บทที่ 124 ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์
ปีกของซูเฉินเคยเป็นสีดำมาก่อนอยู่แล้ว
มันคือสีของราชาอีกาผู้ชั่วร้าย
แต่หลังจากซึมซับพลังจากโทเทมวิญญาณสายลมและสายฟ้าสีของมันก็เปลี่ยนไป
ปีกซ้ายและขวาของเขามีสีที่ต่างกัน ปีกข้างซ้ายในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีอมเขียวและมีหลุมอากาศขนาดเล็กจำนวนหนึ่งหมุนวนอยู่ข้าง ๆ หลุมอากาศเหล่านั้นมีความสามารถในการดูดซึมและส่งผ่านสายลม ส่วนปีกข้างขวาในตอนนี้มีสีน้ำเงินและมีเส้นสายฟ้ากระจายอยู่ทั่วบนพื้นผิว
เมื่อพลังของลมและพายุผนวกเข้าด้วยกัน แสงเจิดจ้าจากปีกทั้งสองก็กระจายไปทั่วโถงแห่งนั้นทันที
ซูเฉินกระพือปีก ร่างนั้นลอยขึ้นไปในอากาศก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงลุ่มลึก “พวกท่านทั้งหลาย…จองหองกันนัก ใช่ไหมล่ะ ?”
จากนั้นชายหนุ่มก็ขยับ…
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
มันยังคงเป็นร่างอวตารสี่หน้าเช่นเดิม ทว่าคราวนี้ปีกคู่หนึ่งเป็นสีดำ
ลักษณ์ของซูเฉินเคยเป็นไปตามที่เขาได้นับมาจากสายเลือดอีกาฉกาจ แต่ตอนนี้เขาเริ่มที่จะพาตัวเองออกมาจากการพึ่งพาสายเลือดนั้นแล้ว และมันถือเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญสำหรับเขา
ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดไม่ได้ทำเพียงแค่งอกปีกขึ้นมา แต่ตอนนี้มันยังถูกห้อมล้อมไปด้วยเมฆสายฟ้าที่ถูกพัดมาพร้อมกับลมกรรโชกอีกด้วย
เดิมทีนั้น ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดของซูเฉินทำเพียงช่วยเสริมกำลังให้เขาในทิศทางใดก็ตามที่เขาจะเชี่ยวชาญ ซึ่งในตอนนี้มันคือเพลิงเงาของเขานั่นเอง
ทว่าซูเฉินไม่ได้พัฒนาพลังเฉพาะในด้านการใช้ลมและพายุเท่านั้น ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดของเขาก็ไม่ธรรมดาอย่างที่เคยเป็นแล้วด้วย
ภาพลวงของลักษณ์ที่ปรากฏนั้นดูราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ
ก่อนหน้าภาพของมันเคยเป็นภาพที่มองออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นภาพลวง ทว่าในขณะนี้ภาพนั้นกับดูเหมือนลักษณ์ที่สัมผัสได้ราวกับว่ามันได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่มีตัวตนขึ้นมาบนโลกนี้จริง ๆ สิ่งนั้นมีสายเลือดของซูเฉินอยู่ในกาย และได้รับพลังของเขามาด้วยเช่นกัน
แต่กลุ่มคนที่รู้จักซูเฉินจริง ๆ นั้นต่างก็รู้ว่านี่ไม่ใช่พลังสายเลือดที่แท้จริงของเขา และไม่มีใครที่จะมอบพลังสายเลือดเช่นนี้ให้กับชายหนุ่มแน่ ๆ
…นี่เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นเอง !
ซูเฉินสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยการซึมซับเอาพลังจากสายเลือดอื่น ๆ และผสานมันเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสายเลือดมนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่าสายเลือดใด ๆ
มันคือลักษณ์เลือดต้นกำเนิดนั่นเอง !
มันมีพื้นที่ไม่จำกัดที่จะขยายขนาดได้ และในตอนนี้… รูปลักษณ์ของมันก็ทำให้ทุกคนต้องตกใจไปตาม ๆ กัน
มันไม่ใช่ภาพลวงที่ไม่ชัดเจนหรือทำได้เพียงแค่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับซูเฉินอีกต่อไป
คราวนี้มันมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ!
“กรรรร !” ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดชูคอขึ้นขณะที่ยืนอยู่ด้านหลังซูเฉินพร้อมกับคำรามอย่างดุดัน
เสียงคำรามนั้นทิ่มแทงจิตวิญญาณและทุกคนที่ได้ยินต่างก็สะท้านด้วยความหวาดกลัว
ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดยกแขนทั้งสองขึ้นในอากาศอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะปล่อยลมหวนที่รุนแรงออกไป ตามด้วยใบมีดที่ก่อตัวขึ้นจากสายฟ้า
“วาตะมรณะ กับดาบเทพอัสนีหรือ ?” เสียงที่อี่หนี่เก้อร้องขึ้นนั้นฟังดูสูงผิดปกติ
ทักษะทั้งสองล้วนเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ที่เปี่ยมด้วยพลังอันยากจะหยั่งรู้
ซูเฉินมีพลังในระดับ 9 แล้วจริง ๆ!
แต่ว่านั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด…
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด… คือการที่เขาสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ได้ในทันทีที่บรรลุพลังต่างหาก !
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด… คือการที่เขาสามารถสร้างภาพลวงที่สามารถใช้วิชาอาร์คาน่าด้วยตัวมันเองได้ด้วย !
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด… คือการที่เขาสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ได้พร้อมกันถึงสองชนิด !
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ แม้จะเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ที่มากประสบการณ์ก็ตาม แต่ลักษณ์ที่ด้านหลังซูเฉินกลับทำเช่นนั้นได้
ตอนนี้ชายหนุ่มห่างจากระดับสูงสุดเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น !
แล้วจะไม่ให้อี่หนี่เก้อทั้งตกตะลึงและหวาดกลัวได้อย่างไรกัน !!
เยี่ยเสิ่นหยางกับคนอื่น ๆ ก็เสียขวัญไม่แพ้กัน
นี่มันจะมากเกินไปแล้ว !
พลังของซูเฉินเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วปานสายฟ้า !
แล้วพวกเขาจะต่อกรกับชายหนุ่มคนนี้ได้อย่างไร ?
วาตะมรณะเป็นทักษะที่ส่งผลทางด้านพื้นที่อีกอย่างหนึ่ง มันห่อหุ้มอี่หนี่เก้อและคนอื่น ๆ เอาไว้ทันทีที่ปรากฏขึ้น แต่ดูเหมือนว่าวิชานี้จะมีความคิดเป็นของตัวเองและเลี่ยงที่จะทำอันตรายกับใครก็ตามที่เป็นมิตรกับซูเฉิน
ดาบเทพอัสนีเป็นการโจมตีแบบล็อคเป้าหมายที่มุ่งตรงเข้าหาหลี่ต้าวหง
เป้าหมายหลักของชายหนุ่มยังคงเป็นหลี่ต้าวหง
“เจ้าไม่มีทางกำจัดข้าได้หรอก !” หลี่ต้าวหงร้องขึ้นด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
เขาพลันหยิบเอาสมบัติมากมายออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลี่ต้าวหงผู้นี้มีข้าวของมากมายจริง ๆ แต่ทุกอย่างที่เขาหยิบออกมาล้วนทำให้เจตสังหารของซูเฉินพลุ่งพล่านมากขึ้นเท่านั้น
และนั่นก็เพราะสมบัติส่วนมากที่เขามีในครอบครองนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง
ชายคนนี้ช่างร้ายกาจและวิตถารจริง ๆ!
ด้วยสายเลือดราชวงศ์แล้ว การจะมีสมบัติมากมายเช่นนี้ได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ความชอบในการนองเลือดที่แสนพิสดารและความชั่วร้ายของหลี่ต้าวหงกลับทำให้เขาเลือดเดินในเส้นทางนี้แทน
และชายคนนี้ต้องตาย !
ซูเฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะมองดูหลี่ต้าวหงที่กำลังวุ่นวายไปหมด “เจ้าคิดว่าวิชาพวกนั้นเป็นแค่เรื่องเดียวที่น่าห่วงหรือ ?”
ชายหนุ่มยกมือที่มีดาบศิราทองคำอยู่ขึ้นมา
เปลวเพลิงลุกโชนและลามไปตามพื้นผิวของใบมีด
การโจมตีของลมและพายุถูกปลดปล่อยออกไปด้วยลักษณ์เลือดต้นกำเนิด โดยที่มือทั้งสองของซูเฉินยังคงไม่ต้องทำอะไรเลย
ขณะที่ความปรารถนาในการต่อสู้ปะทุขึ้นในใจ พลังและความแข็งแกร่งของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นด้วยเช่นกัน
เลือดลมของชายหนุ่มไม่ได้เดือดพล่านเช่นนี้มานานแล้ว
และครั้งนี้ เขากำลังจะรื่นรมย์ไปกับการสังหาร !
อิทธิฤทธิ์ของโทเทมแห่งพลังทำให้ซูเฉินมีพลังกายที่น่าทึ่งนัก วิชาอาร์คาน่าของเขาไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พัฒนาขึ้นในช่วงเวลานี้ !
“ตายซะ !”
ซูเฉินคำรามพร้อมกับส่งดาบศิราทองคำออกไป
หลี่ต้าวหงเคยเห็นใบมีดที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีดำนี้มาก่อนแล้ว แต่สัมผัสที่เขารู้สึกในตอนนี้กลับเทียบได้กับความยิ่งใหญ่ของดาบเทพอัสนีเลยทีเดียว
เพลิงกัลป์สีทะมึนนั้นไม่ได้พัฒนาไปแต่อย่างใด และดาบศิราทองคำเองก็เช่นกัน
แต่เป็นซูเฉินต่างหากที่แข็งแกร่งขึ้น !
พลังของเขาในตอนนี้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมากและเจตสังหารก็กำลังทำงานอย่างเต็มที่ อีกทั้งความเข้าใจในธาตุต่าง ๆ ก็ยังพัฒนาไปอีกไม่น้อย
พลังของชายหนุ่มผสานเข้ากับวิชาอาร์คาน่าได้อย่างงดงามจนทำให้เกิดเป็นการโจมตีที่สง่านัก
“โลหิตชำระมลทิน !” ซูเฉินร้องขึ้น
เขาเป็นคนตั้งชื่อให้กับการโจมตีนี้ด้วยตัวเอง
ซูเฉินจะสามารถลบล้างความมัวหมองที่หลี่ต้าวหงสร้างขึ้นและนำความสว่างกลับคืนมาได้ด้วยเลือดของหลี่ต้าวหงเอง !
ฟึ่บ !
ดาบถูกส่งออกไปอีกครั้ง
หลี่ต้าวหงพบว่าตัวเองไร้ซึ่งหนทางเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้
ตอนที่เขาเลือกใช้น้ำเต้าธารทราย กำแพงทรายก็พังทลายลง และเมื่อเขาใช้ปลอกแขนหยก มันก็แตกสลายไป แม้แต่ธงปีศาจผืนนั้นก็ยังถูกทำลายและปีศาจทั้งหลายก็หนีกระเจิงไป เขาพยายามจะใช้สมบัติทุกชิ้นที่มีแต่ก็พบว่ามันไม่สามารถหยุดการโจมตีของซูเฉินได้เลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มร้องขึ้นอย่างหมดหวังขณะที่คมดาบเคลื่อนเข้าไปใกล้เขาทุกที “ไม่ !!!!”
ฟึ่บ !
ดาบศิราทองคำเฉือนร่างของหลี่ต้าวหง
เสียงร้องของเขาพลันขาดลงในทันใด
ร่างนั้นโซเซไปมาก่อนที่จะขาดออกเป็นสองส่วน
ดาบเล่มนั้นทำลายพลังชีวิตของเขาทั้งหมด ทำให้หลี่ต้าวหงไม่สามารถมีชีวิตได้อีกต่อไป
เขาตายจากการโดนโจมตีเพียงครั้งเดียว
ซูเฉินเก็บดาบเข้าฝักและหันมาคว้าเยี่ยเสิ่นหยางไว้
เงื้อมมือนี้ทรงพลังและอำนาจยิ่งนักราวกับว่าไม่มีใครเลยที่จะสามารถหยุดยั้งมันได้
เยี่ยเสิ่นหยางกระตุ้นพลังขนนกสวรรค์อย่างเต็มที่ “อี่หนี่เก้อ ช่วยข้าหยุดการโจมตีนั่นที ! ข้าจะรวบรวมพลังและผสานขนนกสวรรค์เข้าด้วยกันเพื่อจะได้กำจัดเจ้านั่นไปด้วย !”
“ได้ !” อี่หนี่เก้อตอบรับและโจมตีทันที
ฟึ่บ !
เขาประทับมือลงบนหลงของเยี่ยเสิ่นหยาง ฝ่ามือนั้นสัมผัสอยู่กับปีกของปักษาหนุ่มและแรงของมันก็ทำให้เยี่ยเสิ่นหยางต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะพ่นเลือดออกมาอึกใหญ่
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นก็คือ… ฝ่ายมือนั้นทำให้ขนนกสีทองเส้นหนึ่งหักออกมาจากปีกของเยี่ยเสิ่นหยางด้วย !!
มันคือขนนกสวรรค์นั่นเอง
และเพราะว่าเขาใช้งานมาอยู่เรื่อย ๆ แสงประกายของขนนกนั้นจึงริบหรี่ลงมากทีเดียว
แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ยังเปล่งพลังอันศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่อย่างเดิม
รังสีของเยี่ยเสิ่นหยางแทบจะดับลงในทันใด
เขาหันหน้าไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
อี่หนี่เก้อยืนอยู่ที่ด้านหลังและจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา
“นี่เจ้า…” เยี่ยเสิ่นหยางกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“ขอโทษด้วยนะ ข้ายังไม่อยากตาย” อี่หนี่เก้อตอบกลับทันควัน
มือขนาดใหญ่ของซูเฉินคว้าคอของอี่หนี่เก้อเอาไว้และยกเขาขึ้นไปในอากาศ “แม้แต่นักปราชญ์ก็ยังมีช่วงเวลาที่กลัวความตายด้วยเหมือนกันหรือนี่ ?”
อี่หนี่เก้อเผยยิ้มเบาบาง “นักปราชญ์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน สิ่งมีชีวิตที่ไหนก็ต้องกลัวความตายทั้งนั้นละ ไม่เห็นจะน่าแปลก”
“แล้วทำไมข้าต้องไว้ชีวิตท่านด้วยเล่า… เพราะท่านโจมตีเยี่ยเสิ่นหยางหรือ ? ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าข้าจัดการกับเขาได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่านด้วยซ้ำ”
เสียงของชายหนุ่มถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโครมครามของพายุ
เสียงของฟ้าร้องดังก้องไปทั่วทั้งอาราม
เสียงนั้นไม่ใช่แค่เสียงดังธรรมดา ๆ แต่มันกลับอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งพายุและเป็นการโจมตีที่มีอยู่จริง ๆ คู่ต่อสู้ทั้งหมดกระเด็นออกไป แม้แต่เยี่ยเสิ่นหยางกับตงชิงหมิงก็ไม่เว้น
ซูเฉินคำรามขึ้น “นอกจากคนที่อยู่ในกำมือข้านี่แล้ว ข้าก็ไม่ต้องการให้ใครอื่นใดมีชีวิตอยู่อีก !”
จูเฉินฮ่วน หลี่ฉงซาน และลูกสมุนของนิกายไร้ขอบเขตต่างก็ยินดีที่จะโจมตีและกลืนกินฝ่ายตรงข้ามด้วยแสงดาบของพวกเขา ไม่ว่าพวกนั้นจะร้องขอความเมตตามากเพียงไร สุดท้ายแล้วก็ต้องเสียชีวิตให้กับคมดาบอยู่ดี
ไม่ช้าก็เหลือเพียงอี่หนี่เก้อคนเดียวในโถงใหญ่แห่งนั้น
ขนนกสวรรค์ของเยี่ยเสิ่นหยางกำลังร่วงลงบนพื้น
ไม่มีใครเข้าไปหยิบมันไว้… ทุกคนต่างมองไปที่อี่หนี่เก้อเป็นตาเดียว
ซูเฉินพลันหยุดพลังของเขา ปีกของชายหนุ่มถูกพับเก็บเข้าไปในร่างและลักษณ์เลือดต้นกำเนิดก็สลายหายไป
เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่มือข้างหนึ่งของซูเฉินก็ยังคว้าคอขออี่หนี่เก้อเอาไว้เช่นเดิม “ข้าขอเหตุผลหนึ่งข้อที่ข้าควรไว้ชีวิตท่าน”
อี่หนี่เก้อยิ้มขมขื่น “วางข้าลงก่อนได้ไหม ?”
“ไม่ละ ข้าขอคุยกับท่านแบบนี้ดีกว่า ข้าชอบความรู้สึกของการได้คว้าคอปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ด้วยมือตัวเองจริง ๆ” ซูเฉินตอบกลับไป
“…มือแห่งโชคชะตาและอารามนิรันดร์น่ะเป็นพันธมิตรกัน เท่าที่ข้ารู้ท่านซูกับอารามนิรันดร์ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นกัน”
“อารามนิรันดร์น่ะอวดอ้างความดีของตัวเองนัก ข้าไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ของข้ากับพวกนั้นจะดีแค่ไหนหากเรื่องนี้ยังไม่จบ”
“ข้าหวังว่าท่านซูจะนึกถึงอารามนิรันดร์เวลาที่ต้องตัดสินใจอะไร…”
“ท่านไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับอารามนิรันดร์ตอนที่ร่วมมือกับพวกเขาเลยนี่ ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย หาเหตุผลอื่นเถอะ”
“ถ้าเจ้ายอมไว้ชีวิตข้า มือแห่งโชคชะตาก็ยินดีจะเป็นพันธมิตรกับท่านซูและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกันต่อไป”
“ถ้าข้าไม่สนใจอารามนิรันดร์เลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมข้าจะต้องสนใจมือแห่งโชคชะตาด้วยล่ะ ? ส่วนเรื่องการร่วมมือกันนั่น ท่านรู้ไหมว่าดินแดนนี้มีคนมากมายเพียงไรที่ต้องการจะร่วมมือกับข้า ข้าอาจใช้วิชาใด ๆ ในแดนฝันเสียตอนนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งหินพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาลเลยก็ยังได้ ดังนั้นแล้วการร่วมมือแบบไหนกันล่ะที่ท่านคิดจะเสนอให้กับข้า ?”
“ท่านซู บางอย่างน่ะ ไม่สามารถซื้อได้ด้วยหินพลังต้นกำเนิดหรอกนะ”
“จริงของท่าน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว ท่านมีอะไรอีกไหม ?”
“…” อี่หนี่เก้อเงียบไปชั่วขณะ
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อไป “ในเมื่อท่านซูมายังเขตแดนของเผ่าปักษา นั่นแปลว่าจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างเป็นแน่ ข้าสามารถช่วยเจ้าจัดการกับปัญหาได้สารพัดเรื่องเลยนะ”
“ข้ามาที่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆเพื่อเรียนรู้วิชาอาร์คาน่า รวมถึงลองเสี่ยงโชคเพื่อหาสิ่งของที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน และข้าก็บรรลุจุดประสงค์พวกนั้นแล้ว”
“สิ่งที่หินพลังต้นกำเนิดไม่สามารถซื้อได้…” อี่หนี่เก้อหยุดคิดก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้ารู้จักหลายที่เลยล่ะที่มีของอย่างที่ว่า”
“ที่ไหนล่ะ”
“พระราชวังแห่งเมืองล่องนภาพ หรือแท่นบูชาของนิกายแห่งแม่พระ”
ซูเฉินหัวเราะอย่างเหยียดหยัน “นี่กำลังคิดส่งข้าไปตายหรือไรกัน ?”
อี่หนี่เก้อกัดฟันกรอด “ยังมีอีกที่หนึ่งที่มีของแบบนั้น”
“ว่ามา”
“สถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณและ… ฐานทัพใหญ่ของมือแห่งโชคชะตา !!”