ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 151 สังหารในลมหายใจเดียว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

อู๋ฉยงปี้ล้มลงในแอ่งน้ำบนพื้น

ชุดนักพรตของนางถูกเผาจนกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว ใบหน้าซีดขาว ร่างกายนางเปียกโชก สรุปก็คือนางอยู่ในสภาพที่น่าอนาถอย่างยิ่ง

ทว่านางไม่สนใจอันใด ตะเบ็งเสียงกรีดร้องสุดเสียง

นางรู้ว่าสามีได้ใช้ดอกไม้แดงปกป้องนาง ซึ่งเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง

สถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ต้องการจะสังหารตั้งแต่แรกไม่ใช่นางแต่เป็น…เขา

เปี๋ยยั่งหงได้ยินคำภรรยา ก็ย่อมรู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร การเสียดอกไม้แดงไปทำให้เขาอ่อนแอที่สุดในตอนนี้

แต่เขาไม่อาจจากไปเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้มาถึงแล้ว

ปีกหงส์สีดำปรากฏขึ้นในความมืดราวกับเงาแห่งความตาย

ไม่มีสิ่งใดเร็วไปกว่านาง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของอู๋ฉยงปี้หรือความคิดของเปี๋ยยั่งหง

กำปั้นอันดูบอบบางปรากฏขึ้นตรงหน้าเปี๋ยยั่งหง

กำปั้นนี้ดูเหมือนจะบรรจุพลังของโลกนี้เอาไว้ ห่อหุ้มรอบกายเขาเอาไว้

เปี๋ยยั่งหงรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะไปทางไหน ก็ไม่อาจหลบจากการห่อหุ้มนี้ได้ เว้นแต่เขาจะสามารถพุ่งขึ้นสู่สวรรค์หรือจมลงในพื้นดิน

แต่พื้นดินแข็งเกินไป และด้วยข้อจำกัดของสุสานเทียนซูนั้นต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจบินได้ แล้วเขาจะหนีได้อย่างไร

นิ้วก้อยเขาสั่นเล็กน้อย และด้ายที่เดิมทีผูกดอกไม้แดงไว้ก็ลอยขึ้น

ประหนึ่งมีด้ายที่มองไม่เห็นร่วงลงมาจากท้องฟ้าพร่างดาวสู่สุสานเทียนซู มัดร่างเขาเอาไว้

ร่างเขาลอยขึ้นในลักษณะที่ยากจะเข้าใจได้

เมื่อสองเท้าลอยขึ้นจากพื้น กำปั้นสีขาวบริสุทธิ์ก็มาถึง

เหมือนกับว่าการดิ้นรนของเขาจะไร้ค่า แต่ก็ถูกจังหวะทีเดียวเพราะกำปั้นนั้นไม่ได้ตกลงบนใบหน้าแต่เป็นท้อง

ในตอนนั้นเอง เส้นด้ายซึ่งมัดอยู่รอบนิ้วก้อยแกว่งอยู่หน้าท้องเขา

เสียงกึกก้องปานสายฟ้าฟาดดังขึ้นในสุสานเทียนซู รอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏบนที่ราบหินและน้ำในลำธารก็เดือดเป็นไอขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นหมอกควัน

มีเส้นทางปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอก ทอดยาวเข้าสู่ป่ามืดมิดในสุสานเทียนซู

เส้นทางนั้นก็ปรากฏในป่าเช่นกัน พื้นดินเต็มไปด้วยต้นไม้ที่โค่นล้ม

ปลายทางเป็นแม่น้ำนอกสุสานเทียนซู บนพื้นแม่น้ำที่แห้งไปนานแล้วมีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เศษหินแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ปลอมกองอยู่ภายในหลุม

เปี๋ยยั่งหงนอนอยู่ตรงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหัก ท้องยุบลงไป ร่างกายโชกเลือด

ปีกหงส์ดำกระจายไปในความมืดและกำปั้นสีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พุ่งเข้าหาเปี๋ยยั่งหง เห็นได้ชัดว่าไม่มอบเวลาให้เขาได้พักหายใจ

อู๋ฉยงปี้กรีดร้องและพุ่งไปทางนั้นอย่างบ้าคลั่ง

พายุหิมะยังต่อสู้กับดาวตกที่ต้นถนนเสิน ประกายความโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าธรรมดาสามัญของกวนซิงเค่อ

เขาไม่คาดคิดว่าแม้แต่เปี๋ยยั่งหงที่มีการบำเพ็ญเพียรระดับนี้ก็ยังไม่อาจรับหมัดเดียวของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้

เขาไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สามารถฆ่าเปี๋ยยั่งหงได้ในการโจมตีครั้งเดียว เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นรายต่อไป

ดาวตกดวงน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนทิศกลางท้องฟ้าราตรี ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาว หมู่ดาวตกพุ่งไปยังแม่น้ำนอกสุสานเทียนซู โจมตีเข้าใส่หลังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์!

พายุหิมะกวาดพัดมา ทำให้ร่างของกวนซิงเค่อเต็มไปด้วยรอยบาดเล็กๆ จำนวนมากมายในทันที บาดแผลทั้งหมดเกิดจากเจตจำนงกระบี่

ระหว่างดวงดาวมีการเชื่อมโยงบางๆ ซึ่งก็คือชะตา ในเขตแดนดวงดาวมีเส้นทางเส้นหนึ่ง และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง

ในชั่วขณะ ดาวตกปกคลุมริมแม่น้ำและพุ่งใส่ร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ พวกมันดูแน่นขนัดและมากมายจนยากจะบรรยายได้ แต่พวกมันก็ไม่ใช่ทะเลดวงดาวที่แท้จริง จึงเป็นธรรมดาที่จะมีรอยแตกอยู่ภายใน

ไม่มีใครสามารถพบรอยแตกท่ามกลางกลุ่มดาวตกเหล่านี้ได้ในเวลาอันสั้น

กวนซิงเค่อมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมาก เขาจึงเชื่อว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จำเป็นต้องหันกลับมารับการโจมตีเต็มกำลังของเขา

เขาได้เลือกใช้การบำเพ็ญเพียรที่หลากหลายเพื่อต้านทานพายุหิมะจากกระบี่ของฮั่นชิง และส่งท้องฟ้าทอันเต็มไปด้วยดาวตกพุ่งไปด้านนั้น เพื่อที่เปี๋ยยั่งหงจะมีโอกาสรอดชีวิต

ไม่ว่ามองจากมุมไหน ทางเลือกนี้ก็ช่างกล้าหาญและชาญฉลาด แต่หากมองได้ดีแล้ว กลับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการต่อสู้ของผู้อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์

เพราะเป้าหมายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่…เป็นเขามาตลอด

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้หันกลับ แต่นางบินเข้าสู่ท้องฟ้าราตรีต่อไป และจากนั้นก็หายตัวไป

แสงสีดำสองสายได้พาดผ่านดาวตกจำนวนมาก ปีกหงส์สีดำได้ฉีกกระชากพวกมันออก

ท้องฟ้ากว้างใหญ่เต็มไปด้วยเส้นทาง แม้แต่ชะตาก็ยังย้อนกลับได้ แล้วนางจะมองไม่เห็นรอยแยกในกลุ่มดาวตกนี้ได้อย่างไรกัน

เสียงร้องที่ชัดเจนและเย่อหยิ่งหาใดเปรียบดังขึ้นจากสุสานเทียนซู

หงส์สวรรค์แหวกเส้นทางผ่านดวงดาวมาถึงตรงหน้ากวนซิงเค่อ

หงส์ดำตัวใหญ่มหึมาปานจะบดบังท้องฟ้าไปครึ่งหนึ่ง

กวนซิงเค่อไม่สนใจเจตจำนงกระบี่พายุหิมะอีกต่อไป เขาพลิกมือขวาและยื่นขึ้นไปบนท้องฟ้า

ด้วยฝ่ามือเดียว ดวงดาวนับไม่ถ้วนในท้องฟ้าราตรีก็สว่างขึ้น เหล่านี้คือดวงดาวที่เขาได้เห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทางของเขา

น่าเสียดายที่ปีกทั้งสองที่หงส์ดำกางออกบดบังสายตาเขาและยังบังดวงดาวเหล่านี้ด้วย

ความมืดมิดแห่งความตายร่วงลงมา

มีเสียงเพียะเบาๆ

ฝ่ามือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ปะทะกับฝ่ามือกวนซิงเค่อ

เงียบงัน

ฝ่ามือกวนซิงเค่อยังคงสภาพเช่นเดิมแต่กระดูกข้อมือแหลกละเอียด

เขาเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มองดูดวงดาวมาหลายศตวรรษ เนื้อและกระดูกได้เปลี่ยนเป็นหินหยกนานแล้ว มีความแข็งแกร่งเกินกว่าของวิเศษทั่วไปเสียอีก

แต่ตอนนี้ ทั้งหมดแหลกลาญราวไม้ผุ

จากนั้นแขนของกวนซิงเค่อก็แหลก ต่อมาหัวไหล่ก็แตกเป็นเสี่ยง

เนื้อดุจผลึกแก้ว กระดูกดั่งหินหยก เลือดที่เป็นประกายเฉกเช่นดวงดาว สาดพุ่งไปทั่วท่ามกลางค่ำคืน

ร่างกวนซิงเค่อค่อยๆ หดลง บดบี้ละเอียด

ตูม!

ฝ่ามือที่ห้อยอยู่ในความมืดก็แหลกลงในที่สุด

กวนซิงเค่อกลายเป็นเศษซากบนพื้นดิน

เสียงลมราตรีหวีดหวิวพัดพาเศษซากไปทุกทิศทาง ไปจนถึงท้องฟ้า ส่วนปลายทางจะเป็นที่ใดก็ไม่อาจทราบได้

ปีกหงส์สีดำขนาดมหึมาสยายออกในท้องฟ้าราตรี

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับไปที่ยอดเขาสุสานเทียนซู

นางยืนอยู่ที่ริมถนนเสิน เอามือไพล่หลังช้าๆ

นางหลับตา จากนั้นก็ลืมขึ้นมองโลกของนางอีกครั้งหนึ่ง

นางสงบอย่างมากราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทว่าทั่วโลกเงียบงันไป

ในยามที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หลับตาและลืมขึ้นอีกครั้ง ดวงจิตของนางก็เดินทางไปหมื่นลี้กลับมาที่ลำธารใกล้วัดเก่าเมืองซีหนิง

กิ่งไม้สั่นไหวท่ามกลางสายลม

ดอกบัวโลหิตในลำธารลอยไปทั่วอย่างไร้ทิศทาง

นักบวชยังคงนั่งอยู่ริมลำธาร เท้าเปล่ายังแช่อยู่ในน้ำ

“นี่คือโลกของเรา เจ้ามาแล้วก็หมายความว่าเจ้าไม่อาจจากไปได้”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองเขาและกล่าว “แต่เราไปไหนมาไหนได้ตามที่เราต้องการ”