บทที่ 129 พลังลึกลับ
หลังจากที่วิ่งมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ซูเฉินก็ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในถ้ำที่เขาพบ
เขาไม่กล้าเดินไกลเกินไปเพราะพิษในแต่ละพื้นที่ล้วนมีผลต่างกันไป หากเขาบังเอิญหลงเข้าไปในพื้นที่อื่น ชีวิตเขาได้จบสิ้นเป็นแน่ อย่างไรซะ สถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่ที่แม้แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานยังลังเลที่จะเข้าใกล้
เมื่อซูเฉินเห็นว่าตนสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ที่เขาไม่เป็นไรนั่นเพราะก่อนที่จะลงมา เขาได้หยิบเอาคัมภีร์หนังแกะออกมาพันรอบตัวไว้แล้ว
คัมภีร์หนังแกะนี้ทำงานได้ดีมากจนน่าประหลาดใจ มันสามารถกินพิษทุกชนิดที่ซูเฉินขว้างใส่มัน
ดังนั้นรอบตัวของเขาในตอนนี้จึงปราศจากพิษทุกอย่างประเภท
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้คัมภีร์หนังแกะดูดซับพิษทั้งเขาให้หมดไป
เขาพันพิษแห่งนี้นับว่าค่อนข้างแปลกประหลาด ดูเหมือนว่าพิษเหล่านี้จะสามารถหลั่งไหลออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้… ได้ไม่รู้จบ
สำหรับคัมภีร์หนังแกะ นี่คือภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติ !
แต่น่าเสียดายที่ซูเฉินยังคงติดอยู่ที่นี่
แม้ว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานจะไม่กล้าเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม แต่เขาก็ไม่มีทางยอมให้ซูเฉินหนีไปได้ง่าย ๆ เป็นแน่ มันมีโอกาสมากถึง 8 ใน 10 ที่อีกฝ่ายจะยังคงเฝ้าอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่ใกล้ไม่ไกลที่นี่ การหาทางออกไปจึงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะทำได้เพียงถ่วงเวลาเท่านั้น
ตอนนี้ซูเฉินอยู่ในพื้นที่รกร้าง อาหารและน้ำที่เขามีเก็บเอาไว้ แม้จะมีอยู่เยอะแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีวันหมด กลับกันอีกฝ่ายที่เฝ้าอยู่ข้างนอกและมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมายให้ค่อยกวักมือเรียกใช้ เห็นได้ชัดว่าซูเฉินไม่สามารถรั้งอยู่ได้นานเท่ากับปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน
ยังไงสถานการณ์ก็ได้คลี่คลายลงไปแล้ว ในเมื่อเขามีเวลาให้คิดแล้ว หันมาลองหาทางแก้ไขปัญหาย่อมดีกว่า
ขณะที่เขาคิดกับตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพูดขึ้น “ช่างน่าประทับใจจริง ๆ ที่เจ้ายังสามารถอยู่รอดได้แม้จะอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามเช่นนั้น”
ซูเฉินยิ้ม “ท่านเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ ? อาศัยเขาพันพิษเพื่อหาเลี้ยงชีพ ข้าก็แค่เลียนแบบมือแห่งโชคชะตาเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นชะตาลิขิตก็เป็นได้”
“ฮึ่ม !” เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้สึกโกรธกับคำพูดของเขา แต่ก็ยังคงคุมอารมณ์ได้ “เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”
ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ และไม่สนใจเขาอีก
เมื่อปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานเห็นว่าคำถามของเขาถูกเมิน เขาจึงเปลี่ยนคำพูด “ถึงแม้เจ้าจะไม่กลัวพิษของพื้นที่ต้องห้าม แต่เจ้ายังติดอยู่ที่นี่ เจ้าคงไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตใช่ไหม ?”
ซูเฉินยิ้มเยาะ “ข้าจะอยู่ ถ้าข้าต้องอยู่ที่นี่ ท่านก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า”
ผู้นำองค์กรกล่าวว่า “เจ้าขโมยของมากมายจากข้า หากต้องอยู่กับเจ้าแล้วอย่างไร ? ฝั่งของเจ้าไม่มีอะไรเลย ส่วนทางข้า อย่างน้อยก็มีโลกภายนอกให้ได้สนุกกับชีวิต”
ซูเฉินยิ้ม “ข้าขโมยของเหล่านั้นมาจากท่าน และตอนนี้ข้ายังได้ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว หากข้าติดอยู่ที่นี่แล้วมันยังไง ? รอบตัวข้าอาจไม่มีสิ่งใดเลย แต่อย่างน้อยในแหวนต้นกำเนิดของข้าก็มีสมบัติอยู่ อย่างแย่ที่สุดหากข้าตายลงที่นี่ สมบัติของมือแห่งโชคชะตาก็ลงหลุมไปพร้อมกับข้าก็แค่นั้นเอง”
ผู้นำองค์กรกล่าว “มีประโยชน์อะไรให้เจ้าต้องทำถึงขนาดนั้นกัน ? เอาอย่างนี้เป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะคืนสิ่งที่ขโมยไปจากมือแห่งโชคชะตา… ”
“ท่านจะปล่อยข้าไป ใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินหัวเราะ “ข้ารู้ว่าท่านจะพูดแบบนั้น หากท่านคิดจะพูดคำไม่จริงใจซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่นนั้น ก็อย่าเลยมันเสียเวลาข้า”
ผู้นำองค์กรยิ้ม “ถูกของเจ้า มันต้องใช้ความจริงใจ เช่นนี้เป็นอย่างไร ? ข้า เค่อเหลยซีต๋า ยินดีที่จะสาบานว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
ซูเฉินพูดอย่างเกียจคร้าน “คำสาบานจากผู้นำของมือแห่งโชคชะตา… ฮ่าฮ่า หากข้าจะบอกว่ามันไม่มีค่าอะไรเลยจะได้หรือไม่ ?”
ถึงพูดเช่นนั้นแต่หัวใจของเขากำลังสับสนอลหม่าน
เค่อเหลยซีต๋า ? ชายผู้นี้คือเค่อเหลยซีต๋า
บัดซบ ! ไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะสามารถไล่ตามเขามาได้
เค่อเหลยซีต๋าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีแข็งแกร่งที่สุดในยามนี้ เขามีฉายาอยู่มากมาย เช่น ดาวมรณะ สุสานแห่งความมืด ราชันสายฟ้า ฯลฯ
ว่ากันว่าการวิจัยเกี่ยวกับวิชาอาร์คาน่าของชายคนนี้มีระดับเทียบเท่ากับปรมาจารย์อาร์คาน่าโบราณ และเหนือกว่าพวกเขาไปแล้วในบางแง่มุม ระดับความแข็งแกร่งของเขาสูงมากจนไม่สามารถหยั่งรู้ได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูเฉินได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเองมาแล้ว
ใช้คำพูดของเขาเพื่อกักขังเขาเอาไว้ มันแสดงถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน นั่นเป็นพลังลึกลับในตำนานอย่างแน่นอน
เค่อเหลยซีต๋าเคยเดินทางไปทั่วทั้งทวีป และอาศัยอยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์อัจฉริยะต่าง ๆ สร้างชื่อโด่งดังให้ตัวเองไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้เป็นเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ทรงพลังเท่านั้น เขายังเคยศึกษาระบบการฝึกฝนของมนุษย์และคนเถื่อนมาก่อน
ในขณะที่เขาอยู่ท่ามกลางเผ่ามนุษย์ เขาเคยได้ประมือกับตนอย่างหลี่หวู่อี้ เฟิงจู่อิ่ง เฉิงชี่กง เจียงจูเซิง หลินหราวเซียน กูไฮว่ซี่ และกลุ่มคนที่มีความสามารถอีกมากมาย ทั้งยังได้รับการยกย่องจากผู้อื่นอีกด้วย
และเขายังเป็นหนึ่งในชาวอาร์คาน่าที่ยังเหลือรอดผู้ได้รับความเคารพจากคู่ต่อสู้
ท้ายที่สุดแล้ว สไตล์การต่อสู้ของชายคนนี้ก็หลากหลายเกินไป เขาเป็นอัจฉริยะจริง ๆ
เค่อเหลยซีต๋าเคยเข้าร่วมกับอารามนิรันดร์มาก่อน แต่เขาเกลียดลำดับชั้นขององค์กรนี้ เขาเชื่อว่าอารามนิรันดร์ตกต่ำเกินกว่าจะลุกขึ้นมาได้อีก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแยกทางออกมา และมุ่งหน้าไปยังถ้ำว่านไหลก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่นั้นมาชื่อของเขาก็ไม่เคยมีใครได้ยินอีกเลย
ซูเฉินไม่เคยคิดเลยว่า คู่ต่อสู้ของเขาจะแนะนำว่าตนคือเค่อเหลยซีต๋า
นี่มัน… ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เหลือเชื่อจริง ๆ! ซูเฉินคิดกับตัวเอง
เค่อเหลยซีต๋าเองก็ตกตะลึงซูเฉินที่กล่าวว่าสถานะของเขาในฐานะผู้นำของมือแห่งโชคชะตานั้นไร้ค่าเช่นนั้น
เขาพูดชื่อของตนโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะมองว่าเขาน่าเชื่อถือขึ้นบ้าง เค่อเหลยซีต๋าเคยผิดสัญญางั้นหรือ ? ใครก็ตามที่ได้รับรู้ความจริงนี้ย่อมเงียบลง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ชื่อเสียงของเขาจะฟังดูดี แล้วทำไมซูเฉินไม่เชื่อเขา ? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย !
เค่อเหลยซีต๋าโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาระงับความกระวนกระวายใจแล้วกล่าวว่า “แล้วเจ้าต้องการสัญญาแบบไหน ?”
ซูเฉินกล่าวอย่างไม่สนใจ “คำมั่นสัญญาที่ไม่ผูกมัดล้วนไร้ความหมาย ลืมมันไปเถอะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย และไม่อยากคุยกับท่านแล้ว ให้ข้าได้พักก่อนแล้วคุยกัน”
หลังกล่าวจบ ไม่ว่าเค่อเหลยซีต๋าจะพยายามเรียกเขาอย่างไร ซูเฉินก็ปฏิเสธที่จะตอบ
เขาเหนื่อยนิดหน่อยจริง ๆ แม้มันจะเป็นการเร่งหลบหนีในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เขาก็เผาผลาญพลังงานไปจำนวนมากเพื่อการนั้น หากเขาตอบสนองช้ากว่านี้หรือทำพลาดไปแม้แต่น้อย เขาก็อาจจะตายไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อสามารถผ่อนคลายได้แล้ว เขาก็ผล่อยหลับไปจริง ๆ
พอตื่นขึ้นอีกที ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
ซูเฉินแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำเหนือหัว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ข้าคงจะผ่อนคลายมากถึงได้สามารถนอนหลับในสถานการณ์เช่นนี้ได้”
แต่ในเมื่อเขาตื่นแล้ว เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ?
เขาอยู่ในพื้นที่ที่รอบทิศล้วนเป็นป่าที่ไม่มีอะไรให้ทำเลย ทำเอาซูเฉินไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดดีไปชั่วขณะหนึ่ง
จังหวะนั้นซูเฉินเหลือบมองเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเขาและอดไม่ได้ที่จะผงะเล็กน้อย
ในมือของเขามีเศษของคำว่า ‘ห่วงใย’ ที่คว้ามาได้อยู่ มันถูกสร้างขึ้นจากพลังลึกลับของเค่อเหลยซีต๋า น่าแปลกที่มันยังคงไม่สลายไป
หัวใจของซูเฉินเต้นเร็วขึ้น ระหว่างที่เขาเริ่มตรวจสอบเศษชิ้นส่วนอย่างระมัดระวัง
ดวงตาของเขาเริ่มเปล่งแสง ที่เป็นสัญชาตญาณว่าเขากำลังเปิดใช้งานเนตรมองโลกจุลภาค
แล้วความประหลาดใจก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของเขา เนตรมองโลกจุลภาคไม่สามารถมองผ่านองค์ประกอบของชิ้นส่วนนี้ได้
สิ่งที่เนตรมองโลกจุลภาคสามารถช่วยให้ซูเฉินมองเห็นได้จนถึงอนุภาคที่เล็กที่สุด แต่ชิ้นส่วนที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนจะไม่ประกอบขึ้นด้วยสสารระดับเล็กแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงไม่อาจวิเคราะห์มันได้ ราวกับว่าเขาไม่ได้ถืออะไรอยู่ในมือเลย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าดวงตาของเขาจะมองไม่เห็นอะไรเลย
เพราะในความว่างเปล่านี้ ซูเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของบางสิ่งบางอย่าง
ตัวตนนั้นดูเหมือนจะอยู่ระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตา
“งั้นพลังชนิดนี้ก็ไม่ได้มีตัวตนจริง ๆ?” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
นี่คือพลังที่ลึกลับในตำนาน พลังลึกลับไม่ใช่วัตถุ เฉพาะคนที่เข้าใจมันและสัมผัสมันอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถใช้มันได้
ขณะที่ถือชิ้นส่วนนี้ ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เขาเคยคิดว่ามันเป็นเพียงตำนาน
ตำนานกลายเป็นจริง !
พลังชนิดนี้ไม่อาจจับต้องได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ไม่อาจฝืนดึงมันออกมาได้ แต่มันกลับส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นได้
มันเป็นแสง มันคือคลื่น มันคือความว่างเปล่า มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังสามารถสัมผัสมันได้
แล้วซูเฉินจะซึมซับหรือควบคุมมันได้อย่างไร ?
มันไม่ใช่พลังต้นกำเนิด !
เขาไม่สามารถพยายามควบคุมมันได้เหมือนกับที่เขาควบคุมพลังต้นกำเนิด
พลังลึกลับนี้อยู่ในระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น
ซูเฉินสงบสติอารมณ์ลง
หากเป็นในอดีต ซูเฉินคงไม่อาจทำอะไรได้
แต่ตอนนี้ เขารู้ว่าเขาต้องทำอย่างไร
นั่นเป็นเพราะเขารู้วิธีควบคุมระดับพลังลึกลับนี้อยู่แล้ว
เขาจะใช้โทเทมแห่งธาตุ
ใช่แล้ว ในที่สุดซูเฉินก็สามารถยืนยันได้ว่าโทเทมแห่งธาตุมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับพลังลึกลับนี้
หลังจากได้รับพลังของโทเทมแห่งธาตุที่แตกต่างกัน 3 แบบ เขาก็เชี่ยวชาญพลังลึกลับนี้ไปในระดับหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีพลังลึกลับนั้น และก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไรเช่นกัน
กล่าวก็คือ เพียงเพราะเขาครอบครองมันไม่ได้หมายความว่ามันเป็นของเขาเสมอไป พลังยังคงเป็นของโทเทม
แต่ตอนนี้มันต่างกันแล้ว
เศษชิ้นส่วนของตัวอักษรในมือ พลังอันไร้ตัวตนซึ่งปรากฏอยู่ในรูปแบบกายภาพ ได้มอบแรงบันดาลใจให้กับเขา นี่อาจเป็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบพันปี ด้วยความสามารถของซูเฉิน ด้วยโทเทมแห่งธาตุและเนตรมองโลกจุลภาค ทำให้เขาสามารถศึกษาพวกมันได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ขณะที่เขาตรวจสอบชิ้นส่วนอย่างระมัดระวัง พลังอันไร้ขอบเขตจากโทเทมแห่งธาตุก็ได้ตอบสนองขึ้นมาด้วยตัวเอง สะท้อนกับชิ้นส่วนที่อยู่ในมือของเขา ในสายตาของเขาเศษชิ้นส่วนตัวอักษรเริ่มเปล่งแสงจาง ๆ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ซูเฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขายังคงเพิ่มพลังที่ไร้ขอบเขตในตัวเขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทว่าจู่ ๆ แสงของเศษชิ้นส่วนกลับเริ่มหายไป ก่อนจะคืนสู่สภาพที่ดูหม่นหมองเช่นเดิม
เกิดอะไรขึ้น ?
ซูเฉินตกตะลึง หลังจากตรวจสอบดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เจอสิ่งใดเป็นพิเศษเลย
แม้หลังจากวิเคราะห์อย่างระมัดระวังอยู่สักพัก ซูเฉินก็ยังไม่พบอะไร ขณะที่เขากำลังจะยอมแพ้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโทเทมในร่างกายของเขาทำงานอีกครั้ง และชิ้นส่วนในมือของเขาก็เริ่มเรืองแสงกลับมา
ซูเฉินดีใจมากและรีบลงมืออีกครั้ง
ฟู่ !
แสงสว่างก็ดับลงราวกับเปลวเพลิงที่หมอดดับ กลับคืนสู่สภาพที่มัวหมองอีกครา
ทุกครั้งที่ซูเฉินรู้สึกเหมือนว่าหมดหวังแล้ว เศษชิ้นส่วนก็จะเริ่มสะท้อนกับโทเทมในร่างกายของเขา และทุกครั้งที่เขาพยายามควบคุมพลังนั้น มันก็จะหายไป
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเฉินก็เข้าใจ
ดูเหมือนว่าพลังที่ไร้ขอบเขตนี้จะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา
มันทำตัวเหมือนกับลา ยิ่งพยายามเกลี้ยกล่อมมันก็ยิ่งขัดขืนคำสั่ง แต่เมื่อปล่อยให้มันทำตามที่พอใจมันก็จะเต็มใจออกมาเอง