บทที่ 2843 มรสุมงานเลี้ยงวันเกิด 2
ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าท่านนักบวชราชครูที่อาศัยการวางแผนมีชัยเหนือใต้หล้าได้คนนี้ จะไม่เพียงแต่วางกลยุทธ์ได้เลิศล้ำเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความสามารถด้านอื่นด้วย สลักเจียระไนเครื่องประดับที่วิจิตรเลิศล้ำเช่นนี้ออกมาได้!
สายตานับไม่ถ้วนล้วนร่อนลงบนร่างของตี้ฝูอี มีทั้งประหลาดใจ เลื่อมใส ไม่อยากเชื่อ…
มีเพียงถูซานอิงที่ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยพึมพำ “ที่แท้ท่านคิดหาสารพัดวิธีการเพื่อไปยังกรุสมบัติประจำตระกูลของเราก็เพื่อรังสรรค์สิ่งนี้…ข้าหลงนึกว่าท่านจะซ่อมฟ้าเสียอีก…”
นางเอ่ยเสียงเบายิ่ง คล้ายรำพึงออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
แต่เนื่องจากในห้องโถงเงียบเชียบยิ่ง คำรำพันนี้ของนางจึงโดดเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ ย่อมได้ยินแจ่มชัด
กู้ซีจิ่วมองไปที่นางทันที “หมายความว่ายังไง?”
ถูซานอิงมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีไม่มีท่าทีอื่นใด และไม่มีท่าทางว่าจะห้ามไม่ให้นางพูด นางจึงทำใจกล้ากล่าวอธิบายว่า “ทูลพระองค์เจ้า บรรพบุรุษของเสี่ยวหวางเคยมีหยกงามก้อนหนึ่งตกทอดกันมา เล่าขานกันว่าเป็นสิ่งที่เหลือจากการซ่อมแซมนภาของทวยเทพบรรพกาล เป็นสิ่งที่รวบรวมไอวิญญาณห้าธาตุของใต้หล้าไว้ สิ่งนี้สามารถรวบรวมไอวิญญาณจากฟ้าดินได้เอง สถานที่ที่มีสิ่งนี้อยู่ต่อให้เคยแร้นแค้นไอวิญญาณแค่ไหน ก็สามารถพรั่งพร้อมสมบูรณ์ขึ้นมาอีกครั้งได้ กลายเป็นชัยภูมิอันเลิศล้ำ”
ฝูงชนพุดไม่ออกเลย นี่มันอ่างรวมทรัพย์ชัดๆ! ไม่สิ อ่างรวมวิญญาณต่างหาก
สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ไอวิญญาณคือพื้นฐานในการดำรงชีพ ผู้คนมากมายเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญได้ออกเดินทางเสาะหาสถานที่อุดมไอวิญญาณไปทั่วสารทิศ ที่หกภพภูมิก่อศึกแย่งชิงกันกว่าครึ่งก็เป็นเพราะแย่งชิงพื้นที่อุดมไอวิญญาณ
หากว่ามีหยกนี้อยู่ข้างกาย ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพื้นที่อุดมไอวิญญาณไปทั่วสารทิศแล้ว!
คนที่มีสัมผัสค่อนข้างไวต่อพลังวิญญาณเอ่ยกระซิบขึ้นมาแล้ว “ไอวิญญาณภายในห้องโถงคล้ายจะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลย…”
กล่าวอีกนัยคือ เครื่องประดับที่สร้างจากหยกชนิดนี้ก็สามารถรวบรวมไอวิญญาณได้เช่นกัน
สายตาริษยานับไม่ถ้วนมองไปที่เครื่องประดับชุดนั้น…
หากมิใช่เพราะเครื่องประดับชุดนี้อยู่ในมือกู้ซีจิ่วล่ะก็ เกรงว่าคงมีคนอดใจไม่ไหวเข้าไปแย่งชิงแล้ว!
จิตใจกู้ซีจิ่วก็สั่นไหวเช่นกัน สายตาของเธอร่อนลงบนร่างของตี้ฝูอี “เครื่องประดับชุดนี้ เจ้ารังสรรค์ขึ้นมาเพื่อเปิ่นจุนโดยเฉพาะหรือ?”
ฝูอียิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่ถามกลับประโยคหนึ่ง “พระองค์เจ้าชอบหรือไม่?”
“ชอบ”
‘ชอบก็ดีแล้ว ขอเพียงพระองค์เจ้าตอบรับเงื่อนไขของข้าพเจ้าประการหนึ่งเครื่องประดับชุดนี้ก็จะยกให้พระองค์เจ้า’ ตี้ฝูอีพลันส่งกระแสเสียงหากู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วผงะไปเล็กน้อย ในใจคาดเดาอะไรได้รางๆ แล้ว ช้อนตามองเขา ‘เงื่อนไขอะไร? เพิกถอนการรับศิษย์งั้นหรือ?’
ตี้ฝูอีชะงักไปแวบหนึ่ง พยักหน้ารับ ‘พระองค์เจ้าน่าจะทราบดีว่าเครื่องประดับชุดนี้มีความหมายอย่างไรต่อท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องไปฝึกฝนที่แดนน้ำแข็งแห่งนั้นทุกปีแล้ว เพียงสวมใส่เครื่องประดับนี้วันละหกชั่วยาม ก็เทียบได้กับการฝึกฝนในแดนน้ำแข็งหนึ่งวัน หากว่าวางเครื่องประดับชุดนี้ไว้ในหุบเขาเสียงสวรรค์ ก็จะทำให้เขตแดนของหุบเขาเสียงสวรรค์แข็งแกร่งไม่แตกพ่าย ไม่ถูกผู้ใดทำลายได้อีก และขอเพียงพระองค์เจ้าเพิกถอนพันธะนั้นเสีย ก็จะได้มันไปครอง’
เงื่อนไขนี้กล่าวได้ว่าเย้ายวนใจคนยิ่ง กู้ซีจิ่วหลุบตาลงครู่หนึ่ง ‘เจ้าไม่ยินดีรับข้าเป็นอาจารย์ขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าดูเอาเถิด เจ้าไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เปิ่นจุนก็มิเคยแพร่งพรายต่อผู้ใด อาคมนั้นเปิ่นจุนก็ไม่เคยใช้อีกเลย…’
นัยน์ตาเธอมีแววโศกหมองอยู่เลือนราง ‘อันที่จริงแล้วเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ไม่มีผลเสียเลยสักนิด แล้วไยเจ้าต้อง…’
‘พระองค์เจ้า กราบอาจารย์รับศิษย์จะต้องยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ไยพระองค์เจ้าต้องฝืนใจผู้อื่นให้จงได้เล่า?’ สายตาตี้ฝูอีกดดันคน
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าตี้ฝูอีนำสิ่งนี้มาแลกเปลี่ยนด้วยความจริงใจที่เปี่ยมล้น แต่ว่า…เธอค่อยๆ ปิดฝากล่องใบนั้นให้ดี
————————————————————————————-
บทที่ 2844 มรสุมงานวันเกิด 3
เธอค่อยๆ ปิดฝากล่องใบนั้นให้ดี เอ่ยเสียงเรียบ “เครื่องประดับชุดนี้ของท่านผู้สูงศักดิ์มีมูลค่าสูงเกินไป เปิ่นจุนไม่อาจรับไว้ได้ โปรดนำกลับไปเถิด”
โบกแขนเสื้อเบาๆ กล่องใบนี้ลอยกลับเข้าสู้อ้อมแขนของตี้ฝูอีอีกครั้ง
ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปทันที เงยหน้ามองนาง
ทว่านางกลับไม่มองเขาแล้ว ลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “เปิ่นจุนเหนื่อยแล้ว ไม่อยู่ร่วมงานแล้ว เชียนซื่อ เชียนเหยียน พวกเจ้าช่วยเปิ่นจุนรับรองแขกให้ดีด้วยล่ะ”
พลันหมุนกายหายลับไป
ฝูงชนเงียบงัน…
บทสนทนาก่อนหน้านี้กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงพูดคุยกัน คนนอกจึงไม่ได้ยินเลย ดังนั้นฝูงชนล้วนไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ พากันมองไปที่ตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีหลุบตามองกล่องในมือเหม่อลอยไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็ยิ้มแวบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นเป็นยิ้มเยาะหรือยิ้มหยัน หันหลังจากไปเช่นกัน
….
กู้ซีจิ่วกำลังดื่มสุราอยู่
เป็นสุราที่ฟั่นเชียนซื่อกลั่นขึ้นจากใบไผ่ขจีบ่มเอาไว้สิบปีแล้ว
ฟั่นเชียนซื่อใส่ใจยิ่ง ตั้งแต่เขารู้ว่ากู้ซีจิ่วชอบดื่มสุรา ก็เริ่มเสาะหาปรมาจารย์กลั่นสุราที่ดีที่สุดจากหกภพภูมิเพื่อร่ำเรียนการกลั่นสุรา หลังเรียนรู้สำเร็จก็กลั่นสุราให้กู้ซีจิ่วหลายไห เก็บเอาไว้มาตลอดจวบจนถึงยามนี้
นำมาเปิดในงานวันเกิดหนนี้เป็นครั้งแรก กู้ซีจิ่วดื่มเข้าไปคำหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย จึงหยิบออกมาทีเดียวสามไห นั่งดื่มกินเพียงลำพังอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
ยามที่ฟั่นเชียนซื่อกลับมาจากส่งแขกเหล่านั้นจากไปแล้ว ก็เห็นกู้ซีจิ่วนั่งพิงเสาต้นหนึ่งอยู่ ข้างกายนางมีไหสุราเปล่าวางอยู่สามใบ
“อาจารย์?” เขาเรียกเบาๆ
กู้ซีจิ่วพริ้มตาเอนพิงอยู่ตรงนั้น ไม่มีความเคลื่อนไหว กลิ่นสุราบนร่างโชยเข้าจมูก ดูเหมือนจะเมาหลับไปแล้ว
“อาจารย์ ที่นี่ลมเย็น กลับไปนอนที่ห้องไหมขอรับ?” ฟั่นเชียนซื่อขยับเข้าไปสองก้าว ยืนอยู่ข้างกายนาง
นางยังคงไม่เคลื่อนไหว แพขนตาหลุบต่ำ ปรางแก้มขาวแดงเรื่อ ลมหายใจเข้าออกล้วนอวลกลิ่นสุราเอาไว้จางๆ คละเคล้ากับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์บนกายนาง แม้แต่อากาศรอบข้างก็คล้ายว่าจะหอมฟุ้งไปหมด
สายตาที่ฟั่นเชียนซื่อมองนางล้ำลึกขึ้น ย่อกายลงเล็กน้อยพยุงนางขึ้นมา “อาจารย์ ศิษย์จะส่งท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องนะขอรับ”
นิ้วมือเขาสัมผัสท่อนแขนนาง ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้หัวใจเขาเต้นกระหน่ำแล้ว…
หลายปีมานี้ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเลิกตั้งแง่เว้นระยะกับเขาแล้ว แต่ก็ถูกเนื้อต้องตัวเขาน้อยยิ่ง ต่อให้เป็นตอนที่ถ่ายทอดวรยุทธ์นางก็จะแสดงตัวอย่างอยู่ด้านหน้า แล้วให้เขาเรียนรู้อยู่ข้างหลัง…
นานๆ ครั้งจะได้สัมผัสกันก็เป็นเพียงตอนที่วัดฝีมือเท่านั้น แต่ช่วงเวลานั้นนางจะลงมืออย่าไม่ไว้ไมตรีเลย เขาใจลอยไปเพียงนิดก็จะถูกนางทุบตีจนหน้าบวมจมูกช้ำแล้ว…
ดังนั้นต่อให้สัมผัสกัน ความรู้สึกนั้นก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ และเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองคิดวอกแวกด้วย
ตอนนี้นางเมามายแล้ว…
เขาพยุงนางขึ้นมา นางที่เมามายแล้วเชื่อฟังนัก ดวงตาหรี่ปรือกึ่งๆ พิงอยู่บนร่างเขา ลมหายใจอวลกลิ่นสุราเป่ารดผู้อื่น
ที่นี่อยู่ห่างจากเรือนนอนของเธอกว่าสองร้อยเมตร ด้วยวรยุทธ์ของฟั่นเชียนซื่อ ขอเพียงเขาใช้อาคมนิดหน่อย ก็สามารถส่งเธอไปถึงเตียงในห้องนอนได้ภายในครึ่งนาที
แต่เขากลับไม่คิดจะใช้วรยุทธ์ เพียงพยุงนางเดินอย่างเชื่องช้าไปทีละก้าวๆ
เพียงหวังให้ระยะทางยาวไกลขึ้นหน่อย ไกลขึ้นอีกสักหน่อย…
แต่ต่อให้ระยะทางจะไกลแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่เดินไปถึงจุดสิ้นสุด ในที่สุดเขาก็พยุงนางเข้ามาในเรือนนอน พาไปส่งไว้บนเตียงแล้ว
เขายกขาของนางขึ้นไว้บนเตียงด้วย ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้นาง ถอนหายใจเบาๆ ขณะที่กำลังจะจากไป จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เอ่ยงึมงำออกมาประโยคหนึ่ง “เพราะอะไรล่ะ? เพราะอะไรถึงไม่อยากกราบข้า…กราบข้าเป็นอาจารย์?” ในสุ้มเสียงของนางมีความฉงนปนอยู่รางๆ