บทที่ 2835 เผชิญมรสุม 2
ในช่วงหลายปีมานี้เพื่อฝึกฝนหล่อหลอมสองคนนี้ เธอมักจะพาพวกเขาเดินทางไปตามหกภพภูมิอยู่เสมอ เยี่ยมชมศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีของหกภพภูมิ โลกอันหลากหลาย
อ่านตำราหมื่นเล่มมิสู้เดินทางหมื่นลี้ โดยเฉพาะการบ่มเพาะอัจฉริยะอย่างฟั่นเชียนซื่อ ความรู้เชิงทฤษฎีบางอย่างเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว สิ่งที่ขาดไปคือประสบการณ์จริง…
ในฐานะอาจารย์ กู้ซีจิ่วยังคงทุ่มเทอุตสาหะยิ่งนัก คิดจะถือโอกาสก่อนดับขันธ์ ถ่ายทอดทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ในชีวิตให้แก่ศิษย์ ให้วันหน้าเขาสามารถรับช่วงตำแหน่งของตนได้
ฟั่นเชียนซื่อเฉลียวฉลาดยิ่ง เป็นบุคคลที่รู้หนึ่งแตกยอดได้ถึงสิบ ดังนั้นเวลาที่กู้ซีจิ่วถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เขา ยังคงค่อนข้างสะดวกง่ายดายอยู่
หลายปีมานี้สามคนศิษย์อาจารย์ตระเวนไปมาทั่วหกภพภูมิแล้ว ทำให้ฟั่นเชียนซื่อและอูเชียนเหยียนเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
แน่นอน เพื่อรักษาเสถียรภาพของพลังยุทธ์ตน กู้ซีจิ่วจะไปที่แดนน้ำแข็งแห่งนั้นเที่ยวหนึ่งทุกๆ หนึ่งปีครึ่ง ในตัวเธอมีอานุภาพของไข่มังกรประทีปอยู่ ฝึกฝนอยู่ที่แดนน้ำแข็งแห่งนั้นก็ไม่มีอันตรายใดแล้ว
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่เธอฝึกฝนอยู่ด้านใน กลับยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสุขภาพของเธอเสื่อมโทรมลงอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การจับสัมผัสไอวิญญาณก็ไม่เฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ วรยุทธ์ก็ฟื้นฟูกลับมาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ…
หลายปีมานี้เธอเดินทางอยู่ด้านนอก บางครั้งก็บังเอิญพบตี้ฝูอีบ้าง แต่หลังจากพบเห็นเธอล้วนจะหลบเลี่ยงจากไปทันทีเลย
เขาไม่อยากเป็นศิษย์ของเธอ เธอก็ไม่อยากบังคับเขา
ดังนั้นเธอจึงไม่เคยบอกกล่าวต่อโลกภายนอกเลย บนโลกนี้นอกจากเธอกับเขาแล้ว ไม่มีบุคคลที่สามที่ทราบเรื่องนี้เลย
แน่นอน เธอยิ่งไม่เคยใช้ประโยคจากอาคมนั้น มาบีบคั้นให้เขาทำเรื่องราวอันใดเลย ในระยะเวลายี่สิบปีจำนวนการพบหน้ากันของเธอกับเขาแทบจะนับนิ้วได้เลย ไม่มีการสนทนากันเลยแม้แต่ครึ่งประโยค ถึงขั้นที่ไม่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ เลยด้วยซ้ำ
ราชินีปีศาจใช้การลงแส้ฉากหนึ่งเอาชนะใจของชาวเผ่าปีศาจได้หมดจดสมบูรณ์ และทำให้กฏหมายนี้สำเร็จผลจนถึงที่สุดอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เผ่าปีศาจรุ่งเรืองเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วย
การเติบโตก้าวหน้าขึ้นของเผ่าปีศาจดึงดูดให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ เกิดความริษยา เผ่าพันธุ์อื่นๆ จึงพากันเอาเยี่ยงอย่างด้วย เหล่าผู้นำของแต่ละเผ่ายังคงทราบดีว่าเผ่าปีศาจเติบใหญ่ได้เช่นนี้ก็เพราะการมีอยู่ของนักบวชเทียนโม่เวิ่น ดังนั้นจึงพากันมาดึงตัวคนไป
ในไม่ช้า ชื่อเสียงของนักบวชเทียนโม่เวิ่นก็เลื่องลือไปในหกภพภูมิ กลายเป็นที่ต้องการของหกภพภูมิ
แต่หลังจากนักบวชเทียนโม่เวิ่นผู้นั้นลงแส้ราชินีปีศาจแล้วก็ไปจากเผ่าปีศาจเลย ยามที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็กลายเป็นมหาปราชญ์ของภพเซียนแล้ว…
ภายใต้การสนับสนุนของจักรพรรดิเซียนของภพเซียน เขาก็ได้ทำการปฏิรูปภพเซียนอย่างเฉียบขาดเช่นกัน
จักรพรรดิเซียนผู้นี้ยังคงมีความห้าวหาญองอาจยิ่ง ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือหูเบา และใจอ่อนไปหน่อย ถูกขุนนางทำให้หวั่นไหวได้ง่ายๆ ยามที่ขุนนางทำผิดพลาดเขาก็หักใจลงโทษไม่ลงอยู่บ่อยครั้ง ต่อให้เป็นความผิดข้อหาร้ายแรงยิ่ง บางคนร้องห่มร้องไห้ขอความเมตตาหาข้ออ้างมาสักหน่อย เขาก็ปล่อยไปแล้ว ต่อให้เป็นบทลงโทษเล็กน้อยก็ผ่อนผันให้เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ระเบียบกฎหมายมากมายจึงไร้ผล เรื่องที่เหล่าขุนนางทราบข้อกฎหมายดีแต่ก็ยังละเมิดกฎหมายอยู่จึงเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างมีแวดวงของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมีลูกคิดรางแก้วของตน ความเคารพนับถือที่มีต่อจักรพรรดิเซียนก็เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ความจริงแล้วไม่ได้เห็นเขาเป็นอันใดเลย
เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ขุนนางบุ๋นบู๊จึงมักจะแบ่งพรรคแบ่งพวก เข้าห้ำหั่นกันเองอย่างเจ้าตายข้ารอดอยู่เสมอ ไม่สมัครสมานสามัคคี
ราชสำนักเป็นเช่นนี้ ประชาชนชาวเซียนที่อยู่ด้านล่างย่อมเอาเยี่ยงอย่างเป็นธรรมดา เละเทะวุ่นวายไปหมด
จักรพรรดิเซียนทราบความผิดของตนดี ดังนั้นหลังจากได้ยินเรื่องเทียนโม่เวิ่น ก็ลงไปเชื้อเชิญที่โลกด้านล่างด้วยตัวเอง ซ้ำยังเชิญเขามาได้จริงๆ ด้วย!
ในปีแรกที่ภพเซียนเทียนโม่เวิ่นไม่ได้ทำอันใดเลย ได้แต่เดินเตร็ดเตร่อยู่ทุกวัน ดูเอ้อระเหยลอยชายยิ่ง คล้ายมาใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณที่ภพเซียนก็มิปาน ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ใด รูปโฉมของเขาล้ำเลิศ บุคลิกนิสัยก็โดดเด่นยิ่ง ซ้ำยังมีความรู้มากมาย ไปๆ มาๆ เช่นนี้ ผู้คนมากมายในภพเซียนก็ได้กลายเป็นสหายของเขาแล้ว พูดจาปราศรัยกับเขา
————————————————————————————-
บทที่ 2836 เผชิญมรสุม 3
แน่นอน เหล่าเจ้าถิ่นพวกนั้นของภพเซียนที่เริ่มแรกตั้งป้อมระแวดระวัง ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดูแคลน รู้สึกว่าเขาสามารถรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่ภพปีศาจขึ้นมาได้ กว่าครึ่งก็เป็นเพราะความไว้วางใจและหลงใหลรักใคร่จากราชินีปีศาจ ถึงได้ทำให้เขาเอาขนไก่มาทำลูกศร[1] มีฐานะเช่นนั้นได้
ถึงขั้นที่มีบางคนลือไปว่าเขาคือชายบำเรอของราชินีปีศาจ อาศัยว่ามีรูปลักษณ์น่ามองถึงได้มีสวัสดิการเช่นนี้
สำหรับข่าวลือเหล่านี้ เทียนโม่เวิ่นล้วนยิ้มแวบหนึ่ง ทำราวกับไม่ได้ยินเสีย เตร็ดเตร่เอ้อระเหยต่อไป
ผลคือในปีที่สองเขาก็เริ่มทำการปฏิรูปอย่างเฉียบขาดขึ้นมา ทันทีที่ปฏิรูปก็ครึกโครมสะท้านสะเทือนเลย!
กฎหมายของเขาแม่นยำตรงจุด ทุกดาบล้วนฟาดฟันลงในจุดอ่อนไหวอันเป็นข้อเสียของภพเซียน!
ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกถอดถอนออกจากผลดีที่ไม่สมควรได้รับ คนที่ทำผิดกฏหมายนับไม่ถ้วนถูกส่งเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมาย บ้างถูกตัดสินลงโทษบ้างก็ถูกตัดสินให้ประหาร! ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งนั้น!
ย่อมก่อให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วราชสำนักของภพเซียน ก่อให้ขุนนางบางส่วนเกิดความไม่พอใจ พากันไปทูลฟ้องจักรพรรดิเซียน
แต่ครั้งนี้จักรพรรดิเซียนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไว้วางใจในความสามารถของเทียนโม่เวิ่นยิ่งนัก ล้วนมอบอำนาจทั้งหมดให้เขา ประทานกระบี่อาญาสิทธิ์ให้เขา สามารถลงมือกับราชวงศ์ชนชั้นสูงได้ ลงมือกับชาวบ้านขุนนางได้ ถ้ามีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ก็สามารถลงดาบก่อนแล้วค่อยกราบทูลได้…
พวกขุนนางเหล่านั้นของภพเซียนต่างตกตะลึงพรั่นพรึงเมื่อพบว่า มหาปราชญ์เทียนโม่เวิ่นผู้นี้ล่วงรู้ทุกสิ่งอย่าง ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อย ที่พวกเขากระทำลับหลังเขาล้วนทราบกระจ่างทั้งสิ้น!
อีกทั้งเหล่าขุนนางที่เดิมทีมีคุณธรรมอยู่แล้วทว่าถูกข่มเหงก็กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคี้ยวได้ยากของเขา…
การปฏิรูปครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นการพลิกฟ้าแปลงดินเลย เทียบได้กับการปฏิรูปซังยัง[2]ในยุคราชวงศ์ฉินเลย ทำให้กระแสในภพเซียนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
จักรพรรดิเซียนได้ลิ้มชิมผลดีของการปฏิรูปแล้ว ยิ่งเชื่อถือในตัวเขากว่าเดิม
ยกย่องให้เขาเป็นราชครูแห่งภพเซียน ไม่ต้องเคารพเบื้องสูง ไม่ต้องคารวะเบื้องล่าง ไม่ว่าจะเป็นเบื้องสูงเบื้องล่างหรือจักรพรรดิเซียนล้วนทักทายอย่างเสมอภาคได้…
ส่วนเหล่าขุนนางในราชสำนักเซียนก็ได้มีการผลัดเปลี่ยนกันขนานใหญ่ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เลื่อนผู้มีความสามารถขึ้นมา ปลดลดผู้ที่สามัญลงไป
เทียนโม่เวิ่นชำนาญในการเลือกใช้คนยิ่งนัก สามารถจับจุดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของขุนนางเหล่านั้นได้ จัดวางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด ให้พวกเขาได้แสดงจุดเด่นของแต่ละคนออกมา
เขาอยู่ในภพเซียนแปดปี หลังจากผ่านไปแปดปี ทั่วทั้งบนล่างของภพเซียนล้วนพลิกโฉมหน้าใหม่แล้ว!
แน่นอน เขาทำการปฏิรูปอย่างสะท้านสะเทือนเช่นนี้ สั่นคลอนรากฐานของคนบางส่วน ล่วงเกินคนไปจนไม่อาจนับจำนวนได้แล้ว ที่ต้องการสังหารเขาก็มีอยู่นับไม่ถ้วนเช่นกัน
คนเหล่านี้เล่นลูกไม้ลับหลังเขา ส่งนักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดไปลอบสังหารเขา…
ผลคือ ราชครูเทียนโม่เวิ่นผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นมือดีด้านการปฏิรูปเท่านั้น วรยุทธ์ก็สูงส่งจนน่าพิศวงเช่นกัน ข้างกายรวบรวมผู้มีความสามารถเอาไว้นับไม่ถ้วน ผลคือลูกไม้เหล่านี้ถูกคลี่คลายอย่างง่ายดาย นักฆ่าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็กลายเป็นซาลาเปาเข้าปากสุนัข มีแต่ไปไม่มีกลับ
ถึงขั้นที่นักฆ่าบางส่วนถูกเขาสยบได้ กลายเป็นบริวารที่ทรงพลังของเขาไปเสีย
ช่วงที่กู้ซีจิ่วเดินทางไปยังภพเซียน ย่อมได้ยินถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา เหล่าราษฎรของภพเซียนจากที่แรกเริ่มหมิ่นหยามดูแคลนก็กลายเป็นยอมรับนับถืออย่างเต็มหัวใจ เป็นฝ่ายสรรเสริญคุณงามความดีของเขาออกมาด้วยตัวเอง ถึงขั้นที่เรียบเรียงออกมาเป็นรูปเล่ม แทบจะทำให้เขากลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งไปแล้ว
เธอถึงขั้นที่บังเอิญพบเขาบนท้องถนนหนหนึ่งด้วย ตอนนั้นเธอกำลังเลือกดูเครื่องประดับในร้านค้าแห่งหนึ่งกับฟั่นเชียนซื่อและอูเชียนเหยียน มีข้อพิพาทกับผู้อื่นอยู่
เครื่องประดับของภพเซียนเปี่ยมด้วยไอวิญญาณ สวมใส่แล้วมีผลดีต่อร่างกาย
กู้ซีจิ่วต้องตากำไลหยกวงหนึ่งเข้า กำไลหยกวงนั้นเป็นสีเขียวคราม เบาบางโปร่งใส สวมไว้บนข้อมือแล้วดุจวารีกลุ่มหนึ่ง
เนื่องจากกำไลคู่บุพเพ กู้ซีจิ่วจึงมีเงามืดต่อกำไลอยู่บ้าง หลายปีมานี้ไม่เพียงแต่ซ่อนเร้นบดบังกำไลบนข้อมือเอาไว้เท่านั้น ยังไม่ซื้อกำไลอื่นใดมาสวมใส่เลยด้วย
แต่กำไลวงนี้เป็นกำไลเพียงวงเดียวที่เธอต้องตาในรอบหลายปีมานี้ เธอย่อมต้องการซื้อ
กำไลวงนี้ราคาไม่น้อยเลย แต่สำหรับกู้ซีจิ่วแล้ว ราคานี้ไม่นับว่าเป็นอย่างไรเลย
————————————————————————————-
[1] เอาขนไก่มาทำลูกศร หมายถึง การแอบอ้างอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่มาให้หาผลประโยชน์หรือผลักดันตัวเอง
[2] การปฏิรูปซังยัง การปฏิรูปการปกครองของซังยังประกอบด้วย 4 ด้านหลักๆ คือ ปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบการผลิต จัดตั้งระบบอำเภอ เป็นระบบปฏิรูปที่ก้าวหน้าอย่างยิ่งในยุคนั้น ทั้งส่งผลดีต่อภาพรวมของรัฐฉินอย่างมาก เป็นการปฏิรูปที่ถือได้ว่าเป็นการคุกคาม-สั่นคลอน สถานะของชนชั้นสูงและขุนนางที่มีอำนาจมาช้านาน