงก่ำ เพราะเย่เทียนตูนั้นไม่ยั้งมือเลยสักนิด!
เช่นเดียวกับตระกูลหลงเพราะหลงเทียนฟางก็แข็งแกร่งกว่าหลงเทียนซินเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเย่เทียนตูนั้นแข็งแกร่งกว่ากว่าเย่เทียนสุ่ย และสามารถเอาชนะเย่เทียนสุ่ยได้ไม่ยาก
แต่เย่เทียนตูกลับโต้เถียงกลับไปทันที“เป็นเจ้าที่ลงมือก่อน เจ้าปล่อยกระบี่ลมปราณใส่ข้า!”
เย่เทียนสุ่ยกรีดร้องออกมาด้วยความโมโห“ใครใช้ให้เจ้าเหาะเร็วเช่นนั้นเล่า เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นพี่ของเจ้า? เจ้าควรต้องโอนอ่อนให้ข้าจึงจะถูก!”
“พวกเจ้าทะเลาะกันพอหรือยังหากยังไม่หยุดข้าจะทำโทษพวกเจ้าทั้งคู่!”
เย่ชิงซินร้องตะโกนดุหลานชายทั้งสองอย่างหมดความอดทน
“เทียนตูคืนแหวนพื้นที่ให้กับหลิงหยุน!”
เย่ชิงซินร้องสั่งหลานชายพร้อมกับกำชับต่อว่า“อีกครึ่งชั่วโมงฟ้าก็จะสว่างแล้ว พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ จะให้ผู้คนพบเห็นพวกเราเหาะอยู่เช่นนี้ไม่ได้!”
ด้วยขั้นพลังของเย่ชิงซินในเวลานี้แม้จะเป็นเวลากลางวัน หากนางไม่ต้องการให้ผู้คนพบเห็นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่นางรู้ดีว่าหลิงหยุนยังมีเรื่องที่ต้องการทำอีกมาก หากนางกับหลานชายทั้งสองยังอยู่ที่นี่ หลิงหยุนก็คงไม่สะดวกใจที่จะลงมือ
“น้าหญิงนี่เป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งนัก!”
เย่เทียนตูคร่ำครวญด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยแต่ก็เข้าไปใกล้หลิงหยุน พร้อมกับยื่นแหวนในมือคืนให้
“ข้ายกให้เจ้า!”หลิงหยุนตอบยิ้มๆ
ในเมื่อมันเป็นของขวัญที่เขาได้มอบให้แล้วการจะเอากลับคืนจึงเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนใจ อีกอย่างแหวนแพลตตินัมที่ตี้เสี่ยวอู๋ไปหาซื้อมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นแหวนแบบเดียวกัน และมีลักษณะคล้ายแหวนของผู้ชายเสียมากกว่า จึงเป็นไปได้ที่เย่ชิงซินเห็นว่าไม่เหมาะกับตนจึงไม่ต้องการรับไว้
และที่สำคัญเวลานี้นางได้รับโอสถล้ำค่าทั้งสองเม็ดไปแล้ว! ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนหลิงหยุนใจกว้างที่ยอมมอบแหวนพื้นที่ให้กับเย่เทียนตูแต่หากเขามีโอกาสได้พบกับเย่ชิงซินอีกครั้ง เขาจะหาแหวนที่เหมาะสมกว่านี้ให้กับนางแทน
ทันทีที่ได้ยินเย่เทียนสุ่ยก็รีบย้ายร่างเข้าไปหาหลิงหยุนทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน เหตุใดเจ้าไม่มอบให้ข้าบ้างเล่า”
หลิงหยุนเหลือบมองเย่เทียนสุ่ยพร้อมตอบกลับไปทันที“เพราะเจ้าคิดร้ายต่อข้ายังไงเล่า เจ้ากล้าหลอกข้า..”
เย่เทียนสุ่ยมีท่าทีกระอึกกระอักก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง และรีบอธิบายให้หลิงหยุนฟังว่า “หลิงหยุน ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับเจ้า ข้าแค่อยากจะล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง!”
“ล้อเล่นงั้นรึ!แม้แต่ตัวเจ้าเองยังไม่กล้าลงไปที่สามเหลี่ยมปีศาจนั่นเลย!”
หลิงหยุนจ้องมองเย่ชิงสุ่ยด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะบอกไปว่า “เหตุใดเจ้าไม่ลงไปสำรวจหาร่างของหลงเทียนฟางดูเล่า” และนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนสนอกสนใจยิ่งนัก!
เย่เทียนสุ่ยส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่ต้องลงไปก็รู้ แค่มองจากตรงนี้ก็เห็นแล้วว่าผิวน้ำบริเวณนั้นยังคงสงบนิ่ง หากเขาไม่ถูกสายน้ำกลืนกินเข้าไป ก็คงจะหนีไปไกลแล้ว!”
หลิงหยุนพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกันว่าหลงเทียนฟางคงจะหนีไปไกลแล้ว ไม่เช่นนั้นผิวน้ำบริเวณนั้นคงจะไม่สงบนิ่งถึงเพียงนี้!
จากนั้นเย่เทียนสุ่ยก็เริ่มออดอ้อนหลิงหยุนทันที“หลิงหยุน.. น้องชายคนเก่ง! เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น แต่เจ้ากลับโยนข้าลงไปในน้ำจริงๆ ข้ายังไม่คิดโกรธเคืองเจ้าเลย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนใจกว้างดั่งแม่น้ำ ได้โปรดให้แหวนแก่ข้าสักวงเถิดนะ!”
“เสียใจด้วย..”หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ข้าเหลือวงนั้นวงสุดท้าย!”
สีหน้าของเย่เทียนสุ่ยเต็มไปด้วยความผิดหวังแต่แล้วก็เริ่มต่อรอง “ถ้าเช่นนั้นก็มอบโอสถสองเม็ดนั้นให้ข้าแทนก็ได้! ข้าอุตส่าห์เหาะมาตั้งไกลเพื่อมาช่วยเจ้า เจ้าจะใจดำให้ข้ากลับไปมือเปล่าจริงๆรึ”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์และสอดส่ายสายตาสำรวจร่างของเย่เทียนสุ่ย พร้อมกับขมวดคิ้วในขณะที่พูดออกไปว่า
“แม้เจ้าจะผอมลงแล้วก็ตามแต่ก็ยังนับว่ามีไขมันอยู่ไม่น้อยไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะกินโอสถสองชนิดนี้!”
“เจ้า@¥&…”
เย่เทียนสุ่ยถึงกับสบถคำหยาบออกมาด้วยความโมโหก่อนจะตะโกนใส่หน้าหลิงหยุน “หลิงหยุน เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
หลิงหยุนตอบกลับพร้อมรอยยิ้มยียวน“ข้าก็หมายความตามที่พูดนั่นล่ะ!”
เย่เทียนสุ่ยยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม“หลิงหยุน เจ้าก็รู้ว่าที่ข้าอ้วนก็เพราะกลั่นกระบี่ อีกเพียงแค่สองเดือนก็ไม่ต่างจากเจ้าแล้ว..”
หลิงหยุนหัวเราะหึๆก่อนจะตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ให้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เมื่อครู่ข้าตกอยู่ในอันตราย แต่เจ้ากลับนิ่งเฉย แต่เทียนตูกลับช่วยข้ารับมือหลงเทียนซิน!”
“…”เย่เทียนสุ่ยได้แต่นิ่งอึ้งเพราะจนด้วยเหตุผล
เย่ชิงซินกับเย่เทียนตูเห็นหลิงหยุนกับเย่เทียนสุ่ยปะคารมกันไปมาเช่นนั้นก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันยิ้มๆ เย่ชิงซินคร้านที่จะสนใจเย่เทียนสุ่ยอีก จึงได้แต่ร้องบอกหลิงหยุนว่า
“หลิงหยุนเจ้าคงจะมีอะไรต้องทำอีกมาก ข้าไม่อยู่รบกวนเวลาของเจ้าแล้ว ข้าขอตัวก่อน!”
“น้าหญิงเย่ข้าน้อมส่งแค่นี้!”
หลิงหยุนยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเวลานี้เขาต้องการลงไปสำรวจที่บ่อมังกรอีกครั้งว่า จะมีสมบัติล้ำค่าใดอยู่เบื้องล่างบ้าง
เย่ชิงซินเพียงแค่พยักหน้าและเหาะนำหลานชายทั้งสองกลับออกไปทันที! –หลิงหยุนขอบใจเจ้ามาก! วันข้างหน้าหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด ได้โปรดบอกให้ข้ารู้ทันที!-
แม้เย่เทียนตูจะมิได้เอ่ยคำพูดใดกับหลิงหยุนก่อนจากกันแต่หลังจากเหาะออกไปแล้ว เขาก็ไม่ลืมที่จะบอกหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
–ยินดี!-
หลิงหยุนตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆเท่านั้น
เย่เทียนสุ่ยเห็นเย่ชิงซินกับเย่เทียนตูจากไปแล้วแต่เขาก็ยังคงมีท่าทีละล้าละลังว่าจะอยู่ต่อ หรือจะเหาะตามไปดี แต่ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจออกมา และตัดสินใจที่เหาะตามคนทั้งคู่กลับไป
แต่ก่อนจะไปก็ได้หันไปพูดกับหลิงหยุนว่า“หลิงหยุน เจ้าไม่ควรปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้! ไม่แน่ว่าในวันข้างหน้า ข้าอาจจะกลายเป็นพี่เขยของเจ้าก็เป็นได้ และหากให้พี่สาวของเจ้ารู้เข้า…” “หุบปากของเจ้าซะ!”
หลิงหยุนไม่อาจทนฟังเย่เทียนสุ่ยพูดต่อได้จึงรีบตะโกนห้ามเสียงดังและพูดเย้ยหยันกลับไป “เจ้าอย่าได้ฝันลมๆแล้งๆไปเลย พี่หลิงซิ่วของข้าไม่มีทางสนใจเจ้าแน่!”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้!”
ทุกครั้งที่หลิงหยุนพูดถึงหลิงซิ่วเช่นนี้เย่เทียนสุ่ยก็จะโมโหโทโสขึ้นมาทุกครั้ง เขาร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุนด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“หลิงหยุน!ข้าขอบอกเจ้าไวเ้ลยว่า นับจากนี้อีกสองเดือน ร่างกายของข้าก็จะงดงามไม่ต่างจากเจ้า ถึงตอนนั้นข้าจะไปบ้านตระกูลหลิงทุกวัน และจะดีต่อพี่สาวของเจ้า ปฏิบัติต่อนางเยี่ยงเทพธิดา ไม่ว่านางต้องการสิ่งใดข้าก็จะหามาให้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่ใจอ่อน..”
“หึ!เจ้าผอมลงแล้วยังไง คิดว่าตัวเองหล่อดั่งเทพบุตรหรือยังไง?”
เย่เทียนสุ่ยเชิดหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“เจ้าก็คอยดูเอาเองก็แล้วกัน ตอนข้าเด็กๆ ข้าได้ฉายาว่ามังกรหน้าหยกเชียวนะ!”
ฟิ้ว!
แต่หลิงหยุนกลับไม่ใส่ใจและรีบควบคุมกระบี่เหินเงาธนูของตนให้มุ่งหน้าไปยังบ่อมังกรทันที!
และเวลานี้หลิงหยุนก็มั่นใจแล้วว่าตระกูลเย่กับตระกูลหลิงนั้นมิได้มีความแค้นฝังลึกต่อกันเลย การพบกันคืนนี้จึงนับว่าเป็นการเริ่มต้นสัมพันธภาพที่ดีของสองตระกูล ในความคิดของเขานั้นเย่เทียนสุ่ยกับเย่เทียนตูล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้หลิงหยุนรู้สึกว่าทั้งเย่เทียนตูกับเย่เทียนสุ่ยนั้น ควรค่าที่จะเป็นสหายของเขา!
“นี่!ข้ายังพูดไม่จบเลย.. รอข้าด้วยสิ!”
เย่เทียนสุ่ยร้องตะโกนพร้อมกับเหาะตามหลิงหยุนไปทันทีแล้วทั้งคู่ก็เหาะตรงไปยังบ่อมังกรด้วยความรวดเร็ว
…. ระยะทางจากสามเหลี่ยมปีศาจไปถึงบ่อมังกรนั้นค่อนข้างยาวหลิงหยุนเหาะไปอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาของชาวบ้าน และเมื่อไปถึงเขาก็ร้องตะโกนท้าทายเย่เทียนสุ่ยทันที
“เจ้ามังกรอ้วนหน้าหยกเจ้ากล้าดำลงไปในบ่อมังกรหรือไม่”
เย่เทียนสุ่ยถึงกับอึ้งไปและรีบร้องตะโกนถามกลับไปทันที “นี่เจ้ายังจะลงไปที่นั่นอีกรึ”
“เลิกถามไร้สาระได้แล้วตอบข้ามา.. เจ้ากล้าลงไปใต้บ่อมังกรหรือไม่”
เย่เทียนสุ่ยทำสีหน้าหวาดเสียวพร้อมกับถามหลิงหยุนว่า“แล้วเจ้ามังกรแดงนั่นจะกินข้า เข้าไปหรือไม่”
หลิงหยุนได้แต่นึกขันแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าเองก็ไม่มั่นใจ เพราะด้านล่างเป็นรังของมัน!”
เย่เทียนสุ่ยรีบถามต่อทันที“ข้างล่างนั่นลึกเท่าไหร่” หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ก็น่าจะราวสามหรือสี่ร้อยเมตร!”
“เอ่อ..”
เย่เทียนสุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า“หลิงหยุน ข้าอยู่ให้กำลังใจเจ้าบนฝั่งจะดีกว่า!”
ตูม!
ยังไม่ทันที่เย่เทียนสุ่ยจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำร่างของหลิงหยุนก็กระโดดลงไปในบ่อมัวกรเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่ลงไปใต้น้ำหลิงหยุนก็ใช้วิชาคลื่นคงคาแหวกว่ายลงไป และเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว เขาก็ดำดิ่งลงไปได้ลึกกว่าหนึ่งร้อยเมตรแล้ว