บทที่ 2833 ข้ากระทำการใดล้วนคร้านจะแจกแจง 4
สิบแส้นั้นนักบวชเทียนโม่เวิ่นเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง โบยจนถูซานอิงอยู่ในสภาพหลังแตกเลือดอาบ โลหิตสดๆ หลั่งริน…
เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนทั้งหมดของภพปีศาจจึงถูกข่มขวัญ แต่ละคนต่างหวั่นวิตก
การเชือดไก่ให้ลิงดูในครั้งนี้ได้ผลยิ่งนัก นับจากนี้ไปประชาชนของภพปีศาจล้วนถือเอากฎหมายนั้นเป็นกฏอาญาสิทธิ์ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้ใดก็ไม่กล้าฝ่าฝืน (แม้แต่องค์ราชินีทำผิดก็ยังถูกโบยเลยนะ! แล้วจะยังมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎหมายของภพมารได้อีกเล่า?)
ตอนที่ถูซานอิงโดนโบย กู้ซีจิ่วก็ได้พาฟั่นเชียนซื่อกับอูเชียนเหยียนไปรับชมในที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน เพียงแต่คนทั้งสามศิษย์อาจารย์นายบ่าวล้วนแปลงโฉมกันหมด ไม่มีผู้ใดจดจำพวกเขาได้
ตอนนั้นย่างเข้าปีที่หกของการที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีทะเลาะแตกหักกันที่แดนน้ำแข็งแห่งนั้น และเป็นครั้งแรกในรอบหกปีที่เธอได้พบหน้าเขา
ตี้ฝูอีในเวลานั้นมีรัศมีของผู้เป็นราชันอยู่บนร่างรางๆ แล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงนักบวชคนหนึ่ง ทว่าได้รับความนิยมหนุนนำจากประชาชนทั้งหมดของภพปีศาจ ยามที่เกี้ยวของเขาปรากฏขึ้น เหล่าราษฎรของภพปีศาจต่างพากันคุกเข่าต้อนรับอย่างอึกทึกครึกโครม ฉากนั้นน่าตื่นตะลึงยิ่ง
ยามนั้นพวกกู้ซีจิ่วสามศิษย์อาจารย์หลบอยู่บนหลังคาของภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานพิธี มองดูฉากนั้น กู้ซีจิ่วไม่เป็นอย่างใดเลย เพียงชมเรื่องครื้นเครงดื่มกินสร้างความสำราญให้ตนเองอยู่ตรงนั้น
ส่วนฟั่นเชียนซื่อกับอูเชียนเหยียนก็ชมเหตุการณ์ทุกอย่างนั้นอยู่ด้านหน้า อูเชียนเหยียนเอ่ยถามอย่างส่งๆ “นายน้อย ท่านคิดเห็นประการใดต่อเรื่องนี้?”
จิตใจของฟั่นเชียนซื่อไหวสะท้านอยู่บ้าง เอ่ยตอบไปอย่างไม่คิดเลย “สักวันข้าก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกัน! ไม่สิ ฐานะของข้าจะต้องสูงส่งกว่าเขา และแข็งแกร่งกว่าเขา วันหน้าข้าจะทำให้ประชาชนของหกภพภูมิมาสยบอยู่ที่แทบเท้าข้า ก้มหัวคำนับข้า ให้ข้ากุมบังเหียนทุกสิ่ง…”
ประโยคนี้ที่เขากล่าวออกมาให้อารมณ์เหมือนจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ต้องการรวมหกแคว้นให้เป็นหนึ่งยิ่งนัก ราวกับใต้หล้าอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา เขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ
อูเชียนเหยียนผงะไป ราวกับคาดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา อดไม่ได้ที่จะมองพระองค์เจ้าแวบหนึ่ง สายตาของพระองค์เจ้ากวาดผ่านมาทางพวกเขาแล้วจริงๆ…
เมื่อฟั่นเชียนซื่อเอ่ยจบก็จับความผิดปกติได้แล้ว เกรงว่าคำพูดประโยคนี้ของตนจะไปแหย่ให้อาจารย์โมโหเข้า…
เขาเปลี่ยนคำพูดทันที ยิ้มแวบหนึ่งแล้วเอ่ยไปว่า “ข้าพูดเล่นน่ะ ข้าเป็นศิษย์ของเทพผู้สร้างโลก จะต้องสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ปวงชนในใต้หล้า ขจัดเคราะห์กรรม มองชื่อเสียงเกียรติยศเป็นเพียงอาจม…อย่างไรก็ตาม ถ้าจะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ก็ต้องนั่งในตำแหน่งเช่นนั้นด้วยถึงจะถูก ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ อาจารย์คือเทพผู้สร้างโลก ได้รับความนับหน้าถือตาจากปวงชนในหกภพภูมิ อาจารย์เอ่ยเพียงประโยคเดียว พวกเขาก็น้อมนำไปปฏิบัติตามแล้ว กฎหมายดีๆ เช่นนี้ถึงจะนำไปดำเนินใช้กันอย่างทั่วถึง ดังนั้นอำนาจก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อยู่ที่ว่าเจ้าจะใช้มันอย่างไรก็เท่านั้น”
วาจานี้ของเขามีเหตุมีผลครบถ้วนทั่ว ค่อยๆ ปัดวาจาที่พลั้งปากออกมาก่อนหน้านี้ออกไป
อูเชียนเหยียนถูกวาจาของเขาทำให้ตะลึงงัน สุดท้ายก็พยักหน้า “นายน้อยช่างมีปัญญาล้ำเลิศโดยแท้ ยอดเยี่ยม!”
ฟั่นเชียนซื่อหยักมุมปากนิดๆ ยิ้มอย่างภาคภูมิแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วกำลังโคลงจอกสุราอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ไม่ทราบเช่นกันว่าได้รับฟังเข้าไปหรือไม่
เขาปลุกความกล้าขึ้นมา เอ่ยถามไปตรงๆ ว่า “อาจารย์ ศิษย์พูดถูกไหมขอรับ?”
กู้ซีจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง นวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยถามเขา “เจ้าริษยาตำแหน่งนี้ของเขา หรือว่าริษยาที่กฎหมายที่ตราขึ้นโดยเขาได้รับการปฏิบัติน้อมนำกันอย่างแพร่หลายเล่า?”
ฟั่นเชียนซื่อชะงักไปแวบหนึ่ง เอ่ยตอบ “แน่นอนว่าเป็น…เป็นการริษยาข้อหลังสิขอรับ เพียงแต่หากไม่มีผู้ริเริ่มก่อนก็จะไม่มีผู้ที่ดำเนินรอยตามให้สัมฤทธิ์ผลได้…”
กู้ซีจิ่วลอบส่ายหัว ถึงแม้ฟั่นเชียนซื่อจะตอบได้แพรวพราว แต่ก็เผยสิ่งที่เขาใส่ใจอย่างแท้จริงออกมาด้วย
สองคนนี้ดูคล้ายจะไม่แตกต่างกัน แต่หนึ่งนำหนึ่งตามเมื่อนำมากลับกันแล้ว นั่นจะพลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิงเลย
ศิษย์คนนี้…ยังคงต้องอบรมให้ดีๆ หน่อย!
กู้ซีจิ่วนวดหว่างคิ้วอย่างปวดหัวยิ่งนัก จากนั้นก็มองเข้าไปในลานพิธีต่อ
ณ จุดนั้น นักบวชเทียนโม่เวิ่นคนนั้นลงมือโบยแส้ด้วยเอง ราชินีปีศาจจิ้งจอกเก้าหางผู้นั้นถูกโบยจนหน้าซีดปากเขียวแล้ว แผ่นหลังลายพร้อยไปหมด
ฝูงชนเงียบงันปานจักจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าส่งเสียงเลยสักแอะ ทั้งลานพิธีมีเพียงเสียงหวีดแหลมของแส้ที่หวดผ่านอากาศ
คล้ายจะสัมผัสอะไรได้ จู่ๆ นักบวชเทียนโม่เวิ่นที่มีสีหน้าเยือกเย็นคนนั้นก็มองมายังทิศทางที่เธออยู่!
ทว่ามองเห็นเพียงเงาหลังของนางที่กำลังพาลูกศิษย์กับสาวใช้เหินจากไป…
มือที่กุมแส้ของเขาพลันกำแน่น เม้มริมฝีปากบางนิดๆ แล้วหวดแส้ลงไปอีกครั้ง!
แส้นี้ไม่ได้ควบคุมน้ำหนักให้ดี โบยจนถูซานอิงหวีดร้องออกมาเบาๆ ถูกโบยจนหวิดจะคืนร่างเดิมแล้ว!
….
————————————————————————————-
บทที่ 2834 เผชิญมรสุม
ถูซานอิงเกือบร้องโหยหวนออกมาแล้ว อยากจะร้องด่าไปถึงมารดา…
นี่คือแผนการของนางกับนักบวชเทียนโม่เวิ่น นักบวชเทียนโม่เวิ่นบอกนางว่า มีแต่ต้องให้นางเป็นทัพหน้าก่อน ผู้นำทำผิดได้รับโทษทัณฑ์ เมื่อเหล่าขุนนางชนชั้นสูงเหล่านั้นทำผิดอีกถึงจะสามารถลงโทษอย่างรุนแรงได้ และไม่กล้าทำผิดอีก…
ดังนั้นนางจึงจงใจกระทำความผิดนั้น แบกรับบทลงโทษนี้
เพียงแต่ตอนนั้นนักบวชเทียนโม่เวิ่นเคยบอกนางไว้ เมื่อถึงเวลาโบยเขาจะโบยจริงๆ แต่จะควบคุมกำลังเอาไว้ ไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานของนางจริงๆ นางถึงได้กัดฟันตกลง
แต่แส้เมื่อครู่นั้น โบยจนเอวบางๆ ของนางแทบจะหักแล้ว! นางนึกสงสัยแล้วว่านางคงถูกโบยจนไตวายไปแล้ว…
เจ็บจนแข้งขาสั่นสะท้านไปหมด
นางฝืนเงยหน้าไปที่เทียนโม่เวิ่น มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเยียบเย็น มือที่กุมแส้อยู่ข้อนิ้วค่อนข้างขาวซีดอยู่บ้าง ในดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมีหมอกหนาปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ทำให้คนมองอารมณ์เขาได้ไม่กระจ่าง…
มารดามันเถอะ ดูเหมือนนางจะไม่เคยมองอารมณ์ของท่านนักบวชคนนี้ออกเลยนี่นา!
แน่นอน ตัวเขาในยามนี้ยิ่งทำให้คนยากจะเข้าใจได้ยิ่งกว่าเดิม
ถูซานอิงไม่อยากจะไปคาดเดาอารมณ์เขาแล้ว นางใส่ใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ยังเหลืออีกตั้งสองแส้นะ!
เมื่อเห็นว่าแส้ที่แฝงกำลังอันน่าครั่นคร้ามของเทียนโม่เวิ่นกำลังจะหวดลงมาอีกครั้ง ถูซานอิงก็ฝืนข่มความเจ็บปวดส่งกระแสเสียงหา “นี่ ท่านใช้แรงมากเกินไปแล้ว!”
ดีมาก ท่านนักบวชคนนี้ได้ยินแล้ว ยามที่แส้นี้หวดลงมา เป็นความแรงเช่นเดียวกับไม่กี่แส้ที่ผ่านมาแล้ว
ถึงแม้จะเจ็บจนเสียดแทงไปถึงหัวใจ แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายไปถึงกระดูกเส้นเอ็นของนาง
มารดามันเถอะ ในที่สุดก็ปกติแล้ว!
ถูซานอิงโล่งอก รอรับแส้สุดท้าย
ยามที่แส้หวดลงมาอีกครั้ง ยังคงเป็นไปตามที่คาดไว้ ถูซานอิงคลายหัวคิ้วกำลังจะลุกขึ้น เงาแส้วาบขึ้นเหนือศีรษะ หวดลงบนหัวไหล่นางจนเกิดเสียงดังเพียะ ฟาดจนนางล้มคว่ำลงไป…
ถูซานอิงยังไม่ทันตั้งตัว ถูกหวดจนล้มหน้าทิ่ม
นางตกตะลึงยิ่ง!
เวรเอ้ย ฟาดเกินมาแส้หนึ่งแล้ว! หงิง!
เหล่าประชาชนที่มุงดูอยู่ก็มองหน้ากันเหลอหลา ถึงแม้คนของภพปีศาจจะนับเลขไม่เป็นกันเท่าไหร่ แต่จำนวนง่ายๆ ก็ยังนับกันเป็นอยู่ นับประสาอะไรกับสิบแส้ พับนิ้วลงก็สามารถนับได้แล้ว
แส้ยาวของท่านนักบวชหวดลงบนร่างราชินีปีศาจ ทำให้ประชาชนปวดใจ ทุกแส้ที่องค์ราชินีได้รับ ทำเอาหัวใจของพวกเขาสะท้านตามไปด้วย ราวกับคนที่ถูกโบยก็คือพวกเขาเอง
ทุกคนล้วนนับจำนวนแส้อยู่ ดังนั้นแทบทุกคนล้วนทราบว่าองค์ราชินีถูกโบยเกินมาหนึ่งแส้แล้ว
มีบางคนตะโกนขึ้นมา “เกินแล้ว! พอแล้ว…”
แววตานักบวชเทียนโม่เวิ่นวูบไหวเล็กน้อย พลันหลุบตาลง สบเข้ากับดวงตาคู่นั้นของถูซานอิงที่แทบจะมีอัคคีลุกโชนขึ้นมาแล้วพอดี
‘ท่านนักบวชท่านทำอะไรอยู่?’ ถูซานอิงกัดฟันส่งกระแสเสียงหา ‘ท่านโบยแม่เฒ่าเกินมาแส้หนึ่งแล้ว!’ ด้วยความโมโห แม้แต่ภาพพจน์ของราชินีสาวผู้อารีที่รักษาเอาไว้อย่างลำบากยากเย็นเสมอมานางก็ไม่ไยดีแล้ว…
ตี้ฝูอีไม่สนใจนาง กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย “ราชินีมีฐานะเป็นกษัตริย์ ทราบกฎหมายแต่ก็ยังทำผิด สมควรได้รับโทษหนัก เพิ่มไปอีกแส้ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง”
ฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า จากนั้นแต่ละคนก็พยักหน้ารับ
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!
ถูซานอิงเงียบงัน…
นางกัดฟันส่งกระแสเสียงหา ‘ท่านนักบวช ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้ใจลอยจนโบยเปิ่นหวางเกินมาแส้หนึ่ง?’
เทียนโม่เวิ่นเหลือบมองนางอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง ‘ก็แล้วแต่ว่าท่านจะคิดอย่างไร’ โยนแส้ทิ้ง หันหลังจากไป
ฝูงชนเลื่อมใสราชีปีศาจด้วยใจจริง ราชินี้ที่กระทำตนเป็นแบบอย่างเช่นนี้พบเห็นได้น้อยเหลือเกิน! ทำให้พวกเขาตื้นตันเหลือเกิน!
แน่นอน พวกเขาได้ตักเตือนกันเองด้วยว่าอย่าได้กระทำเรื่องที่ผิดต่อข้อกฎหมายอีก ดูราชินีไว้เป็นตัวอย่าง…
….
ครั้งนั้นกู้ซีจิ่วไม่ได้รั้งอยู่ที่ภพปีศาจนานนัก หลังจากชมเรื่องครื้นเครงฉากนั้นจบ เธอก็พาอูเชียนเหยียนกับฟั่นเชียนซื่อจากไปเลย
————————————————————————————-