ภาคที่ 5 บทที่ 125 หมดหนทาง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 125 หมดหนทาง

คนคนหนึ่งจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต ?

และคำตอบก็คือ… ทุกอย่าง !!

ซูเฉินเห็นคนหน้าไม่อายเหล่านี้มาแล้วมากมาย อี่หนี่เก้อไม่ใช่คนแรกที่ทำอย่างนี้ และเขาก็จะไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย

ชายหนุ่มจึงถามเขากลับไป “แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร ?”

และคำตอบของอี่หนี่เก้อก็คือ “การควบคุมพลังจิต”

ซูเฉินส่ายหน้า “อย่าได้พยายามจะเล่นอะไรแบบนั้นกับข้า ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 น่ะไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ไม่มีทางที่ข้าจะควบคุมชิ้นส่วนพลังจิตของท่านได้หรอก ต่อให้ท่านต้องการเช่นนั้น แต่ก็ยังมีทางหนีให้ท่านอีกตั้งมากมาย อย่าลืมสิว่าข้าเองก็เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 แล้วเหมือนกัน !”

คนอื่น ๆ อาจขาดประสบการณ์หรือมีพื้นฐานที่ไม่แน่นพอ

แต่ซูเฉินต่างออกไป ร่างแยกของเขาที่อ่านหนังสืออย่างไม่หยุดหย่อนนั้นเพิ่มประสบการณ์ให้กับเขาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่โทเทมวิญญาณสายลมและสายฟ้าก็ได้มอบสัญชาติอันทรงพลังให้กับเขา

ด้วยการผสมผสานระหว่างประสบการณ์กับการรับรู้แล้วนั้น อี่หนี่เก้อจะโกหกเขาได้อย่างไร

ดูเหมือนการโกหกจะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปหน่อย

อี่หนี่เก้อทำได้เพียงหยักไหล่อย่างไร้หนทาง “แล้วเจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรล่ะ”

“รอก่อน” ซูเฉินหลับตา

อี่หนี่เก้อไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังทำอะไร เขาจึงทำได้แค่เพียงรอดูอยู่เงียบ ๆ

อันที่จริงแล้วซูเฉินกำลังรอให้ร่างแยกของเขาอ่านหนังสือต่อไปนั่นเอง

อวี้ชิงหลานเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน และเป็นผู้ครอบครองเคล็ดวิชาไว้จำนวนหนึ่งด้วย

ไม่ช้าซูเฉินก็พบวิชาอาร์คาน่าอย่างหนึ่งที่ใช้ได้ด้วยการพึ่งพาการส่งพลังธาตุเข้าไปในร่างกายศัตรูและควบคุมมันให้ระเบิดออกได้ นั่นแปลว่าชีวิตของอี่หนี่เก้อก็จะตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างสมบูรณ์

แต่ถึงอย่างนั้น วิชานี้เป็นเพียงวิชาอาร์คาน่าระดับ 7 เท่านั้น ทำให้ซูเฉินไม่แน่ใจเลยว่าอี่หนี่เก้อจะลบล้างมันได้อย่างง่ายดายหรือไม่

หากเขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ซูเฉินก็จะต้องหาวิธีการพัฒนาให้มันแข็งแกร่งมากขึ้นให้ได้เสียก่อน

ในเมื่อเลือกที่จะเดินทางนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะเดินต่อไปด้วยการปรับเปลี่ยนวิชาอาร์คาน่านี้เสีย

ขั้นตอนในการปรับปรุงวิชาอาร์คาน่าอาจใช้เวลาหลายปีสำหรับคนอื่น ๆ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ แต่สำหรับซูเฉินที่มีทั้งผลึกวิญญาณและความรู้กว้างขวางมากมายให้ใช้ เขาจึงสามารถทำมันได้ไม่ยากเย็นนัก

ในที่สุด หลังจากการคิดคำนวณอย่างบ้าระห่ำ วิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ก็ถูกนำเอามาใช้จริง ๆ

ซูเฉินลืมตาขึ้นและกล่าวว่า “ทำตัวสบาย ๆ และอย่าพยายามต้านทานล่ะ”

อี่หนี่เก้อไปกล้าขัดคำนั้นขณะที่นิ้วของซูเฉินสัมผัสลงบนหน้าผากของเขา

อี่หนี่เก้อรู้สึกประหลาดเหลือเกินกระแสพลังที่รุนแรงกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางนิ้วของฝ่ายตรงข้าม

นี่มันวิชาอาร์คาน่าประเภทไหนกัน ?

ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาแบบนี้มาก่อนเลย !

อี่หนี่เก้อทั้งตกตะลึงและหวาดกลัว

เขาสัมผัสได้ว่าพลังที่พุ่งเขาสู่ร่างกายนั้นหายไปจากความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว

แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็รู้ดีว่าพลังพวกนั้นไม่ได้หายไปไหน มันยังคงซ่อนตัวอยู่ภายในร่างกายของเขา ซึ่งทำให้อี่หนี่เก้อไม่สามารถลบล้างมันได้เลยนั่นเอง

ซูเฉินพูดขึ้น “นี่คือวิชาอาร์คาน่าที่ข้าสร้างขึ้นเอง ถ้าท่านทรยศต่อข้า มันก็จะระเบิดออกจากภายในร่างของท่านเอง ถ้าท่านขจัดมันได้ ก็ลองดูแล้วกัน ทำตามที่ต้องการได้เลย”

ซูเฉินไม่มีทางขอให้อี่หนี่เก้อไม่คิดหาวิธีหนีจากการควบคุมของเขาได้อยู่แล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้มีปัญหาอะไรหากเขาจะต้องใจกว้างสักหน่อย หากอี่หนี่เก้อต้องการจะหนีไปจริง ๆ เขาก็มีอิสระที่จะทำอย่างนั้นหากสามารถทำได้จริง ๆ

อี่หนี่เก้อเองก็ได้พูดไปชัดเจนแล้วว่าเขาไม่กล้าที่จะคิดทำอย่างนั้นแน่ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดนี้…

หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ซูเฉินก็เริ่มตรวจสอบดูสิ่งของที่ริบได้มา

เขาได้ขนนกสวรรค์มากสองเส้น กับลูกบอลสีแดงลูกหนึ่ง

ชายหนุ่มรู้จักขนนกสวรรค์อยู่แล้ว แต่เขายังไม่รู้เลยว่าเจ้าลูกกลม ๆ สีแดงนี้คืออะไรกันแน่

อี่หนี่เก้อจึงกล่าวขึ้น “นายท่าน ข้าคิดว่าข้ารู้จักสิ่งนั้น”

“หือ อย่างนั้นก็บอกข้ามาสิ”

“ข้าว่ามันน่าจะเป็นแก่นวิญญาณที่อวี้ชิงหลานทิ้งไว้”

“แก่นวิญญาณอย่างนั้นหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจ “มีแต่เผ่าวิญญาณไม่ใช่หรือที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ แล้วเขาจะมีแก่นวิญญาณได้อย่างไรกัน”

“ข้าก็กำลังจะบอกเช่นนั้นเหมือนกัน อวี้ชิงหลานเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน และเขาต้องการจะนำความรุ่งเรืองมาสู่ชาวเผ่าปักษา ดูเหมือนว่าเขาคิดจะหาวิธีการในการสร้างร่างที่ไร้ตัวตนอย่างที่พวกเผ่าวิญญาณทำได้ และทำแม้กระทั่งไปยังถ้ำว่านไหลเพื่อหาแรงบันดาลใจ เขาได้ความรู้ของเผ่าวิญญาณมาจากที่นั่นด้วยละ”

“นี่ท่านไม่ได้กำลังบอกว่าเขาพยายามเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเผ่าวิญญาณหรอกใช่ไหม ?” ซูเฉินรู้สึกขบขัน

“ไม่ใช่อยู่แล้ว เผ่าวิญญาณเองก็พยายามมานานหลายหมื่นปีเพื่อที่จะเปลี่ยนพวกอื่นให้เป็นเผ่าวิญญาณด้วยกัน แต่พวกนั้นก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ อวี้ชิงหลานเองก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่เขาต้องการจะทำก็คือพึ่งพาทักษะและวิชาของเผ่าวิญญาณเพื่อส่งต่อพลังจิต และทำให้เผ่าปักษามีพลังจิตที่แข็งแกร่งได้ด้วย”

“ท่านหมายถึง… การส่งต่อพลังหรือ ?”

“ใช่แล้ว การส่งต่อพลังจิตผ่านแก่นวิญญาณ” อี่หนี่เก้อตอบ “ข้าคิดว่าเขาทำสำเร็จในที่สุด และนี่ก็น่าจะเป็นแก่นวิญญาณที่อวี้ชิงหลายทิ้งไว้หลังจากที่เขาตาย หากเจ้าใช้มัน เจ้าก็จะได้รับพลังจิตของอวี่ชิงหลายมาด้วย และจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังของตัวเองได้ เจ้าอาจสามารถสร้างร่างที่มีพลังจิตของตัวเองขึ้นมาได้ด้วยซ้ำไป”

ซูเฉินกล่าวต่อไปด้วยเสียงเยือกเย็น “นี่ท่านกำลังพยายามพูดให้ข้าใช้มันใช่หรือไม่ ? อี่หนี่เก้อ อย่าคิดจะเล่นตุกติกกับข้า ข้าไม่เชื่อเลยสักนิดว่าสิ่งนี่จะดี แก่นวิญญาณที่เป็นของคนอื่นน่ะ… บางทีถ้าข้าใช้มัน นั่นอาจเป็นการเชิญให้ความนึกคิดของคนอื่นเข้ามาในวิญญาณของข้าด้วยก็ได้ !”

อี่หนี่เก้อหัวเราะอย่างขมขื่น ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขากำลังพูดความจริงหรือโกหกอยู่กันแน่

แต่ไม่ว่าอี่หนี่เก้อจะกำลังคิดอะไรอยู่ ซูเฉินก็ปฏิเสธที่จะใช้สิ่งนั้น

ผ้าเท่อลั่วเค่อได้ทดลองบางอย่างที่คล้ายกันนี้กับเขาที่ซากโบราณลุ่มน้ำทอง อย่างไรแล้ว การเป็นอมตะก็เป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต่างปรารถนาที่จะได้ครอบครอง อวี้ชิงหลานอาจเป็นคนทะเยอทะยานมุ่งหวังพัฒนาเพื่อเผ่าปักษาก็จริง แต่ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะมีด้านที่เห็นแก่ตัวอยู่บ้าง

ซูเฉินรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่มาได้ไม่นานพอที่จะพยายามรับเอาแก่นวิญญาณที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานได้ทิ้งไว้

แต่แค่เพราะเขาไม่ได้คิดที่จะใช้มัน ก็ไม่ได้หมายความว่าแก่นวิญญาณนั้นจะไม่มีค่าใด ๆ เลย วิทยาการอาจยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ยังมีความสำเร็จบางอย่างในสิ่งนี้ที่ควรค่าให้ซูเฉินได้ศึกษา

พลังจิต…. อันที่จริงและยังมีอุปสรรคอีกหนึ่งอย่างที่เขาจะต้องเผชิญในอนาคต

แม้ว่าซูเฉินจะสามารถแข็งแกร่งและบรรลุพลังได้ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะทำเช่นนั้น ชายหนุ่มต้องการที่จะพัฒนาโอกาสของความสำเร็จให้มีมากขึ้น เพื่อให้คนที่ไม่มีสายเลือดทั้งหลายได้มีโอกาสและศักยภาพมากขึ้นไปด้วย

อย่างไรแล้วในตอนนี้เขาก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ซึ่งทำให้ตัวเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินและตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่ได้ต้องการจะบรรลุพลังต่อไปในทันที

เขายังสามารถใช้เวลานี้เพื่อการศึกษาและเรียนรู้ได้อีกมาก

ซูเฉินไม่ได้ยืนกรานแต่อย่างใดและเก็บลูกกลมนั้นไปพร้อมกับขนนกสวรรค์ทั้งสอง

ซูเฉินรู้อยู่แล้วว่าทำไมเยี่ยเสิ่นหยางถึงไม่ต้องการที่จะเอาขนนกสวรรค์ออกมา เพราะเมื่อมันถูกเปิดต่อสายตาคนอื่นแล้ว พลังของมันก็จะเหือดหายไปในทันที ต้องขอบคุณผลึกแก้วที่ตำหนักมีนั้นถูกออกแบบมาเพื่อผนึกขนนกสวรรค์ ซูเฉินจึงปิดผนึกขนนกนั้นไว้ข้างในเพื่อวิเคราะห์มันต่อไปในอนาคต

แต่เพราะพลังที่หดหายไปเรื่อย ๆ ของขนนก การจะค้นคว้ามันจึงจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากทีเดียว

ดังนั้นคำแนะนำของอี่หนี่เก้อจึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน หากเป็นไปได้ เขาเองก็อยากนำขนนกทั้งสองจากนิกายแห่งแม่พระไปด้วยเช่นกัน

ใช่… ยังมีฐานบัญชาการของมือแห่งโชคชะตาและสถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณที่ต้องไปค้นหาอีก

ซูเฉินเก็บสมบัติไปและกล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรเตรียมตัวออกเดินทางไปยังสถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณกัน”

อี่หนี่เก้อกล่าวเตือน “ยังมีเผ่าปักษาอยู่ที่นอกตำหนักอีก…”

ชายหนุ่มหมายถึงตระกูลกุยซานและเผ่าปักษาอื่น ๆ ที่มาที่นี่เผื่อเสี่ยงดวงด้วย

หลังจากคิดคำนวณดูแล้ว ซูเฉินก็ตอบกลับไป “ใครบางคนต้องเป็นผู้รับผิดชอบการตายทั้งหมดของเผ่าปักษาพวกนั้น อี่หนี่เก้อ ข้าเกรงว่ามือแห่งโชคชะตาจะต้องรับภาระเรื่องนี้ไปแล้วละ”

อี่หนี่เก้อเข้าใจความหมายที่ฝ่ายตรงข้ามจะสื่อ “เข้าใจแล้ว เราต้องเล่นละครให้พวกปักษาข้างนอกนั่นสักหน่อย แต่ลูกสมุนของท่านก็ต้องมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”

หลี่ฉงซานหัวเราะ “ไม่ยากเลยนี่ เราจะหลอกพวกนั้นว่าเราแค่ต้องการจะเก็บสมบัติพวกนี้ไว้เอง แต่เราก็ถูกส่งมาโดยปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ซึ่งนั่นน่าจะดีกว่าที่พวกปักษารู้ว่ามนุษย์บางคนได้ครอบครองสมบัติพวกนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาอาจตามล่าพวกเราอย่างไม่ลดละแน่”

“ถูกต้อง ” จูเฉินฮ่วนพยักหน้า “ได้เวลาที่เราต้องไปแล้วละ ซูเฉิน ดูแลตัวเองด้วย อี่หนี่เก้อคนนี้ลื่นไหลนัก ระวังอย่าเชื่อเขาง่ายเกินไป”

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ข้ามีผู้ช่วยอีกคนที่พยายามจะทำอะไรที่คล้าย ๆ กัน ท่านรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ?”

ชายหนุ่มกำลังพูดถึงจือฮัวนู๋นั่นเอง

คนของมือแห่งโชคชะตาพวกนี้ต่างมาจากองค์กรเดียวกัน ดังนั้นวิธีการต่าง ๆ ที่พวกเขาใช้จึงคล้ายคลึงกันทั้งหมด พวกนั้นมักจะยอมแพ้ทันทีที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากนั้นจึงค่อยหาโอกาสที่จะโจมตีกลับในภายหลัง

แย่หน่อยที่คราวนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างซูเฉิน

ด้วยไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดแล้ว ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าฝ่ายตรงข้ามคิดจะทำอะไร ตราบใดที่เขายินดีจะจ่าย

เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฉิน ทุกคนก็เข้าใจในทันที

ฉือไคฮวงตบบ่าซูเฉิน “ระวังให้มากล่ะและอย่าไปหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น ยิ่งเจ้ากลับมาได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ค่ำคืนที่ยาวนานน่ะตามมาด้วยฝันร้ายเสมอ”

ซูเฉินยิ้ม “เข้าใจแล้ว ข้าจะระวัง”

ฉือไคฮวงมองกลับไป “เจ้าก็พูดแบบนี้อยู่เรื่อย”

ฉู่อิงหว่านเดินเข้าไปและกระซิบกับซูเฉิน “รีบกลับมาแล้วเราจะได้ดื่มฉลองด้วยกัน”

ซูเฉินหันไปมองฉู่อิงหว่านผู้มีใบหน้าแดงก่ำเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ซูเฉินยินดียิ่งนัก เขากล่าวกับฉือไคฮวง “ยินดีด้วย ท่านอาจารย์”

ฉือไคฮวงกระแอมไอด้วยท่าทางเคอะเขินก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก ส่วนคนที่เดินตามเขาไปได้แต่หัวเราะคิกคักกันอย่างเงียบ ๆ

อิงอิงยังคงยืนมองอยู่ไม่ไกลออกไป

ประตูตำหนักเปิดออก แม้ว่าทุกคนต่างต้องการที่จะเข้าไปข้างใน แต่ก็รู้ว่าด้านในตำหนักนั้นมีแต่ปรมาจารย์ผู้ทรงพลังที่อาจเอาชีวิตพวกเขาไปได้

แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ไม่อยากจะกลับออกไปเฉย ๆ อย่างนี้

อิงอิงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายท่านชิงเฮิ่น

นางเชื่อว่านายท่านชิงเฮิ่นจะไม่เป็นไร แต่ก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาและอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้

หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เสียงโครมครามก็พลันดังขึ้นจากด้านในตำหนัก

คนกลุ่มใหญ่แห่แหนออกมาจากในนั้น…

ทุกคนต่างเคยเห็นคนกลุ่มนี้มาก่อน พวกเขาคือกลุ่มสุดท้ายที่เข้าไปในดินแดนลึกลับ แต่เพราะว่าคนเหล่านี้มีจำนวนมากเหลือเกิน จึงไม่มีใครเลยที่กล้าจะเข้าไปขวางทางพวกเขาไว้ อีกทั้งไม่มีใครคาดคิดเลยว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่ปรากฏตัว

กลุ่มคนจำนวนมากพุ่งตัวเข้าไปด้านในด้วยความมั่นใจในตอนแรก แต่ตอนนี้พวกเขากลับออกไปด้วยท่าทางตื่นตระหนกและส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างไม่หยุดหย่อน “เร็วเข้า ! วิ่ง !”

อี่หนี่เก้อพุ่งตัวออกไปอย่างเต็มแรง ขณะที่วิชาอาร์คาน่าระดับ 9 กระจายไปทั่วทุกทิศทาง

อี่หนี่เก้อเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่กลางอากาศและถือขนนกอยู่ในมือ มันคือขนนกสวรรค์นั่นเอง !

อี่หนี่เก้อกล่าวขึ้นอย่างโอหัง “สมบัติพวกนี้เป็นของข้า ! ถ้าพวกเจ้าไม่อยากตาย ก็ไปให้พ้นจากที่นี่ซะ !”

ผู้คนกระจัดกระจายออกไปทันที

อี่หนี่เก้อหันมองดูบริเวณโดยรอบก่อนจะจากไป

อะไรต่อล่ะ ?

คนพวกนั้นไปกันหมดแล้ว

พวกนั้นไป… ง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ ?

เผ่าปักษาที่วิ่งวุ่นต่างสบตากันด้วยความสับสนว่าควรจะทำอย่างไรดี

ในที่สุดบางคนก็กล้าพอจะเดินเข้าไปข้างใน แต่แล้วพวกเขาก็ต้องวิ่งกลับออกมาด้วยความหวาดกลัวในไม่ช้า “คนที่ไม่ได้ออกมาข้างนอกนี่ตายหมดแล้ว !”

อะไรกัน

เผ่าปักษาได้ยินดังนั้นก็ตะลึง

หรือว่าเยี่ยเสิ่นหยางจะ….

อิงอิงใจสั่นไปหมด นางวิ่งตรงเข้าไปข้างในและพบว่าบนพื้นของตำหนักเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ ไม่มีใครรอดชีวิตเลย

“นายท่านชิงเฮิ่น ! นางท่านชิงเฮิ่น !” อิงอิงร้อง

ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ

หรือว่านายท่านชิงเฮิ่นจะตายแล้วจริง ๆ?

อิงอิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นขณะที่น้ำตาไหลอาบหน้า

“ตามหาข้าอยู่หรือ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

อิงอิงตกใจ นางหันหน้ากลับไปและพบว่าซูเฉินกำลังส่งยิ้มกว้างกลับมา

เมื่อเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม อิงอิงยังคงยืนนิ่ง นางปาดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองและยิ้มตอบกลับไป